ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 301 ชายพเนจรมักคิดถึงบ้าน-1
บทที่ 301 ชายพเนจรมักคิดถึงบ้าน-1
“เจ้าเดินไวเช่นนี้ คิดจะหลบหนีหรือ”
คนทั้งสองเอ่ยถาม
จิ้นเผิงเดินเข้าไปในถนนสายนั้น
ถนนนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะในวันนี้
จิ้นเผิงเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไร
ราวกับว่าคนทั้งเมืองหยางเหวินมารวมกันที่นี่จนหมด
แต่เขาไม่พบใครที่รู้จักเลย
คิดว่าเหล่าสหายของเขาน่าจะมาถึงกันพอสมควรแล้ว
แต่เขายังไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว
“ข้าไม่คิดจะหนีไปไหนหรอก อีกอย่างข้าจะหนีไปที่ไหนได้”
จิ้นเผิงหันไปพูดกับสองคนที่อยู่ข้างหลังเขา
“เจ้าหนีไปไหนก็ได้ทั้งนั้น เพราะเจ้าไม่ต้องการให้พวกเราหาสตรีคนนั้นพบ”
ทั้งสองคนตอบกลับมา
“ไม่ใช่อย่างนั้น…กลับกัน ข้าเองก็อยากอยู่กับพวกเจ้าไปตลอด”
จิ้นเผิงกล่าว
“อยู่ด้วยกันไปตลอด?”
ทั้งสองประหลาดใจ
คำพูดนี้หากบุรุษคนใดพูดกับสตรีย่อมเป็นความหลงใหล
แต่เมื่อบุรุษกับบุรุษพูดกันเองเช่นนี้ มันกลับทำให้รู้สึกน่าขยะแขยง…
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นบทสนทนาระหว่างบุรุษสามคน
“หลังจากผ่านไปสองชั่วยามแล้วเจ้าจะต้องตายจริงๆ หรือ”
ทั้งสองเอ่ยถาม
“แม้ข้าจะชอบพูดติดตลก แต่ข้าคิดว่าในโลกนี้คงไม่มีผู้ใดเอาเรื่องเช่นนี้มาพูดเล่นกระมัง”
จิ้นเผิงกล่าวพลางแบมือ
“ใครจะฆ่าเจ้า”
“เจ้าควรจะถามว่าใครฆ่าเขาได้!”
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนพูดไปคนละทาง
คนที่มีเคราและผมดกดำถามว่าใครจะฆ่าจิ้นเผิง
ในขณะที่ชายที่ดูเหมือนขันทีเก่ากลับบอกว่าควรถามว่าใครสามารถฆ่าจิ้นเผิงได้
“มีคนห้าคนอยากฆ่าข้า พวกเขาก็เหมือนพวกเจ้า แปลกประหลาดกันทุกคน แต่พวกเขากับข้ามีความแค้นเก่า ก็เหมือนที่เจ้าทั้งสองมีความแค้นเก่ากับสตรีผู้นั้น ส่วนจะฆ่าข้าได้หรือไม่นั้น…ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ในทางกลับกัน หากมีใครอยากให้ข้าตาย ข้าก็มักจะเตรียมใจไว้ล่วงหน้าเสมอว่าข้าคงจะต้องตาย”
จิ้นเผิงกล่าว
“เจ้าคงเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลไม่น้อย เหตุใดเมื่อเจอกับวิกฤติถึงไม่คิดหาวิธีช่วยเหลือตัวเอง กลับต้องเตรียมตัวเตรียมใจลงโลงด้วยเล่า”
ทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง
“บุคคลที่มีอิทธิพล?”
จิ้นเผิงหัวเราะเยาะตัวเอง
สิ่งที่เรียกว่า ‘บุคคลผู้มีอิทธิพล’ น่ะหรือ
ลมกับเมฆนั้นดูเป็นอิสระไร้ใดเปรียบ
พระอาทิตย์ส่องแสง ท้องฟ้าแจ่มใส ไร้เมฆพันลี้
และเมืองหยางเหวินนี้เป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในหุบเขา น้อยครั้งจะมีลมพัดผ่าน
ลมพัดกระหน่ำฟ้า ที่แห่งนี้กลับถูกบังคับให้หยุดนิ่ง
อีกอย่างแม้จะไม่ใช่เมืองหยางเหวินก็ไม่ต่างกัน
ลมพัด เมฆคล้อย
เมฆคล้อย ลมก็จะพัดห่างไป
เดิมทีสองสิ่งนี้ก็ไม่อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าใครริเริ่มนำคำว่า ‘ลม’ และ ‘เมฆ’ ที่เป็นศัตรูทางธรรมชาติมาใช้ร่วมกัน แล้วยังใช้เปรียบเทียบกับคนอีก
จิ้นเผิงไม่ได้บอกว่าคำนี้ไม่เหมาะสม
แต่เขารู้สึกว่านำมาใช้อธิบายตัวเขาก็ออกจะไม่เข้ากับเขาเท่าไรนัก
โดยเฉพาะเขาในวันนี้และเวลานี้ คำนี้ดูไม่ค่อยเหมาะเลยจริงๆ
“หลังจากนี้สองชั่วยามเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเจ้าหรือ”
ทั้งสองเอ่ยถาม
“ใช่ เป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของข้า”
จิ้นเผิงพยักหน้าตอบ
“อยากมาร่วมงานหรือไม่”
จิ้นเผิงเปลี่ยนหัวข้อถามขึ้นมากะทันหัน
“ไม่เอา…พวกเรามาที่นี่เพียงเพื่อตามหาสตรีผู้นั้น ในงานเลี้ยงต้องดื่มสุรา อีกอย่างพวกเราก็ไม่ใช่สหายของเจ้า”
ทั้งสองกล่าว
“เมื่อก่อนไม่ใช่ แต่ตอนนี้ไม่สามารถเป็นสหายใหม่ได้หรือ ในงานเลี้ยงจะดื่มสุราหรือไม่ก็ไม่มีใครบังคับหรอก”
“สตรีผู้นั้นจะไปงานเลี้ยงวันเกิดของเจ้าหรือไม่”
ทั้งสองเอ่ยถาม
“พูดตามตรง ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าไม่ได้ส่งเทียบเชิญให้นาง และข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงมาที่เมืองหยางเหวิน”
จิ้นเผิงตอบ
“นางไม่ได้ตัวติดเจ้ามาตลอดหลายปีหรอกหรือ”
ทั้งสองถาม
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะรู้เรื่องนี้ดีจริงๆ แม้กระทั่งเรื่องนี้พวกเจ้าก็รู้”
จิ้นเผิงหันมองทางนั้นทีทางนี้ทีและพูดอย่างเหม่อลอย
“หากเจ้าถูกคนตัดนิ้วโป้งออก เจ้าก็คงใส่ใจเช่นนี้เหมือนกัน”
ทั้งสองคนกล่าว
“ชีวิตของข้ากำลังจะรักษาไว้ไม่ได้อยู่รอมร่อ พวกเจ้าคิดว่าข้าสนใจแค่ไหนเชียว”
จิ้นเผิงตอบ
“นั่นเพราะว่าเจ้ารู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะไม่ตาย”
ทั้งสองคนพูดขึ้นมา
“ก็จริง เจ้าทั้งสองพูดแล้วว่าให้ข้าหาสตรีผู้นั้นจนกว่าจะพบ ถ้าสองชั่วยามให้หลังก็ยังหาไม่พบ เช่นนั้นพวกเจ้าจะปล่อยให้ข้าตายหรือ”
จิ้นเผิงถาม
“ไม่มีทาง ต้องหานางให้พบก่อน”
ทั้งสองคนพูดขึ้น
“นั่นแหละ!”
จิ้นเผิงตอบกลับ
เขาเดินเข้าไปในร้านค้าข้างถนนร้านหนึ่ง
แม้แต่ในถนนที่คนพลุกพล่าน ร้านนี้ก็ยังดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เพราะมันเงียบสงบจนเกินไป
แม้ประตูร้านจะเปิดอยู่ ข้างในก็ไม่มีคน
หน้าประตูร้านก็ไม่มีลูกจ้างคอยเร่ร้องขายของ
จิ้นเผิงเดินเข้าไปข้างใน
กลับพบว่ามีคนสองคนยืนอยู่ในเงาตรงด้านในสุดของร้าน
ซึ่งก็คือหลิวรุ่ยอิ่งกับหวาหนง
ส่วนเยว่ตี๋
นางอยากเดินเล่นคนเดียว
หลังจากที่เข้าไปในถนนสายนี้ นางก็แยกจากเขาทั้งสอง
นัดหมายกันว่าสองชั่วยามให้หลังจะพบกันหน้าประตูโรงเตี๊ยมที่จัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิด
และบังเอิญว่าเป็นเวลาสองชั่วยามเช่นกันพอดี
หลิวรุ่ยอิ่งมองดูจิ้นเผิงเดินเข้ามา
โดยไม่ได้คิดอะไร
เขาไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบกรมสอบสวนเช่นกัน
บนตัวก็ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ที่บ่งบอกตัวตน
ทว่าสองคนที่ตามหลังเขามีเอกลักษณ์ไม่ธรรมดา
พวกเขาตามจิ้นเผิงอย่างใกล้ชิด
เหมือนกับว่าพวกเขาคือสองผู้พิทักษ์ที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
“น้องชายกำลังมองหาอะไรอยู่หรือ”
“ท่านใช่เจ้าของร้านนี้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่ใช่”
จิ้นเผิงส่ายหัวตอบ
“แต่ข้าเป็นสหายของเจ้าของร้าน!”
จิ้นเผิงพูดต่อ
พูดจบเขาก็ใช้มือตบไปที่ชั้นวางสินค้าอย่างแรง
“ฉะนั้นหากเจ้าต้องการสิ่งใดก็หยิบไปได้เลย”
จิ้นเผิงพูดพร้อมยิ้ม
เขารู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งกับเขาดูเหมือนจะถูกชะตากันยิ่งนัก
ความรู้สึกเช่นนี้ หากใช้กับบุรุษสตรีก็คือรักแรกพบ
ทว่าหากเป็นบุรุษกับบุรุษด้วยกันเอง ก็คือเจอกันครั้งแรกกลับรู้สึกสนิทเหมือนเป็นสหายเก่า
จิ้นเผิงกับหลิวรุ่ยอิงเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกสนิทเหมือนเป็นสหายเก่า
นี่ทำให้ในใจเขารู้สึกปีติอย่างมาก
ไม่คาดคิดว่าคนที่กำลังจะตาย จะยังพบเจอคนที่สามารถทำให้เขารู้สึกผูกพันได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
“เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง…”
หลิวรุ่ยอิงพูดขึ้น
ที่จริงเขาเองก็สนใจในสินค้าหลายอย่างในร้านนี้
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ไม่เพียงแต่ในร้านไม่มีคนขายเท่านั้น กระทั่งราคาก็ไม่ได้แปะไว้ด้วยซ้ำ
“ไม่มีอะไรที่ดีหรือไม่ดีหรอก ถึงอย่างไรเถ้าแก่ร้านนี้ก็ไม่สนใจเรื่องเงินพวกนี้ เขาไม่ใช่คนที่ทำการค้าเป็นอยู่แล้ว”
จิ้นเผิงพูดขึ้น
ในเรื่องนี้ หลิวรุ่ยอิงกลับเห็นด้วยอย่างมาก
คนทำการค้าจะมีเวลาว่างเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ร้านเปิดอยู่แต่ไม่มีใครออกมาดู
สินค้าที่วางอยู่บนชั้นก็เรียงรายไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
ต่อให้มีคนขโมยไปสักสองสามชิ้น ก็ยังยากที่จะสังเกตเห็นได้
“ใครว่าข้าไม่ทำการค้า ข้าแค่ไม่ขายของให้เจ้าเท่านั้น!”
เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังร้าน
ตามด้วยเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นชายอ้วนท้วนคนหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากเงามืด
แต่ชายอ้วนคนนี้ไม่ได้เดินออกมา
และไม่ได้วิ่งออกมา
ทว่าเขานั่งรถไม้สี่ล้อคันหนึ่งออกมา
เสียงที่เพิ่งได้ยินก็คือเสียงเสียดสีของล้อรถไม้
“คาดว่าท่านน่าจะเป็นเจ้าของร้านนี้แน่นอน!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยขึ้น
แต่ชายอ้วนคนนั้นไม่ได้ใส่ใจหลิวรุ่ยอิ่งแม้แต่น้อย
เขาแค่เบิกตากว้างและจ้องมองจิ้นเผิงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว!
“คิดไม่ถึงว่าหนานเจิ้นจะหลบซ่อนอยู่ที่นี่!”
สองคนที่อยู่ข้างหลังจิ้นเผิงกล่าว
ชื่อนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกคุ้นหู
แต่เขานึกไม่ออกอยู่นานว่าได้ยินมาจากที่ไหน
ทว่าเมื่อได้เห็นภายในร้านค้านี้เต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์ รวมถึงรถเข็นสี่ล้อที่เจ้าของร้านนั่งอยู่ก็ทำให้เขานึกขึ้นได้
นี่ไม่ใช่ช่างฝีมือที่ชื่อดังในใต้หล้าเมื่อครั้งอดีตหรอกหรือ
กระทั่งผลงานอาภรณ์ที่เขารังสรรค์ออกมานั้น ยังสามารถใช้เป็นชุดปลอมตัวได้
ถึงแม้เขาจะเดินไม่ได้ แต่ก็คิดค้นสิ่งประดิษฐ์มากมายเพื่อช่วยเหลือตัวเองให้เคลื่อนไหวได้
เป็นเทพเซียนที่สามารถตักข้าวตักน้ำเข้าปากได้โดยไม่ต้องทำเอง
“วันนี้เป็นวันเกิดข้า เจ้าไม่ให้ของขวัญข้าก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดเจ้าต้องเดือดเป็นฟืนเป็นไฟด้วยเล่า”
จิ้นเผิงพูด
“เพราะเจ้าแย่งเมียข้าไปน่ะสิ! และพวกเราตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่ติดต่อกันอีก! ทำไมเจ้าถึงมาที่ร้านของข้าอีก แล้วยังเอาของของข้าไปให้คนอื่น?!”
หนานเจิ้นพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
อารมณ์ครุกรุ่น
แต่คำพูดนี้ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง
ไม่ควรล่อลวงหรือทำตัวใกล้ชิดกับภรรยาของสหาย
หากจิ้นเผิงทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ นั่นถือเป็นความผิดที่ใหญ่หลวง
ไม่แปลกใจที่หนานเจิ้นจะกลายเป็นศัตรูกับเขา
แม้ในอดีตหนานเจิ้นจะไม่สามารถเดินได้และถูกมองว่าเป็นคนพิการ
แต่เขาฉลาดเฉลียวมาก
ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เขาคิดไม่ถึง
ทว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถทำให้ความคิดเหล่านั้นกลายเป็นจริงได้
เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์
แต่ก็อิจฉาผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถกระโดดขึ้นไปบนหลังคาได้
ดังนั้นเขาจึงปรับปรุงรถเข็นสี่ล้อของตัวเอง
แน่นอนว่าเพียงกดปุ่มก็สามารถทะยานขึ้นไปในอากาศได้
ต่อมาเขารู้สึกว่าการทะยานขึ้นไปเพียงอย่างเดียวยังไม่สนุกพอ
ความสามารถแท้จริงนั้นคือการที่บินได้อย่างอิสระไม่ต่างจากนกบนท้องฟ้า
หลังจากปรับแต่งแล้ว สุดท้ายเขาก็สามารถบังคับรถเข็นสี่ล้อของเขาให้บินได้จริงๆ
แม้ว่าจะเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ ไม่กี่ลี้ และไม่ได้บินสูงมากนัก
แต่ท้ายที่สุดมันก็บินขึ้นไปได้
ตอนนั้น มีบรรดาตระกูลผู้ดีมากมายที่ปรารถนาจะซื้องานฝีมือเขา
แต่เขาไม่ขายให้ใครหน้าไหน
หนึ่งในเหตุผลก็คือ เขาไม่รู้ว่าจะตั้งราคาขายงานฝีมือของเขาเท่าไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ รถเข็นสี่ล้อนั้นมีเพียงคันเดียวเท่านั้น
ขายไปแล้วเขาจะนั่งอะไร
มีหลายคนบอกว่าเขาเป็นคนโง่
ด้วยทักษะเช่นนี้ เขาจะสร้างรถเข็นสี่ล้อให้ตนเองใหม่ไม่ได้เลยหรือ
แม้หนานเจิ้นจะสามารถสร้างรถใหม่ได้อย่างง่ายดาย
แต่เขาไม่อยากทำ
เพราะเขาขี้เกียจ
ในเรื่องง่ายดายเมื่อลงมือทำจริงก็ต้องใช้แรงกาย
เขาเพียงแค่ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาสนใจเท่านั้น
ส่วนสิ่งอื่นเขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ ตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน เขาจึงเป็นสุดยอดช่างฝีมือหนึ่งเดียวในใต้หล้าแต่กลับเป็นยาจกผู้หนึ่ง
คนยากจนหาภรรยาไม่ได้
เพราะสตรีมักจะเข้าใจความเป็นจริงและเป็นผู้ใหญ่มากกว่าบุรุษเสมอ
ความเป็นจริงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
กลับเป็นสิ่งดีด้วยซ้ำ
เพราะตราบใดที่เขายังเป็นมนุษย์ เขาก็ต้องกิน ดื่ม อุจจาระ และนอน
แม้ว่าหนานเจิ้นจะบินได้เหมือนนก แต่เขาไม่สามารถกินหนอนได้เหมือนนก
เขายังต้องกินข้าวหรือบะหมี่
แต่ตอนนี้เขายากจนถึงขั้นต้องกินหนอนแทนแล้ว
แม้แต่ความคิดที่ล้ำเลิศของตนเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำให้กลายเป็นจริงได้
แต่เขาก็ยังไม่ยอมทำการค้าเพื่อหาเงิน
เพราะเขารู้สึกว่าไม่ว่าจะทำการค้าอะไรก็ตาม ล้วนมีโอกาสขาดทุน
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะขาดทุนก็ต้องมีทุนก่อนถึงจะขาดได้
แต่หนานเจิ้นนั้นข้นแค้น ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง
นอกจากพาหนะสี่ล้อที่นั่งอยู่นี้ หนานเจิ้นแทบไม่มีเงินติดตัวเลย
แต่ในช่วงเวลานั้น สตรีนางหนึ่งก็เดินเข้ามาในชีวิตเขา
เป็นสตรีที่งดงามมาก
ไม่มีใครรู้ว่าสตรีที่งดงามเช่นนี้ เหตุใดจึงมาหาชายยากไร้อย่างเขาได้
……………………………………………