ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 310 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-7
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 310 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-7
บทที่ 310 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-7
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง
รอบด้านมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใด
แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่ากำลังนอนอยู่บนเตียง?
เพราะสัมผัสนุ่มนวลที่ส่งผ่านมาจากด้านหลัง
หากนอนบนพื้นหรือบนโต๊ะ คงไม่มีความรู้สึกนุ่มนวลเช่นนี้
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเตียงนี้ตั้งอยู่ที่ไหน
ไม่รู้เลยว่าตัวเองนอนลงบนเตียงนี้ได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงหลับไป
ความทรงจำของเขายังคงหยุดอยู่เพียงไม่กี่ชั่วยามก่อน ณ โถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมที่เขาได้ร่ำสุรากับทุกคน
เสียงหัวเราะและความสนุกสนานราวกับยังคงดังก้องอยู่ข้างหู
ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มก็ยังคงจารึกอยู่ในดวงตา
แต่จู่ๆ รอยยิ้มเหล่านั้นก็เริ่มบิดเบี้ยว
เริ่มจากปลายจมูก
บิดเบี้ยวราวกับลูกข่างที่กำลังหมุน
และแล้วก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว
เสียงหัวเราะและความสุขนั้นยังไม่ได้หายไปไหน
แต่เริ่มทวีความซ้ำซาก และความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งในที่สุด ทุกคำพูดก็เหมือนเส้นไหมบางเบา
เขานึกถึงช่วงเวลาครั้งเขาทำงานอยู่ที่กรมสอบสวน มีช่วงหนึ่งเขาเข้านอนเร็วมาก
แต่การเข้านอนเร็ว ไม่ได้หมายความว่าจะหลับเสมอไป
แม้ว่าเขาจะดับตะเกียงไปแล้ว แต่อย่างน้อยๆ เขายังต้องรออีกครึ่งชั่วยามกว่าจะหลับตาลง
เหมือนกับตอนนี้ หลิวรุ่ยอิ่งชอบความมืดมิดนี้เป็นอย่างยิ่ง
ไม่เพียงทำให้ดวงตาของเขารู้สึกสบาย
แต่ยังมอบความสงบสุขให้กับเขาอีกด้วย
ความรู้สึกที่ไม่มีเหตุผลนี้ หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เขาก็ทำได้เพียงเปิดใจยอมรับมัน
เพียงแต่ในตอนนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะหรือรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวและหมุนวนอย่างรวดเร็วเช่นนี้
เสียง ‘พรวด!’ ดังขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งอาเจียนออกมา
เขาไม่ทันได้ลุกจากเตียง
เพียงแต่โน้มศีรษะไปทางขอบเตียงเล็กน้อย
สิ่งสกปรกที่เขาอาเจียนออกมานั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ดีว่านี่คือผลจากการที่เขาดื่มมากเกินไป
ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวนั่น
กลับทำให้เขารู้สึกอาเจียนมากยิ่งขึ้น…
แต่ในท้องของเขาตอนนี้ ไม่มีอะไรเหลือให้อาเจียนออกมาอีกแล้ว
เวลานี้เขารู้สึกปวดหัวแทบจะระเบิด กระหายน้ำเกินทน
เขาพยายามลุกจากเตียง
โดยไม่ทันระวังเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบลงบนสิ่งที่เขาเพิ่งอาเจียนออกมา
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาที่จะใส่ใจสิ่งเหล่านั้นมากนัก
เขาแค่อยากดื่มน้ำ
ต่อให้เป็นน้ำที่ใช้สำหรับอาบหรือน้ำล้างเท้า เขาก็ไม่ถือสา
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจว่า หากใครสามารถให้น้ำเขาดื่มได้ คนผู้นั้นจะเป็นผู้มีพระคุณอันดับหนึ่งของเขาเลยทีเดียว
เขาเดินโซเซไปมาจนสะดุดเข้ากับโต๊ะตัวหนึ่ง
ขณะนี้ ดูเหมือนว่าสายตาของเขาเริ่มกลับมามองเห็นชัดเจนขึ้นเล็กน้อย
ที่จริงเป็นเพราะเขาเริ่มชินกับความมืดแล้ว
ฉะนั้น จึงสามารถมองเห็นเค้าโครงของวัตถุบางอย่าง
เขาจึงเห็นว่าบนโต๊ะมีขวดใบหนึ่งวางอยู่
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบขวดนั้นขึ้นมาและรู้สึกถึงน้ำหนักที่หนักอึ้ง
ข้างในต้องเต็มไปด้วยน้ำเป็นแน่
สำหรับเขาในตอนนี้ ไม่มีอะไรเทียบน้ำสักอึกได้
แต่เมื่อเขาดื่มของเหลวที่อยู่ในขวดนั้นเข้าไปกลับพ่นมันออกมาทันที
ในขวดไม่ใช่น้ำ
แต่เป็นสุรา
ยังคงเป็นสุรา
เหมือนกับสุราที่เขาดื่มไปเมื่อคืน สิ่งที่เขาเพิ่งจะอาเจียนออกมาก็เหมือนกัน
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มขมขื่น
จะดื่มน้ำสักคำกลับยากเย็นเพียงนี้เลยหรือ
แต่เขากลับไม่คิดจะเดินออกจากห้องไปดูข้างนอก
เพียงนั่งอยู่เฉยๆ จ้องมองขวดที่อยู่ในมือ
สุราก็ใช้น้ำในการหมัก
แต่มันไม่อาจดับกระหายได้
หลิวรุ่ยอิ่งเปลี่ยนความคิดทันที ถ้าเขาดื่มสุราเยอะๆ จนเมาล้มพับไปอีก ก็น่าจะไม่รู้สึกกระหายน้ำแล้วกระมัง
ดังนั้น เขาจึงดื่มสุรา ‘อั่กๆ’ ไปหลายอึกจนหมดขวด
เมื่อสุราผ่านลำคอ เหงื่อเริ่มผุดพรายเล็กน้อย
ตอนนี้กลิ่นสุราในห้องยิ่งเข้มข้นขึ้น
สุราที่ยังไม่ถูกขจัด เริ่มซึมออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างกายของเขาทีละน้อยขณะที่เหงื่อออก
‘แย่แล้ว…’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
เหงื่อเป็นสัญญาณของการสร่างเมา
หลังจากอาเจียนเสร็จ เหงื่อออกทั้งตัวก็จะสร่างเมา
แต่ยิ่งเขาตื่นตัว เขาก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว
ยิ่งปวดหัว ก็ยิ่งหยุดคิดไม่ได้
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่น้ำ
แต่เป็นกระบี่ของตน
เขาไม่เปิดประตูออกจากห้องเพราะมีเหตุผล
นั่นก็เพราะว่าเขาไม่มีกระบี่อยู่ในมือ
หลายวันนี้ เขาต้องเผชิญกับอันตรายมากมาย แม้ไม่ได้ประสบกับเหตุการณ์ร้ายแรง แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง
ด้วยเหตุนี้หากไม่มีกระบี่อยู่ในมือ เขาจะไม่ยอมออกจากห้องเด็ดขาด
โชคดีที่กระบี่ของเขาวางอยู่ตรงหัวเตียง
ตอนที่นอนอยู่ก่อนหน้านี้ กระบี่ก็วางขนาบไปกับใบหน้าของเขา
หลิวรุ่ยอิ่งกุมศีรษะ กอดกระบี่ของตัวเองแล้วนอนลงไปอีกรอบ
ผู้ที่สามารถวางกระบี่ได้อย่างเรียบร้อยเช่นนี้
หากไม่ใช่คนที่สงบนิ่งอย่างยิ่งในยามตื่นตัว
ก็ต้องเป็นคนที่ดื่มไม่มากพอ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นประเภทไหน
คงเป็นครึ่งๆ กลางๆ กระมัง…
‘ก๊อกๆๆ!’
ในขณะที่เขากำลังจะหลับตาพักผ่อน รอให้เหงื่อสุราระเหยไป ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน
แต่เขารู้ว่าข้างกายมีเยว่ตี๋ หวาหนง และจิ้นเผิงอยู่ จึงไม่น่าจะมีอันตรายอะไร
ทว่าคนที่มาเคาะประตูไม่รอให้หลิวรุ่ยอิ่งพูดอะไร กลับผลักประตูเข้ามาทันที
ถ้าเป็นเช่นนี้จะเคาะประตูทำไมกัน?
ไม่สู้เดินเข้ามาเสียเลย
อย่างน้อยก็ตรงไปตรงมากว่า
เคาะประตูเช่นนี้ ก็ดูเสแสร้งเกินไป
“เจ้าตื่นแล้ว!”
คนที่เข้ามานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเยว่ตี๋
นางถือตะเกียงอยู่ในมือ
ตะเกียงธรรมดา
แสงตะเกียงเป็นสีส้มอมแดง
ไส้ตะเกียงเพิ่งถูกตัดไม่นาน
เปลวไฟเผาไหม้อย่างสม่ำเสมอ
“งานเลี้ยงวันเกิดเลิกราแล้วหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามขึ้น
นี่กลับเป็นคำถามที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร…
งานเลี้ยงวันเกิดแน่นอนว่าจบไปนานแล้ว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
เขาจำอะไรไม่ได้เลย
พูดได้เพียงเรื่องสุดท้ายที่เขาจำได้ เยว่ตี๋จะได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ให้เขาฟัง
“งานเลี้ยงจบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
เยว่ตี๋ตอบ
“เมื่อวาน?”
หลิวรุ่ยอิ่งตกใจลุกขึ้นมานั่งทันที
เขารู้ว่าตัวเองเมา แต่ไม่คิดว่าจะเมาไปถึงหนึ่งวันเต็มๆ
“ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหนึ่งวันครึ่งที่ผ่านมา”
เยว่ตี๋กล่าว
นางวางตะเกียงไว้บนโต๊ะ และนั่งลงข้างโต๊ะ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นนางถือขวดใบหนึ่งมาด้วย
ขวดที่มีลักษณะเหมือนขวดบนโต๊ะของเขา
“ข้าไม่ดื่มสุราแล้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น
เขาก้มศีรษะลง รู้สึกกระดากอายอย่างยิ่ง
“น้ำ เมาสุราตื่นมาแล้วก็ควรดื่มน้ำสักหน่อย”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวขอบคุณ แล้วรับน้ำขวดนั้นมาดื่มจนหมดรวดเดียว
เขาอยากลุกขึ้นและไปนั่งที่โต๊ะ
แต่พอหลิวรุ่ยอิ่งพยายามลุกขึ้นก็มีเสียงดังจากในท้อง
น้ำมีรสหวาน
เหมือนมีน้ำตาลผสมอยู่
“ใส่น้ำผึ้งลงไปเล็กน้อยน่ะ จะได้ไม่ปวดหัว”
เยว่ตี๋กล่าว
ที่จริงแล้วผู้ฝึกยุทธ์สามารถใช้พลังปราณเพื่อชะลอหรือยับยั้งอาการเมาได้
หลิวรุ่ยอิ่งก็ทำได้เช่นกัน
แต่เขาไม่ต้องการทำเช่นนั้น
ทั้งยังไม่มีใครที่ดื่มสุราแล้วจะทำเช่นนี้
เว้นแต่ว่าพยายามโกงยามแข่งดื่มสุรา ถึงจะใช้วิธีดังกล่าว
ดื่มสุราก็คือดื่มสุรา
เมื่อดื่มสุรา ดื่มแล้วเมาก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อเมาแล้ว ก็มักจะทำให้ขายหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพียงแต่ทุกคนก็มีช่วงที่ดื่มจนเมาทั้งสิ้น
ทุกคนต่างก็เสียหน้ากันทั้งหมด ถือว่าเสมอกันไป
ไม่มีใครหัวเราะเยาะใคร
“พวกเราอยู่ที่ไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“อาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวิน”
เยว่ตี๋ตอบ
“ตอนนี้คือเวลาใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“อีกหนึ่งชั่วยามจะรุ่งสาง”
เยว่ตี๋ตอบ
นางดูเหมือนไม่ต้องการบอกอะไรหลิวรุ่ยอิ่งมากนัก
ในสายตาของนาง การดื่มจนเมาและหลับไปเป็นเรื่องธรรมดามาก
ไม่มีอะไรที่ต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษ
นางเพียงตอบคำถามของหลิวรุ่ยอิ่งเท่านั้น
แต่หากหลิวรุ่ยอิ่งถามว่าเขาเมาได้อย่างไร และหลับไปได้อย่างไร เยว่ตี๋ก็จะบอกเขา
ถึงอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง
อีกทั้งการดื่มจนเมาของหลิวรุ่ยอิ่งก็ถือเป็นความกล้าหาญมากทีเดียว
สุดท้ายเขาไปแข่งดื่มสุรากับจิ้นเผิง!
ทั้งคู่มีอ่างเหล็กขนาดใหญ่วางอยู่ตรงหน้า
แต่อ่างเหล็กนั้นหนักประมาณสิบกว่าจิน
ยิ่งไปกว่านั้น ในอ่างนั้นยังบรรจุสุราไว้ประมาณสิบกว่าจินด้วย
เขากับจิ้นเผิงคนละอ่าง
กฎคือใครดื่มได้เร็วกว่าก็เป็นผู้ชนะ
แต่ข้อกำหนดคือห้ามทำหกหรือเทออกมาแม้แต่หยดเดียว
สิ่งที่ไม่คาดคิดคือทั้งคู่จบลงด้วยผลเสมอ
หลังจากดื่มสุราจากอ่างเหล็กนั้นจนหมด
หลิวรุ่ยอิ่งและจิ้นเผิงคนหนึ่งล้มไปข้างหน้า อีกคนล้มไปข้างหลัง
เมาทั้งคู่
ในครึ่งหลังของงานเลี้ยงวันเกิด เจ้าของวันเกิดก็เหมือนกับหลิวรุ่ยอิ่ง ถูกคนอื่นแบกกลับไปที่อาคารกรมสอบสวน
บางทีอาจเป็นเพราะครั้งนี้เมาอย่างหนัก
เป็นครั้งแรกที่จิ้นเผิงไม่ได้ไปหาเหล่าสตรี
ทว่าหญิงสาวที่ชื่อหลี่ชุ่ยนั้น ก็ไม่สามารถมาตามเวลานัดหมายได้
แม้นางจะมาถึงในภายหลัง
แต่จิ้นเผิงก็เมาพับจนถูกพากลับไปที่อาคารแล้ว
หลี่ชุ่ยยืนมองอยู่ที่ประตูอย่างขาดกลัว ไม่เห็นจิ้นเผิงก็จากไปอย่างผิดหวัง
………………………………………………….