ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 305 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-2
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 305 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-2
บทที่ 305 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-2
หลิวรุ่ยอิ่งยืนมองอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าสองคนนี้อาจจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็โง่เหลือทน
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจิ้นเผิงกำลังวางแผนล่อลวงพวกเขาไปทีละขั้น แต่สองคนนี้กลับไม่รู้ตัว
ถึงขนาดตกลงไปในภวังค์สวยหรูที่จิ้นเผิงสร้างขึ้น
คนล้วนมีความฝัน
เหมือนกับที่คนต้องนอนหลับ
กลางวันมีความนึกคิด ส่วนยามราตรีก็มีความฝัน
สิ่งที่นึกคิดในตอนกลางวัน ก็อาจจะฝันถึงในตอนค่ำคืน
เดิมทีความฝันก็ไม่ผิด
มันเพียงแสดงถึงความปรารถนาในใจของผู้คนเท่านั้น
แม้แต่ความฝันที่สกปรกที่สุดก็เช่นกัน
คนสกปรกย่อมคิดแต่เรื่องสกปรก ฝันแต่เรื่องสกปรก
ทว่าตอนนี้ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้นอนหลับ
กลับเริ่มฝันแล้ว
นี่ก็คือฝันกลางวัน
ฝันกลางวันเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดถือ
เพราะฝันกลางวันมีเพียงสัญลักษณ์หนึ่งเท่านั้น
นั่นคือไม่มีความตระหนักรู้ในตัวเอง
“เงื่อนไขคือ ข้อแรกพวกเจ้าต้องตามหานางให้พบเสียก่อน ข้อสองพวกเจ้าต้องทำให้นางยอมเชื่อฟัง”
“ตามหานางไม่ใช่เรื่องยาก เพราะมีเจ้าอยู่ แต่จะทำอย่างไรให้นางยอมเชื่อฟังล่ะ”
ทั้งสองเอ่ยถาม
“บุรุษอกสามศอกสองคนยังจัดการสตรีอ่อนแอคนเดียวไม่ได้อีกหรือ”
จิ้นเผิงถามขึ้น
“น่าเสียดาย นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอ แต่เป็นสตรีแกร่งที่สามารถตัดนิ้วโป้งของพวกเราได้”
ทั้งสองส่ายหัวและกล่าว
“หนามพยศทั้งสี่สิบสองดอกบนมือของหยวนซานพวกเจ้าคงได้สัมผัสมาแล้ว ตอนที่นางมาหาข้าก่อนหน้านี้ นางใช้ไปแล้วสิบดอก ตอนนี้บนตัวนางยังเหลืออีกสามสิบสองดอก ถ้าพวกเจ้าหาวิธีใช้หนามเหล่านั้นให้หมด ก็ไม่ใช่ว่านางทำได้เพียงต้องยอมจำนนแล้วหรือ”
จิ้นเผิงกล่าว
“เป็นวิธีที่ดีจริงๆ…แต่จะใช้อย่างไรให้หมดล่ะ”
ทั้งสองคนรู้สึกลำบากใจ
หนามพยศสี่สิบสองดอกของหยวนซาน ทุกครั้งที่นางใช้งานไม่เคยพลาดเป้า
เมื่อเห็นแสงวูบวาบนั้น สิ่งที่ตามมาก็คือเลือดสดๆ ของตัวเอง
และใช่ว่าจะเห็นได้ทันที
เพราะไม่มีใครสามารถมองเห็นคอหอยของตัวเองได้หากไม่มีกระจก
ทำได้เพียงแค่รอให้เลือดไหลออกมาเรื่อยๆ
ไหลจากลำคอลงมาจนคอเสื้อเปียกชื้น จึงจะเห็นเลือดสดๆ ของตัวเอง
หนามพยศนั้นเดิมก็เป็นหนามอยู่แล้ว
หนามพยศย่อมเป็นหนามที่แหลมคมที่สุดไม่ใช่หรือ
ด้วยฝีมือที่ไม่เคยพลาดเป้า บวกกับอาวุธที่แหลมคมและน่ากลัวเช่นนี้
หยวนซานจึงมีชื่อเสียงร้ายกาจ
อีกทั้งนิสัยชอบตัดนิ้วคนอื่นของนางยิ่งเพิ่มความน่ากลัวขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนนี้ได้รับข้อมูลที่สำคัญที่สุดจากจิ้นเผิง
นั่นคือหนามพยศของหยวนซานมีเพียงสี่สิบสองดอกเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเมื่อใช้หมดแล้วจะยังสามารถเพิ่มได้
แต่การเพิ่มก็ต้องใช้เวลา
ไม่มีผู้ใดสามารถเล่นกลได้
และยิ่งไม่มีพลังวิเศษเฉกเช่นเทพในตำนานที่สามารถสร้างสิ่งต่างๆ จากความว่างเปล่าได้
หลังจากใช้หมดและยังไม่ทันได้เพิ่มนั้น ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่ทั้งสองสามารถทำให้หยวนซานยอมจำนนได้
นึกถึงตรงนี้ ทั้งสองก็เริ่มฝันกลางวันอีกครั้ง
และเริ่มหัวเราะคิกคักไม่หยุด
ก่อนหน้านี้พวกเขายังตั้งคำถามอย่างใจเย็นว่าจะทำอย่างไรให้หนามพยศของหยวนซานหมดไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมไปเสียแล้ว
ผู้ที่ลืมความเสี่ยงย่อมอยู่ไม่ไกลจากความตาย
แต่ในขณะที่ทั้งคู่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงดังปึงปังติดต่อกัน
ทั้งคู่หันไปมองพร้อมกัน เห็นหยวนซานกำลังยืนอยู่ตรงประตูร้านที่จิ้นเผิงทำแจกันแตกก่อนหน้านี้
นางกำลังทุบเครื่องปั้นดินเผาในร้านนั้นลงพื้นทีละชิ้น
และทุกครั้งนางใช้ปราณพลังในการทุบ
ไม่ต้องเอ่ยถึงเศษเครื่องปั้นดินเผา
เพราะมันยังไม่ทันจะลงพื้นก็กลายเป็นผงไปแล้ว
ข้างเท้านางมีกองภูเขาเล็กๆ กองหนึ่ง
เหมือนกับเถ้ากระดูกมนุษย์อย่างยิ่ง
จิ้นเผิงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
จึงทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
มีใต้เท้าหัวหน้าอาคารท่านนี้รับประกันอยู่ แม้จะเผาร้านของเขาทิ้งก็ไม่เป็นไร
ถึงอย่างไรหัวหน้าอาคารท่านนี้จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้เขาอย่างแน่นอน
อีกทั้งสินค้าเหล่านี้ก็ขายออกช้าอยู่แล้ว
ถูกทุบแตกแล้วจ่ายค่าเสียหายตามราคาก็เท่ากับว่าขายออกแล้วไม่ใช่หรือ
คิดถึงจุดนี้ เจ้าของร้านก็แอบส่งสัญญาณให้ลูกจ้างในร้าน
นำเครื่องปั้นดินเผาที่แพงและใหญ่ออกมา
ให้แม่นางท่านนี้ทุบทำลายจนสบายใจ
เวลานี้เสียงเครื่องปั้นดินเผาที่ตกลงพื้นกลับเป็นเสียงที่ไพเราะยิ่งขึ้น
เหมือนกับว่าก้อนเงินกำลังหล่นลงตรงหน้าเขาเสียงดังกระหึ่ม
“ห้าตำลึง…สิบตำลึง! และอีกห้าตำลึง…”
เจ้าของร้านคำนวณในใจ
ยิ้มหน้าบาน
ทุบทำลายไปสักพัก หยวนซานก็หยุดมือ
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบว่าจิ้นเผิงกำลังยิ้มอย่างมีความสุขจ้องมองนางอยู่
ในใจพลันรู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา!
นางคิดว่าตัวเองใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อช่วยเขากำจัดศัตรูสิบคน
จิ้นเผิงไม่เพียงไม่ขอบคุณ แต่เขายังคิดจะหักหลังตนอีก
และยังต้องให้นางรินชาซักผ้าให้คนอัปลักษณ์สองคนนี้อีก
หนามเหล่านั้นพุ่งโจมตีไปยังจิ้นเผิง
“เจ้าดูสิ ไม่ใช่ว่าสิ้นเปลืองไปอีกสามดอกแล้วหรือ”
จิ้นเผิงกล่าวเสียงเอื่อย
ไม่รีบร้อน
แต่ทั้งสองคนนั้นถอยห่างออกไปหลายจั้งในชั่วพริบตา
ตอนนี้พวกเขาถึงรู้สึกเหมือนตื่นจากฝัน
รู้ว่าเงื่อนไขที่จิ้นเผิงพูดมานั้นยากที่จะทำได้จริง
หนามพยศสามดอกนั้นเปลี่ยนทิศทางไปมาหลายครั้งในอากาศ
สุดท้ายการโจมตีถูกแบ่งออกเป็นสามทิศทาง ซ้าย กลางและขวา พุ่งเข้าหาไม่หยุดหย่อน
จิ้นเผิงยืนมือกอดอก
คอเรียวยกสูง
ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ได้ต่อสู้หรือหลบหลีก
ในชั่วขณะนั้น หลิวรุ่ยอิ่งพยายามจะชักกระบี่ออกมาช่วยเหลือ
แต่หนามสามดอกนั้นกลับสูญเสียพลังไปก่อนที่จะถึงลำคอของจิ้นเผิงเพียงไม่ถึงหนึ่งชุ่น
และตกลงพื้นอย่างอ่อนแรง
“ไม่เคยพลาดเป้าหรือ แต่นี่ก็พลาดไปเสียแล้ว!”
จิ้นเผิงหันกลับมาพลางหัวเราะให้สองคนนั้น
จากนั้นเขาก้มลงเก็บหนามสามดอกที่ตกอยู่บนพื้น
แต่ขณะที่กำลังเก็บ เขาไม่ทันระวังจนทำให้หนามทิ่มแทงนิ้วมือ
หยดเลือดสีแดงสดผุดพรายขึ้นมาจากผิวหนัง
“ตราบใดที่มีเลือดไหล ก็ไม่ถือว่าพลาดเป้า”
หยวนซานพูดขึ้น
ดูเหมือนจะพอใจมาก
“ถูกต้องอย่างยิ่ง! สุดท้ายก็ยังมีเลือดไหลออกมา!”
จิ้นเผิงถูกหนามทิ่มนิ้วจนเลือดไหล เขาก็ล้มเลิกความคิดเรื่องปราณกระบี่หนามพยศ
เขาเอานิ้วโป้งที่ถูกทิ่มแทงใส่ในปาก
แล้วใช้ลิ้นเลียเลือดที่ไหลออกมาจนสะอาด
แต่ความรู้สึกชาและมึนที่ตามมาทันที ทำให้เขารู้ว่าตนถูกวางยาพิษ
จิ้นเผิงตวัดสายตามองหยวนซาน
ความพึงพอใจบนใบหน้านางพิ่มขึ้นจนเด่นชัด
คนเราเมื่อมีความสุขที่สุด มักจะไม่หัวเราะเสียงดัง
แต่จะยิ้มกว้างจนมุมปากยกขึ้นไปถึงโคนหู
นั่นคือสีหน้าของหยวนซานในขณะนี้
หากสีหน้านี้อยู่ที่ผู้อื่น อาจทำให้รู้สึกขยะแขยง
แต่เมื่ออยู่บนใบหน้าของหยวนซาน มันกลับเพิ่มความน่ารักและซุกซนอย่างเหลือเชื่อ
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าทำสิ่งต่างๆ อย่างระมัดระวังมากถึงเพียงนี้”
จิ้นเผิงเอ่ยขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเขาได้รับพิษแล้ว
แต่ก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนก่อน
“ความระมัดระวังจะช่วยให้รอดพ้นจากความเสี่ยงได้นานขึ้น”
หยวนซานกล่าว
“หนามพยศของเจ้าไม่เคยพลาดเป้า เหตุใดยังต้องอาบยาพิษลงไปด้วยเล่า”
จิ้นเผิงถาม
“เพราะข้ากังวลว่าถ้าวันหนึ่งข้าพลาดเป้าขึ้นมา นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องอาบยาพิษ และแม้ว่าข้าจะไม่พลาดเป้าไปตลอดชีวิต ข้าก็ยังจะอาบยาพิษไว้”
หยวนซานตอบ
“นี่มันหลักการใดกัน”
จิ้นเผิงถาม
หากทั้งชีวิตไม่มีผิดพลาด เมื่อลงมือย่อมไม่มีใครรอดชีวิต
การอาบยาพิษลงไปอีก ก็เท่ากับว่าทำเกินความจำเป็นไปแล้ว
“ความระมัดระวังจะช่วยให้รอดพ้นจากความเสี่ยงได้นานขึ้น”
หยวนซานกล่าวซ้ำคำพูดเดิมอีกครั้ง
เพียงแต่น้ำเสียงต่างออกไป
ครั้งแรกที่นางพูดแฝงการเยาะเย้ย
แต่ครั้งหลังนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
ดูเหมือนว่านางมีประสบการณ์ที่แสนลึกซึ้งกับประโยคนี้
“ข้าต้องทำอะไร เจ้าถึงจะให้ยาถอนพิษข้า”
จิ้นเผิงถาม
“ถ้าเจ้าไปพบคนผู้หนึ่งกับข้า ข้าจะให้ยาถอนพิษเจ้า”
หยวนซานตอบ
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรข้าก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงสองชั่วยาม คนที่เจ้าอยากให้ข้าพบคงเป็นคนที่ข้าไม่อยากพบ ข้าไม่อยากใช้เวลาห้วงสุดท้ายของชีวิตพูดคุยกับคนที่ไม่อยากพบ”
จิ้นเผิงส่ายหัวและหมุนกายเตรียมจะเดินจากไป
สองคนนั้นยืนอยู่ข้างๆ แต่กลับเหมือนขลาดเขลาขึ้นอีกครั้ง
สุดท้ายแล้ว จิ้นเผิงก็พาพวกเขาหาหยวนซานพบจริงๆ
พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตามจิ้นเผิงเดินเล่นอีกต่อไป
ตอนนี้สิ่งที่ทำให้จิ้นเผิงปวดหัวไม่ใช่เพราะพิษในร่างกาย
เพราะเขามั่นใจว่า ไม่ว่าอย่างไรหยวนซานก็ไม่ยอมให้เขาตาย
ไม่เช่นนั้น ช่วงหลายปีที่ผ่านมานางมีโอกาสมากกว่าแปดร้อยครั้งที่สามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
แต่นางก็ไม่ได้ทำ
หากก่อนหน้านี้นางไม่ได้ทำ ตอนนี้นางก็คงไม่ทำ
คนเราเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
โดยเฉพาะสตรียิ่งเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
อารมณ์เปลี่ยน ใบหน้าก็เปลี่ยนไปในพริบตา
แต่การที่พวกนางยืนกรานในสิ่งที่เชื่อมั่นกลับสามารถรักษาความคงเส้นคงวาไปได้ตลอด
จิ้นเผิงคิดว่าหยวนซานต้องหยอกล้อเขาอยู่แน่นอน
ดังนั้นแค่ต้องรอให้อารมณ์ของนางสงบลง เขาก็จะได้รับยาถอนพิษโดยไม่ต้องร้องขอ
ส่วนเรื่องคนผู้นั้น
ไม่ว่าอย่างไรจิ้นเผิงย่อมไม่มีทางไปพบ
แม้กระทั่งความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่าเป็นใครก็ไม่มีแม้แต่น้อย
เขาแค่อยากจัดการกับห้าศัตรูเก่าที่ออกมาจากคุกโดยเร็วที่สุด
แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นสหายเก่า
คนที่เป็นศัตรูกันมานานอาจเข้าใจตัวเรามากกว่าสหายเสียอีก
หากคนผู้หนึ่งต้องการแก้แค้น พวกเขามักจะใส่ใจและจริงจังกับศัตรูมากกว่าสหายหรือแม้แต่ญาติของตัวเองด้วยซ้ำ
และเรื่องราวในโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวคือคำว่า ‘จริงจัง’ สองคำนี้
ขอเพียงจริงจังมากพอ แม้แต่คนที่โง่ที่สุดก็สามารถเข้าใจเบาะแสของเรื่องราวนี้ได้
แค่ต้องใช้เวลามากขึ้นเท่านั้นเอง
……………………………………………