ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 314 เถ้าแก่เนี้ยที่ปล่อยตัวที่สุด-1
บทที่ 314 เถ้าแก่เนี้ยที่ปล่อยตัวที่สุด-1
ทุกคนต่างหวังว่าจะมีวันที่ขนมหล่นมาจากฟ้า[1]
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรอคอยได้
แต่วันนี้หลิวรุ่ยอิ่งได้เห็นกับตาอย่างชัดเจน
แม้จะไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า
และไม่ใช่ขนม
แต่หนึ่งร้อยตำลึงสามารถซื้อขนมได้หลายร้อยชิ้น
ขณะนั้น ทุกคนในร้านต่างนิ่งเงียบ
รวมทั้งเถ้าแก่อ้วนต่างจ้องมองแท่งเงินห้าสิบตำลึงสองแท่งกลิ้งลงมาบนพื้นไม่วางตา
“ดูเหมือนจะมีคนเลี้ยงข้าวเจ้า”
เถ้าแก่อ้วนพูดขณะมองเงินแท่งและบอกกับหลิวรุ่ยอิ่ง
“แต่ข้าไม่มีคนรู้จักที่นี่ จะมีคนเลี้ยงข้าวข้าได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ไม่มีคนรู้จัก ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครอยากเลี้ยงข้าวเจ้านี่ บางทีอาจจะมีคนชอบเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือในยามจำเป็นก็ได้”
เถ้าแก่อ้วนกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้พยักหน้าตอบรับที่จะใช้เงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้น เขายังคงนิ่งเงียบ
“เกรงว่าจะไม่ใช่วีรบุรุษช่วยเหลือในยามจำเป็นหรอก…แต่เป็นกุมารแจกทรัพย์!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แล้วกุมารแจกทรัพย์ผู้นี้ เจ้าจะรับหรือไม่”
“เจ้าคิดว่าข้าควรรับหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเล็กน้อยและถามเถ้าแก่อ้วนกลับ
“เฮ้อ…ชั้นบนมีทั้งหมดห้าคน แต่เงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าใครโยนลงมาให้เจ้า การให้เงินเลี้ยงข้าวเจ้ากเหมือนกับการคบค้าสหาย หากเจ้าต้องการสหายก็รับมันไป แต่ถ้าไม่ต้องการก็อย่ารับ แต่ทั้งห้าคนนั้นมีนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไรนัก และที่นี่ก็ไม่มีการติดค้างหรือคืนเงิน อย่างน้อยเจ้าก็ได้จ่ายไปแล้วห้าร้อยตำลึง”
เถ้าแก่อ้วนกล่าว
“ข้ารู้แล้ว หนึ่งคนห้าร้อยตำลึง!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังหนึ่งในเจ้าหน้าที่อาคารกรมสอบสวนจากเมืองหยางเหวิน
“ห้าร้อยตำลึงของข้า ให้เขาไป!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ตามที่เจ้าต้องการ ห้าร้อยตำลึงต่อคน ไม่ว่าใครก็ได้ทั้งนั้น”
เถ้าแก่อ้วนกล่าว
แม้ว่าเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินจะไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริง
แต่เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งมีคำสั่งเช่นนั้น เขาก็ต้องทำตาม
“ฮี่ๆ เจ้าหนุ่มคนนี้ก็ไม่เลวนะ!”
สตรีสองคนนั้นพูดหลังจากที่เห็นเจ้าหน้าที่ผู้นั้น
“เจ้าไปเถอะ ไม่ต้องกังวล!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางตบบ่าเขา
“คนที่เหลืออยากกินอะไร”
เถ้าแก่อ้วนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ร้อยตำลึงเงินที่หมายถึงก็คือเงินที่หล่นลงมาจากบันไดก่อนหน้านี้
“ดูเหมือนเจ้าจะต้องการคบหากับสหายผู้นี้นะ?”
เถ้าแก่อ้วนถาม
“หากใครปรารถนาที่จะรู้จักกับข้าก็ถือเป็นการให้เกียรติข้า ข้าใช้เงินนี้ไปซื้อสุรากินเนื้อก็ถือเป็นการตอบแทนเกียรตินั้น แต่เรื่องเป็นสหายนั้น แม้แต่หน้าตาก็ไม่เคยพบเห็น จะเรียกว่าสหายได้อย่างไรกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางจงใจปรับเสียงให้ดังขึ้น เพื่อให้คนที่อยู่ชั้นบนได้ยิน
เถ้าแก่อ้วนแสดงท่าทีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ในที่แห่งนี้ ขอแค่มีเงิน ทุกอย่างก็เจรจากันได้
ไม่มีใครสนใจว่าเงินของเจ้ามาจากไหน
“แม้ว่าที่นี่จะมีเนื้อแห้งจากขาม้าที่ดีที่สุด แต่สุราไม่ได้ดีเลิศทั้งยังไม่แพง ถ้าใช้หนึ่งร้อยตำลึงนี้เป็นค่าสุรา เกรงว่าคงจะดื่มได้นานเอาการเลยทีเดียว”
เถ้าแก่อ้วนก้มตัวเก็บเงินห้าสิบตำลึงสองแท่งมาเล่นในมือพลางกล่าว
“ดื่มเท่าไรก็หักเท่านั้น นานแค่ไหนก็ได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องรอให้สหายที่ยังไม่เคยพบหน้าผู้นั้นลงมาดื่มสักจอกก่อนสิ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เถ้าแก่อ้วนพยักหน้า
จากนั้นก็หยิบเนื้อแห้งสี่เส้นออกมาจากตู้แล้วหมุนกายไปง่วนทำงานที่หลังร้าน
ส่วนเจ้าหน้าที่จากอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินที่จากไปกับสตรีสองคนนั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็ได้แต่สวดภาวนาในใจเพียงไม่กี่คำเพื่อขอให้เขาโชคดี
แม้ว่าอาจจะไม่มีอันตรายใด
แต่สตรีทั้งสองคนนั้น ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะรับมือได้ง่ายๆ
ต้องแช่น้ำก่อนแล้วจึงนำไปปรุงได้
ด้วยเหตุนี้จึงใช้เวลาค่อนข้างนาน
ในระหว่างนั้นเขาจึงเตรียมสุราไว้ให้คนละหนึ่งกา
พร้อมกับจานของว่างต่างๆ ไว้ตรงกลางโต๊ะ
“ของทานเล่นให้เป็นของกำนัล!”
เถ้าแก่อ้วนกล่าว
“ไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่ให้ติดค้างหรอกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ
“นี่เป็นของกำนัล ไม่ได้ขาย”
เถ้าแก่อ้วนยิ้ม
“เพราะข้าก็อยากเป็นสหายกับเจ้าด้วย!”
เถ้าแก่อ้วนกล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งสังเกตรอยยิ้มของเขา ท่าทางดูเหมือนตรงไปตรงมาและจริงใจจริงๆ
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งต้องระวังมากขึ้น
เพราะบางคน แม้กระทั่งตอนที่มีดในมือพวกเขาแทงเข้าไปในหัวใจของเจ้าก็ยังยิ้มอยู่
รอยยิ้มของมนุษย์นั้นมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ไม่ว่าใคร ทุกครั้งที่ยิ้มมักจะทำให้คนที่เห็นรู้สึกผ่อนคลายและลดความหวาดระแวงลง
แน่นอนว่าในหลายครั้ง รอยยิ้มของผู้คนมักจะเป็นเพียงการแสดงออกโดยเจตนา
แต่ก็ยังสามารถสร้างภาพลวงตาให้กับผู้ที่เห็นได้เสมอ
และรอยยิ้มของสตรีกับบุรุษก็แตกต่างกัน
ในขณะที่รอยยิ้มของบุรุษ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น
ส่วนเรื่องการร้องไห้นั้น
บุรุษมักจะหลบซ่อนตัวในที่ที่ไม่มีใครเห็น
กลับกันสตรีหวังให้ทั้งโลกรับรู้ว่าพวกนางกำลังร้องไห้
ความจริงใจและการเสแสร้งมักขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น
อย่างน้อยเท่าที่หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกได้ในตอนนี้ รอยยิ้มของเถ้าแก่อ้วนผู้นี้มีทั้งความจริงใจและความเสแสร้งคละเคล้ากันครึ่งต่อครึ่ง
ความจริงใจห้าส่วนมาจากการที่เขาเพิ่งทำกำไรได้มหาศาล
ตามมาตรฐานของเขานั้น หากแปลงเป็นเงิน ก็ราวๆ หนึ่งพันตำลึง
ส่วนการเสแสร้งอีกห้าส่วนมาจากการที่เขาต้องการผูกมิตรกับหลิวรุ่ยอิ่ง
เมื่อคนผู้หนึ่งต้องการสร้างมิตรภาพเขาจะถ่อมตัวลง พูดจาหวานหูเพื่อทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจ
เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจที่สุดของตนเอง
แต่คนที่เพิ่งพบกันจะเอ่ยคำพูดที่มาจากใจจริงได้อย่างไร
มันก็เป็นเพียงคำประจบที่ไม่มีความหมาย
ตอนนี้ใกล้จะพลบค่ำแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักและเสียงตะโกนด่าทอจากข้างนอก
ดูเหมือนว่าคนงานในเหมืองแร่เลิกงานแล้ว
พวกเขาพกอุปกรณ์มาด้วยและมาร้านค้าแห่งนี้เป็นกลุ่มเล็กๆ
แต่คนงานเหล่านี้ไม่ได้นั่งลงทันที
ทว่าเดินตรงไปที่ชั้นวางของด้านหลังในร้านค้าเพื่อหาของใช้ประจำวันที่ตนเองต้องการ
ยิ่งทำให้หลิวรุ่ยอิ่งยากที่จะพิจารณาได้ว่าร้านค้านี้เป็นร้านอย่างไรกันแน่
คนงานเหล่านั้นเลือกของที่ต้องการและวางไว้ที่โต๊ะคิดเงินทีละชิ้น
แต่เถ้าแก่อ้วนไม่อยู่ พวกเขาจึงไม่สามารถชำระเงินได้
ต้องรอเถ้าแก่อ้วนกลับมาก่อน
แต่พวกเขากลับเปิดลิ้นชักเอง
ทั้งยังไม่ใช่ตู้เดียวกันกับที่เก็บเนื้อแห้งไว้
เมื่อเปิดตู้นั้นออก หลิวรุ่ยอิ่งก็เห็นว่าภายในมีอาหารตุ๋นจำนวนมาก
แต่ทั้งหมดเป็นมังสวิรัติ
ทำจากถั่วเป็นหลัก
แต่ละคนตักอาหารตุ๋นครึ่งถ้วยเล็ก
มีถั่วงอก ถั่วลิสง และเต้าหู้แห้ง
จากนั้นพวกเขาก็เดินทีละสองสามคนไปนั่งใต้เพิงที่อยู่นอกร้าน
ใต้เพิงมีเก้าอี้ยาวเพียงเจ็ดแปดตัว
ไม่มีโต๊ะ
แต่คนเหล่านี้ไม่ต้องการโต๊ะ
เพียงแค่มีอาหารตุ๋นและสุรา แม้พวกเขาจะต้องนั่งยองๆ อยู่ในโพรงเหมืองก็ยังสุขใจ
ใต้เพิงมีถังสุราสูงเท่าคนถังหนึ่ง
คนงานเหล่านี้ต่อแถวเพื่อตักสุราอย่างเป็นระเบียบ ในมือพวกเขามีชามเพียงใบเดียว
ดังนั้นสุราจึงถูกผสมเข้ากับอาหารตุ๋นที่มีอยู่ก่อนหน้านี้
“เหอเหล่าลิ่ว! เจ้าตักเกินไปครึ่งกระบวยนะ!”
เสียงของเถ้าแก่อ้วนดังมาจากหลังร้าน
หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจอย่างยิ่ง
ทั้งที่เขามองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงรู้ว่าเหอเหล่าลิ่วตักสุรามากเกินไปครึ่งกระบวย
หรือว่าเป็นการแสร้งหลอก…
ในระหว่างที่เนื้อยังทำไม่เสร็จ หลิวรุ่ยอิ่งจึงเดินออกจากร้านไปดูเพิงนั่น
เขาเห็นเพียงชายคนหนึ่งกำลังเกาหัวอย่างไม่สบายใจ
คนผู้นี้คงจะเป็นเหอเหล่าลิ่ว
“และก็เจ้า! สวีเหล่าซื่อ! เงินเดือนของเดือนนี้ล่าช้าไปเกือบสิบวันแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ไม่ยอมจ่าย เต้าหู้แห้งชิ้นเดียวก็อย่าหวังว่าจะได้กิน!”
หลังจากเหอเหล่าลิ่วตักสุราเสร็จ
คนอีกคนหนึ่งเพิ่งจะรับกระบวยเตรียมตักสุรา
เถ้าแก่อ้วนก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
มือของคนผู้นั้นสั่นเล็กน้อย
แล้วก็ถอนหายใจออกมา
เสียงถอนหายใจนั้นปลุกเสียงหัวเราะของคนที่ยืนต่อแถวด้านหลัง
ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นสวีเหล่าซื่อที่จ่ายรายเดือนไม่ไหว
แต่หลังจากที่ถูกหัวเราะเยาะ
สวีเหล่าซื่อก็โกรธขึ้นมา!
เขาโยนกระบวยไปในถังสุราด้วยความโมโห
เดินกลับเข้าไปในร้าน นำอาหารตุ๋นทั้งหมดที่ตักมาไปคืนที่เดิม
จากนั้นยกเก้าอี้ยาวในกระท่อมมานั่งไกลๆ คนเดียว
มองคนเหล่านั้นดื่มสุราและกินเต้าหู้แห้ง
เขาก็อยากกินและอยากดื่มเช่นกัน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าลูกกระเดือกเขาขยับไม่หยุด
สวีเหล่าซื่อเริ่มกลืนน้ำลายอย่างควบคุมไม่ได้
สิ่งที่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยมากที่สุดคือ
คนงานเหมืองเหล่านี้กลับไม่มีท่าทีสนใจกลุ่มของเขาแม้แต่น้อย
ตั้งแต่เข้ามาในร้านเพื่อตักอาหารตุ๋น ไม่มีใครมองมาทางเขาแม้แต่นิดเดียว
แม้แต่ในเมืองเล็กๆ ที่มีคนแปลกหน้ามาใหม่ ก็น่าจะมีคนสอดรู้สอดเห็นเข้ามาล้อมบ้าง
แต่ที่นี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ทุกคนดูเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในกล่องของตัวเอง
พวกเขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างภายในกล่องนั้นเป็นอย่างดี
และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเป็นระเบียบ
แต่สำหรับสิ่งที่อยู่นอกกล่องนั้น พวกเขากลับไม่สนใจ
ขอทานตรงเขตกระท่อมก่อนหน้านี้บอกเขาว่าการสืบความที่นี่ต้องใช้เงิน
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับพบช่องทางหนึ่งที่ไม่ต้องใช้เงินเพื่อทราบข้อมูล
นั่นคือสวีเหล่าซื่อที่กำลังนั่งอยู่เพียงลำพังด้วยความหงุดหงิดเพราะไม่มีเงินดื่มสุราและกินอาหารตุ๋น
หลิวรุ่ยอิ่งทักทายเขา
เมื่อสวีเหล่าซื่อเห็นหลิวรุ่ยอิ่งกำลังโบกมือเรียกเขา
เขาจึงชี้ตัวเองและอ้าปากเล็กน้อย ราวกับต้องการจะยืนยันอีกครั้ง
จนกระทั่งหลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าให้เขาอีกครั้ง สวีเหล่าซื่อจึงลุกขึ้นและเดินเข้ามาในร้าน
ขณะที่เขากำลังเดินเข้ามานั้น
จู่ๆ พวกที่นั่งอยู่ใต้เพิงข้างนอกก็เงียบกริบไป
มีคนหนึ่งชะโงกศีรษะออกมาดู
อยากรู้ว่าคนแปลกหน้ากลุ่มนี้เรียกสวีเหล่าซื่อไปทำอะไร
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นภาพนี้แล้วรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง
ดูเหมือนว่าคนทุกคนก็เหมือนกันนั่นแหละ
ไม่อยากรู้อยากเห็นเพราะยังไม่ถึงจุดที่ทำให้พวกเขาสงสัยก็เท่านั้น
หากโจมตีถูกจุด ก็คงไม่มีใครในใต้หล้าที่ไม่อยากรู้อยากเห็น
สวีเหล่าซื่อเดินเข้ามา ยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะ
เขาไม่ได้พูดอะไร
ดวงตาของเขาเป็นประกาย จ้องไปที่หลิวรุ่ยอิ่ง
“ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้าเอง”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น
สวีเหล่าซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งลง
คว้ากาสุราและเทลงในชามของตัวเองแล้วเริ่มดื่ม
“สุรานี่เป็นอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เหมือนกับข้างนอกนั่นแหละ”
เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าสุรานี้น่าจะดีกว่าที่ดื่มอยู่ใต้เพิงข้างนอก
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสุราชนิดเดียวกัน
คนด้านนอกใช้ชามดินเผาหยาบๆ ของตัวเองในการดื่ม
คนด้านในมีกาสุราและจอกสุรา
แต่สุราก็คือสุรา
ไม่สำคัญว่าจะใช้ภาชนะใดในการดื่ม
พอสวีเหล่าซื่อพูดประโยคนี้ออกมา คนข้างนอกต่างหัวเราะกันยกใหญ่
หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกเก้อกระดากเล็กน้อย
……………………………………
[1] ขนมหล่นมาจากฟ้า อุปมาว่าได้รับสิ่งที่ปรารถนาโดยไม่ต้องออกแรง