ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 300 ผ้าขาวกับของขวัญงานเลี้ยงวันเกิด-6
บทที่ 300 ผ้าขาวกับของขวัญงานเลี้ยงวันเกิด-6
ขณะที่เขาตัดสินใจจะเริ่มดื่มสุรา…
จู่ๆ ก็มีคนสองคนนั่งลงตรงหน้าเขา
ในร้านสุราการนั่งร่วมโต๊ะกันเป็นเรื่องปกติ
โดยเฉพาะเวลาค่ำคืนที่ร้านคึกคัก
แต่ร้านสุราในเมืองหยางเหวินนั้นไม่เคยเต็ม
เพราะคนในเมืองไม่ได้มีมากมายนัก
หรือแม้แต่ในค่ำคืนที่ลูกค้าเต็มร้าน
ก็ไม่มีใครกล้ามานั่งร่วมโต๊ะกับจิ้นเผิง
แต่สองคนนี้ไม่ได้เดินเข้ามาทางประตูอย่างเปิดเผย
กลับปีนผ่านหน้าต่างเข้ามาแทน
พวกเขาคำนวณการเคลื่อนไหวได้อย่างละเอียด
ในชั่วพริบตาที่พวกเขาปีนเข้ามา ก็นั่งลงตรงหน้าจิ้นเผิงทันที
ทั้งสองมีสีหน้าเย็นชา
แต่การแต่งตัวของพวกเขาเรียบร้อยและพิถีพิถัน
แววตาของพวกเขาดูผิดปกติ
เพราะพวกเขาทั้งสองจ้องตรงไปยังมือขวาที่จิ้นเผิงใช้จับจอกสุรา
หรือจะพูดให้ถูกก็คือจ้องไปที่นิ้วโป้งของเขา
ทั้งสองดูอายุใกล้เคียงกัน
และหน้าตาไม่ต่างกันมากนัก
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ หนึ่งในพวกเขามีเคราหนา
เคราข้างแก้มและจอนผมตรงขมับเชื่อมต่อกัน
ส่วนอีกคนไม่มีผมสักเส้น
ไม่มีหนวด ลูกกระเดือกก็ไม่โผล่ออกมา
ดูเหมือนจะเป็นขันทีเก่า
“เสี่ยวเอ้อร์!”
จิ้นเผิงไม่สนใจสายตาของพวกเขา
เรียกเสียงดังขึ้น
“ใต้เท้ามีอะไรให้รับใช้หรือขอรับ”
“เตรียมชุดชามตะเกียบให้สหายของข้าสองท่านนี้ด้วย แล้วก็เอาจอกสุรามาอีกสองจอก”
จิ้นเผิงกล่าว
เขาที่เดิมทีเงียบเหงาไม่มีชีวิตชีวา แต่คำพูดนี้กลับดูมีชีวิตชีวาอย่างผิดปกติ
เขาเริ่มรู้สึกมีความสุขอีกครั้ง
เพราะมีคนนั่งอยู่ตรงหน้า
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่สหาย
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถร่วมดื่มกับเขาได้
ตราบใดที่มีคนอยู่ข้างๆ
ก็สามารถขจัดความโดดเดี่ยวไปได้บ้าง
“ข้าไม่ดื่มสุรา”
ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน
คนที่มีเคราหนา เสียงทุ้มต่ำ
ดูเหมือนขันทีจริงๆ
“ไม่ดื่มสุรา เช่นนั้นกินอาหารก็แล้วกัน”
จิ้นเผิงพูดขึ้น
ด้านหน้าเขามีอาหารว่างวางอยู่ไม่กี่จาน
เขาจึงสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำอาหารจานร้อนมาเพิ่มอีกหลายจาน
เสี่ยวเอ้อร์วางชามตะเกียบและจอกสุราไว้ ทั้งยังเพิ่มสุราอีกกาให้จิ้นเผิง
แล้วตอบรับเสียงหนึ่งก่อนจะจากไป
พวกเขาล้วนรู้ดีว่าใต้เท้าท่านนี้มีสหายมาก
ดังนั้นต่อให้มีคนแปลกหน้ามานั่ง พวกเขาก็ไม่สนใจจะมองหรือถามไถ่
อีกทั้งเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็รู้ดีว่าควรหนีห่างเท่าที่จะทำได้
รู้มากเกินไป เกรงว่าคนที่กลายเป็นศพอาจเป็นตัวเองก็ได้
“พวกเราไม่หิว!”
ทั้งสองพูดพร้อมกันอีกครั้ง
“ไม่หิวและไม่ดื่มสุรา แล้วเหตุใดต้องมานั่งที่นี่เล่า ร้านสุราเป็นสถานที่สำหรับดื่มสุราและกินอาหาร หากอยากเล่นการพนันก็ออกไปขวามือแล้วเดินตรงไป แต่หากอยากหาสตรีก็ไปที่ติดกับบ่อนพนันนั่นละ”
จิ้นเผิงกล่าว
เขาดื่มสุราในจอกของตัวเองจนหมด
แล้วก็รินสุราให้ทั้งสองคน
พวกเขามองจอกสุราตรงหน้า
วางมือขวาลงบนโต๊ะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
มือขวาของพวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งใหญ่คนหนึ่งเล็ก
กลับตรงกันข้ามกับลักษณะของผมและเครา
คนที่เคราหนามีมือเล็ก
ส่วนคนที่หัวล้านไม่มีลูกกระเดือกกลับมีฝ่ามือใหญ่เท่าใบพัด
แต่มือของทั้งคู่มีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน
นั่นคือทั้งสองคนต่างก็ไม่มีนิ้วโป้ง
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้ามาเพื่อสังหารข้า”
จิ้นเผิงเห็นมือของทั้งสองคนก็เข้าใจทุกอย่างทันที
จากกล่องไม้ของสตรีผู้นั้นมีสิบนิ้วมือบรรจุอยู่ เป็นไปได้ว่ามีสองนิ้วที่เป็นของทั้งสองคนนี้
แต่เมื่อมองใกล้ๆ อีกที ก็รู้สึกไม่ใช่
เพราะตรงตำแหน่งนิ้วโป้งที่ขาดไปของทั้งสองคน บาดแผลดูเหมือนว่าหายเป็นปกติมานานแล้ว
รอยแผลเรียบร้อยสมบูรณ์
ไม่ใช่บาดแผลที่เพิ่งถูกตัดนิ้วออก
อีกทั้งด้วยนิสัยของสตรีผู้นั้น
นางคงจะฆ่าคนก่อนแล้วจึงตัดนิ้วพวกเขาออกเป็นแน่
จิ้นเผิงก็ไม่รู้ว่านี่เป็นวิตถารประเภทใด
ตอนที่เขาเพิ่งรู้จักสตรีผู้นี้
หลังจากนางฆ่าคนแล้ว นางมักจะตัดมือที่ถืออาวุธนั้นออก
พร้อมกับนำทั้งมือและอาวุธที่ใช้ไปด้วย
ชื่อเรียกอย่างงดงามคือ ‘การสะสม’
จิ้นเผิงเคยเห็นคนที่สะสมโบราณวัตถุและงานศิลป์
เคยเห็นคนที่สะสมสมบัติและจวนหลังใหญ่
หรือแม้แต่คนที่สะสมสาวงาม
แต่ยังไม่เคยเห็นใครสะสมชิ้นส่วนของร่างกายที่ถูกตัดออกและอาวุธเช่นนี้มาก่อน
ไม่ปฏิเสธว่านี่เป็นนิสัยประหลาดที่วิตถารจริงๆ
แต่การกระทำของทุกคนย่อมมีเหตุผล
แม้จิ้นเผิงจะไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
ทว่าหลังจากที่คุ้นเคยกันมากขึ้น มีครั้งหนึ่งเขาเคยพูดถึงเรื่องนี้ สตรีผู้นั้นก็เปลี่ยนนิสัยของนาง
นางเปลี่ยนเป็นตัดแค่นิ้วโป้งออกเท่านั้น
และบางครั้งนางแค่ต้องการนิ้วมือไม่ได้ต้องการชีวิต
นี่ไม่ใช่ว่าสร้างภัยแฝงให้ตัวเองอย่างไม่สิ้นสุดหรอกหรือ
คนตายแล้ว แม้เจ้าจะลบหลู่ร่างของเขา
ก็ไม่มีทางรู้ได้
แต่หากคนผู้นั้นยังมีชีวิต และเห็นตัวเองโดนตัดนิ้วโป้งทิ้งกับตา ไม่ใช่ว่าจะยิ่งทำให้เขาบ้าคลั่งไปเลยหรอกหรือ
คนทั้งสองที่นั่งตรงหน้านี้คงจะเป็นเช่นนั้น
“พวกเราไม่ดื่มสุรา ไม่กินข้าว และไม่เล่นการพนัน แค่มาหาสตรีผู้หนึ่งเท่านั้น”
คนทั้งสองเอ่ย
จิ้นเผิงสังเกตเห็นว่าทั้งคู่ไม่ว่าจะพูดอะไร ก็ต้องพูดพร้อมกันทุกครั้ง
ถ้าไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แตกต่างกันมาก ก็แทบจะคิดว่าทั้งสองคนอาจเป็นฝาแฝดกันก็ได้
“พวกเจ้ามีสองคน แต่กลับมาหาสตรีเพียงคนเดียว หรือว่าเป็นเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีเงิน?”
จิ้นเผิงเข้าใจดีว่าพวกเขากำลังหาสตรีคนไหน
แต่เขาก็ยังตั้งใจที่จะเอ่ยถามเช่นนั้น
ถึงแม้คำพูดนี้อาจทำให้ทั้งสองบันดาลโทสะ
แต่สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงสามชั่วยามจะยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีกเล่า
เกรงว่าจะไม่มีเลย
“พวกเรากำลังตามหาสตรีที่ตัดนิ้วโป้งของเรา”
คนทั้งสองเอ่ย
จิ้นเผิงพยักหน้า
“ข้าก็อยากเจอนางเหมือนกัน”
“เจ้าไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหนหรือ”
ทั้งสองเอ่ยถาม
“ประมาณหนึ่งชั่วยามก่อนข้ายังรู้อยู่ว่านางอยู่ในโรงอาบน้ำแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากที่นี่ แต่ตอนนี้นางอยู่ที่ใด ข้าเองก็ไม่รู้”
จิ้นเผิงตอบ
“พาเราไปหานาง”
ทั้งสองเอ่ย
คำพูดนี้ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง
แต่จิ้นเผิงจะฟังคำสั่งจากพวกเขาได้อย่างไร
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง
หน้าต่างที่ตรงกับถนนสายหนึ่ง
ถนนย่านการค้าของเมืองหยางเหวิน
มีขายทุกอย่างที่ต้องการ
สินค้าพิเศษทุกประเภทจากอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นอัญมณีหรืออำพันเคลือบ
โดยรวมแล้วสิ่งใดที่ควรมีก็มีทุกอย่าง
จู่ๆ เขาก็อยากซื้อของขวัญให้ตัวเอง
แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าอาจไม่ได้รับสักชิ้น
เพราะสหายของเขานั้นมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่แสนจะอิสระ
ถึงขั้นอิสระกว่าเขามาก
คาดว่าคงมีไม่กี่คนที่จะนึกถึงการเตรียมของขวัญ
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจซื้อของขวัญที่เขาต้องการมากที่สุดให้กับตัวเอง
“หากพวกเจ้าตามไปด้วย ข้าจะพาพวกเจ้าไปเดินหาดูรอบๆ แต่ข้ามีเวลาแค่สองชั่วยามเท่านั้น หลังจากนั้นหากยังหานางไม่พบ ก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน”
จิ้นเผิงพูดขึ้น
“เหตุใดจึงมีเวลาแค่สองชั่วยาม จงรู้ไว้ว่าพวกเราหานางมานานกว่าสองปีแล้ว”
ทั้งสองคนพูดขึ้น
“เพราะว่าอีกสองชั่วยามข้าจะต้องตาย มีห้าคนที่ตั้งใจจะสังหารข้า”
จิ้นเผิงผายมือออกพลางกล่าว
“ก่อนที่จะหาสตรีผู้นั้นเจอ เจ้าตายไม่ได้!”
คนทั้งสองกล่าว
จิ้นเผิงหัวเราะ
วันเกิดปีนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!
มีห้าคนที่อยากให้เขาตาย
แต่ตอนนี้กลับมีสองคนที่ไม่ต้องการให้เขาตาย
สุดท้ายกลับเหมือนว่าไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลยด้วยซ้ำ
ไม่แน่ว่าคนห้าคนที่อยากให้เขาตายกับคนสองคนที่ไม่ต้องการให้เขาตายอาจจะเริ่มสู้กันเองก่อน
ในขณะที่เขายิ้มอยู่
เงาร่างหนึ่งโฉบผ่านจิ้นเผิงไปในพริบตา
แล้วก็หายวับไปท่ามกลางฝูงชนบนถนน
เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที ไม่เดินออกทางประตูหลัก
แต่กระโดดออกไปทางหน้าต่างที่คนทั้งสองปีนเข้ามา
คนทั้งสองตามเขาออกไปติดๆ
กลับทำให้จิ้นเผิงรู้สึกตกตะลึง
ท่าร่างที่งดงามเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพลังยุทธ์ก็ไม่ต่ำทีเดียว
แต่จิ้นเผิงไม่ได้มีเจตนาสลัดพวกเขาทั้งสองคนทิ้ง
ในที่สุดก็มีผู้คุ้มกันสองคนที่ไม่อยากให้เขาตาย จะทิ้งไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
เขาเห็นเพียงเงาร่างของคนที่ทำให้เขาถวิลหา
ถึงแม้จะแค่พริบตาเดียว และอาจเป็นภาพลวงตา
แต่แม้จะเป็นภาพลวงตา ก็ต้องตามไปเพื่อยืนยันด้วยตาตัวเองจึงจะวางใจได้
…………………………………………