ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 312 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-9
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 312 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-9
บทที่ 312 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-9
หลิวรุ่ยอิ่งพาหวาหนงและเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินอีกห้าคนออกเดินทาง
แต่เยว่ตี๋ไม่ได้ร่วมเดินทางด้วย
นางบอกหลิวรุ่ยอิ่งว่าเมื่อรู้ทิศทางแล้ว เพียงแค่นางออกเดินทางย่อมสามารถตามทันเสมอ
หลิวรุ่ยอิ่งและพรรคพวกเริ่มออกเดินทางต้อนรับแสงอรุณ
ม้าเจ็ดตัววิ่งควบอยู่บนถนน
ท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ
เส้นทางที่จิ้นเผิงวาดบนแผนที่คือสายแร่ของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
นับเป็นเรื่องโชคดี
เพราะสายแร่ไม่ไกลจากเมืองหยางเหวินมากนัก
และยังมีทางลัด
นั่นก็คือการข้ามภูเขา
เพียงแต่เส้นทางนี้มีเพียงน้อยคนที่เดินทางผ่าน
เส้นทางยากลำบาก…
คนธรรมดามักมีความกังวลมากกว่า
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีความกังวลเช่นนั้น
เขาแค่อยากรีบไปถึงที่หมายให้เร็วที่สุด
ที่ตั้งของเหมืองแร่นั้น มักจะเป็นที่ห่างไกลและเปลี่ยวร้าง
แต่พอมีคนทำงานเพิ่มขึ้น ก็จะรวมตัวกันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ขึ้นมาเอง
คนที่ยอมมาทำงานในเหมืองแร่ก็ไม่น่าจะมีเงินเหลือไปเสี่ยงโชคหรือเคล้านารี
ดินเหลืองและพายุทรายเป็นสีพื้นฐานของเหมืองแร่
หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งพาทุกคนข้ามภูเขาไปแล้ว เขาก็ตกใจกับทัศนียภาพอันแห้งเหี่ยวตรงหน้า
บนพื้นที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไม่มีสีสันใดๆ ทั้งสิ้น
ท้องฟ้าแม้จะดูสีฟ้า
เพราะเมฆทั้งหมดถูกลมแรงพัดพาไป
แต่ลมที่พัดเมฆลอยไป กลับหอบพายุทรายมาแทน
ทรายเหลืองปลิวว่อนเหนือพื้นดิน
เหมือนกับคลื่นทะเล
ในทะเลทรายที่ลมกระโชกแรงเช่นนี้ การขี่ม้าย่อมไม่สะดวก
หลิวรุ่ยอิ่งจึงจูงม้าเดินเท้าเข้าไปในเหมืองแร่
ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเลิกงาน
ท้องฟ้าในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องมืดช้า
ทำให้ช่วงเวลาที่ต้องทำงานยาวนานขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าไม่ไกลจากเหมืองแร่มีกระท่อมไม้เรียงราย
คิดว่าน่าจะเป็นที่พักของคนงานเหมือง
จึงนำทุกคนเดินไปยังเขตกระท่อมนั้น
คนทั้งกลุ่มต่างแต่งกายด้วยชุดลำลอง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกเปิดเผยตัวตน
แต่คนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าสูงใหญ่และสวมใส่เสื้อผ้าอย่างดี เหตุใดจึงมาที่เหมืองแร่ร้างแห่งนี้เล่า
แม้ว่าจะไม่เปิดเผยตัวตน แต่ก็ตกเป็นเป้าสายตาของผู้ที่พบเห็น
ขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งก้าวเข้าไปในเขตกระท่อม คนแรกที่เข้ามาต้อนรับเขาไม่ใช่คนงานที่กำลังผลัดเปลี่ยนกันพักผ่อน
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง
ขอทานที่ไหนจะมาขอทานในเขตกระท่อมของเหมืองแร่?
คนงานเหล่านั้นสามารถอิ่มท้องได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว
จะมีข้าวหรือเงินที่ไหนมาให้ทาน?
หากได้เงินรางวัลเพิ่มอีกนิดหน่อย ไม่สู้ออกไปซื้อสุรากินดีกว่า
ไม่มีทางที่พวกเขาจะให้ขอทานเหล่านี้แน่นอน
ขอทานเหล่านี้ที่มาขอทานที่นี่ ก็เหมือนตัดหนทางชีวิตตนเอง
แต่พวกเขากลับยังคงมีชีวิตอยู่
และหลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าขอทานเหล่านี้มีสีหน้าดูดีไม่น้อย
กระทั่งดูดีกว่าเขาเสียอีก
อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งตื่นจากการเมาค้างไม่นาน และยังขี่ม้าข้ามเนินเขามาตลอดครึ่งวัน ความเหนื่อยล้าจึงเข้าครอบงำ
แต่สำหรับขอทานเหล่านี้ หลิวรุ่ยอิ่งกลับระแวดระวังและป้องกัน
ไม่ใช่เพราะเขาดูถูก
แต่เพราะเคยถูกเกาเหรินที่แฝงตัวเป็นขอทานหลอกลวงมาก่อน
ตรรกะเดียวกันกับถูกงูกัดครั้งหนึ่ง กลัวเชือกไปสิบปี
ขอทานเหล่านี้เห็นหลิวรุ่ยอิ่งและพรรคพวกรวมตัวกันเข้ามา แต่กลับไม่เข้ามาใกล้
ไม่ต้องพูดถึงเรียกร้องอะไรจากพวกเขา
พวกเขาเพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ
แม้ว่าพายุทรายรุนแรงขนาดไหน ก็ไม่ทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นไหวแม้แต่น้อย
และไม่ทำให้พวกเขากะพริบตาแม้ชั่วขณะ
เขาหยิบเหรียญเงินหลายๆ เหรียญออกมาและใส่ลงชามแตกๆ ของขอทานเหล่านั้น
เมื่อเหรียญเงินตกลงในชาม
เกิดเสียงดัง ‘แกร๊ง’ แจ่มชัด
ขอทานเหล่านั้นก็รีบแยกย้ายกันไป
แต่พวกเขาไม่ได้ไปไหนไกล
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งมองตามพวกเขาไป ก็เห็นว่าทุกคนมุ่งหน้าไปยังกระท่อมหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
รวมกลุ่มกันที่นั่น ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
“ขอทานก็ต้องประชุมกันด้วยหรือ”
หวาหนงถาม
“ขอทานอาจจะไม่ได้ประชุม แต่ต้องแบ่งเงินกันแน่นอน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แบ่งอย่างไร ไม่ใช่ว่าทุกคนได้รับเงินไปแล้วหรือ”
หวาหนงถาม
“ข้าอาจจะไม่ได้ให้เงินทุกคนเท่ากัน ขอทานที่ออกมาขอทานด้วยกัน ได้เงินมาเท่าไรก็ต้องแบ่งกันอย่างเท่าเทียม”
หลิวรุ่ยอิ่งอธิบาย
“ไม่คิดเลยว่าขอทานจะยังมีความยุติธรรมขนาดนี้”
หวาหนงพูดขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ตอบอะไร
ยุติธรรมหรือไม่ เขาไม่รู้
แต่การลำบากตรากตรำของขอทาน ก็แค่เพื่อให้อิ่มท้อง
หากต้องเลือกระหว่างการอดอยากหรือความยุติธรรม จะมีสักกี่คนที่เลือกความยุติธรรมกัน?
ความยุติธรรมในแบบของพวกเขา มีเพียงเพื่อให้แต่ละคนสามารถมีชีวิตนานขึ้นอีกหน่อย ไม่ต้องตายด้วยความหิวโหยเร็วนัก
คนเราเมื่อกลายเป็นขอทาน
จะไร้ความปรารถนา ทุกวันคิดเพียงว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ตายด้วยความอดอยาก
เมื่อไม่มีขอทานมาขวางทาง
หลิวรุ่ยอิ่งจึงพาพรรคพวกเดินเข้าไปด้านใน
เขตกระท่อมแห่งนี้ ดูเสื่อมโทรมอย่างเห็นได้ชัด
บางหลังดูเหมือนจะถูกพายุทรายพัดพังทลายลงมาอยู่รอมร่อ
ไม่รู้ว่าคนที่อาศัยอยู่ข้างในตอนกลางคืนจะรู้สึกหวาดกลัวหรือไม่
โชคดีที่อย่างน้อยกระท่อมเหล่านี้สร้างจากไพหญ้าที่มีน้ำหนักเบา
ไพหญ้าแต่ละผืนถูกยึดเข้าด้วยกันด้วยลวดเหล็ก เพื่อต้านการกัดกร่อนของพายุทราย
ดังนั้น ต่อให้กระท่อมจะพังลงมา หากเกิดหล่นใส่คนก็ไม่ทำให้บาดเจ็บสาหัส
อย่างมากก็แค่ถูกลวดเหล็กตรงขอบบาดผิวหนังเท่านั้น
ตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งเดินไปถึงด้านหลังกลุ่มขอทานเหล่านั้น พวกเขายังคงยืนล้อมรอบประตูกระท่อมนั้นอยู่
เมื่อเขามองผ่านช่องว่างเล็กๆ หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าผู้ที่ขอทานรายล้อมอยู่ใจกลางก็ยังเป็นขอทานอีกคน
เพียงแต่ขอทานคนนั้นมีอายุมากกว่าคนอื่นๆ
แต่สิ่งที่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกคาดไม่ถึง ไม่ใช่อายุของเขา
แต่เป็นรูปร่างของเขา
ขอทานที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางนั้นเป็นคนอ้วนท้วน
น้ำหนักตัวของเขาอย่างน้อยน่าจะสองร้อยจิน
ที่พวงแก้มของเขามีไขมันสะสมถึงสามชั้นเลยทีเดียว
หลิวรุ่ยอิ่งถึงกับไม่กล้าบอกได้ว่าม้าของเขาจะสามารถแบกขอทานผู้นี้ได้หรือไม่
ขอทานคนหนึ่งจะอ้วนถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
และขอทานน้อยที่ได้รับเงินมาก่อนหน้านี้ ต่างกำลังยื่นเงินที่ได้มาทีละเหรียญให้แก่ขอทานอ้วนคนนี้
ขอทานอ้วนมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าเขา
บนโต๊ะมีตาชั่งเล็กๆ วางอยู่
ทุกคนยื่นเงินออกไป ล้วนแต่ต้องใช้ตาชั่งเล็กนี้ตรวจสอบน้ำหนักของเงินที่พวกเขามอบให้
จากนั้น ขอทานอ้วนจึงจะแบ่งอาหารที่มีปริมาณแตกต่างกันให้กับขอทานน้อยตามน้ำหนักที่ชั่งได้
จากสีหน้าเฉยชาขณะมอบเงินของขอทานน้อยเหล่านั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะชินกับการกระทำนี้มานานแล้ว
ไม่เพียงชิน แต่ยังยินยอมพร้อมใจ
และขอทานอ้วนคนนี้ก็ไม่สนใจสายตาของหลิวรุ่ยอิ่ง
เพียงแค่ทำธุระในมือของเขาอย่างเงียบๆ จนเสร็จสิ้น จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองหลิวรุ่ยอิ่งแล้วยิ้ม
เมื่อเขายิ้ม ยิ่งทำให้เขาดูอ้วนขึ้นไปอีก…
แม้แต่แก้มที่เคยเรียบเนียนตอนนี้ก็ปรากฏเป็นชั้นไขมันที่ซ้อนทับกัน
ขอทานอ้วนยิ้มจนปากถึงหู
เผยให้เห็นฟันหน้าที่ไม่เรียงรายและมีสีเหลือง
เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบกระบอกยาสูบในลิ้นชักบนโต๊ะข้างหน้า
เพราะไขมันที่ท้องทำให้ตัวเขาแนบชิดกับโต๊ะ การเปิดลิ้นชักจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเขาสูดหายใจเข้าแรงๆ
จากนั้นหดหน้าท้องเข้าไป ถึงเปิดลิ้นชักออกได้ราวๆ สามชุ่น
แม้ไม่กว้างนัก แต่ก็พอที่จะหยิบกระบอกยาสูบออกมาได้
“ทุกท่านมีธุระใดหรือ”
ขอทานอ้วนดูดยาสูบแล้วถามขึ้นช้าๆ
“ไม่มีธุระใด แค่เดินเล่นเท่านั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ต้องการพูดคุยกับเขามาก
จึงตอบส่งๆ และเตรียมที่จะเดินต่อไป
“เดินเล่น? เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคนมาเดินเล่นที่นี่”
ขอทานอ้วนยิ้มเอ่ย
เขาขยับตัวเพื่อหาท่านั่งที่สบายกว่าเดิม
“คนขอทานที่นี่ ทั้งยังเป็นหัวหน้าขอทาน ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“สถานที่ที่อดอยากก็มีวิธีของมันเอง ที่นี่ไม่มีการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มาจากที่อื่นมักจะใจกว้าง”
ขอทานอ้วนพูดขึ้น
“ข้านับว่าเป็นคนใจกว้างหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เจ้าไม่นับ”
ขอทานอ้วนตอบ
“อยู่ในรายชื่อสิบอันดับแรกหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถามอีก
“ร้อยอันดับแรกยังยากเลย”
ขอทานอ้วนตอบด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
เมื่อมองร่างกายอวบอ้วนของอีกฝ่ายก็รู้ว่าคำพูดนั้นเป็นเรื่องจริงแน่นอน
“แล้วเหตุใดคนที่มาที่นี่ถึงใจกว้างกันนักเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะคนที่มาที่นี่ล้วนหนีปัญหามาทั้งนั้น! ทำผิดที่อื่นก็ต้องหาที่หลบหนี ที่ที่แม้แต่นกยังไม่ขับถ่าย ไม่มีใครสนใจ ไม่ใช่ที่ซ่อนตัวที่ดีที่สุดหรอกหรือ”
ขอทานอ้วนกล่าว
“แอบหนีมาที่เหมืองแร่ ไม่ใช่ว่าต้องทำงานหนักหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ไม่ผิด แน่นอนว่าต้องทำงานหนัก ใครจะไปสนใจชื่อเสียงเรียงนามหรือชะตากรรมของคนงานเหมือง ไม่ว่าจะทำผิดใหญ่หลวงเพียงใด มาที่นี่ทำงานหนักสองปี หลบหนีจากเรื่องเลวร้ายไปได้ ก็สามารถออกไปสนุกสนานอย่างอิสระได้”
ขอทานอ้วนกล่าว
“ไม่แปลกที่คนเหล่านั้นใจกว้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
คนที่ทำผิดใหญ่หลวง ไม่ฆ่าคนก็ปล้นทรัพย์
บางทีหลังจากทำเสร็จแล้ว พวกเขาอาจมีทรัพย์สินนับหมื่นตำลึง
การมาเป็นแรงงานในเหมืองแร่แม้จะยากลำบากมาก
แต่เพียงคิดว่าสองสามปีข้างหน้าจะสามารถออกไปสนุกสนานได้อย่างอิสระ
ความทุกข์ทรมานตรงหน้านี้ก็นับว่าไม่เท่าไรแล้ว
อีกทั้งพวกเขาเหล่านี้จะทำงานจริงจังเลยหรือ
แค่ลงชื่อไว้เท่านั้น
วันๆ มาเหมืองแร่รับลมดื่มสุราเท่านั้น
แม้ว่าสุราที่ผสมกับฝุ่นทรายจะไม่อร่อย
แต่ก็ยังดีกว่าถูกขังคุกหรือตัดหัว
เพราะอย่างน้อยที่นี่ยังมีอิสระ
และอิสระของพวกเขาเหล่านี้ก็มาจากการคุ้มครองของขอทานอ้วนผู้นี้
………………………………………………….