ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 279 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-6
บทที่ 279 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-6
“นี่ก็คือความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
จากนั้นก็จุดยาเส้นของตน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้มองให้ชัดว่าเขาจุดยาเส้นอย่างไร
เหมือนว่าดีดนิ้วก็มีไฟลุกขึ้นมาแล้ว
แต่ตอนนี้จิตใจเขาห่อเหี่ยวนัก
จึงไม่ได้สนใจการกระทำแสนพิสดารนี้ของชายชราเลี้ยงม้าแม้แต่น้อย
“คนโบราณไม่รู้ว่าหนึ่งวันเนิ่นนานเพียงใด แบ่งแยกได้เพียงแค่ฟ้ามืดหรือฟ้าสว่าง แม้หนึ่งวันที่เป็นเช่นนั้นจะอิสระเสรี แต่เจ้าไม่รู้สึกว่ามันคลุมเครือเกินไปหรอกหรือ ชั่วชีวิตคนจะเห็นฟ้ามืดได้กี่ครั้ง เห็นฟ้าสว่างได้กี่คราว”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“ข้ายินยอมพร้อมใจที่จะใช้ชีวิตอย่างคลุมเครือเช่นนั้น ต่อให้เห็นแค่ห้าหกครั้งก็พอใจแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดประชด
“ต่อมาผู้คนจึงแบ่งหนึ่งวันออกเป็นสิบสองชั่วยาม แบ่งหนึ่งปีออกเป็นยี่สิบสี่ฤดูอากาศ ด้วยเหตุนี้ จึงมีแนวคิดเรื่องเวลาขึ้นมา ความจริงแล้วแม้เจ้าจะแบ่งเช่นใด เวลาก็เคลื่อนไปไม่หยุด เจ้าแบ่งแล้วใช่ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใด ที่จริงแล้วการแบ่งออกมาดังนี้ ล้วนเป็นเพราะคนเราต้องการให้ชีวิตของตนดีขึ้น”
ชายชราเลี้ยงม้าหาได้ใส่ใจกับคำประชดประชันของหลิวรุ่ยอิ่ง กลับยังคงพูดต่อไปช้าๆ
“แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีอะไร แค่จะนอนก็ยังไม่หลับ แล้วจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งผายสองมือออก ย้อนถาม
ชายชราเลี้ยงม้าพยักหน้า
เขาเห็นด้วยกับมุมมองของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างยิ่ง
“เจ้าเคยบอกข้าว่า ภายภาคหน้าเจ้าอยากทำการใหญ่สักเรื่องไม่ใช่หรือ”
ชายชราเลี้ยงม้าถาม
“ไม่ผิด แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเสียงระฆังเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“หากแม้แต่เสียงระฆัง เจ้าก็ยังทนไม่ไหว แล้วจะทำการใหญ่สำเร็จได้อย่างไร”
ชายชราเลี้ยงม้าย้อนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งพูดไม่ออก
แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่ชายชราเลี้ยงม้าพูดนั้นถูกต้อง
แต่ในใจเขาก็ยังไม่อาจขจัดความรังเกียจเสียงระฆังนี้ไปได้
“การใหญ่นั้นต้องค่อยๆ สั่งสมจากการเล็กๆ บ่อยครั้งนักที่การกระทำเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ แต่สุดท้ายอาจช่วยชีวิตตนเองหรือผู้อื่นได้ เมื่อมีเสียงระฆังนี้อยู่ มันจะคอยย้ำเตือนเจ้าอยู่ทุกเมื่อว่าอย่าปล่อยให้เวลาแม้สักหนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ ไม่ใช่ว่าดียิ่งหรอกหรือ”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้ม
เขารู้สึกว่ายามค่ำคืนหาได้ต้องทำสิ่งใด
เพราะกลางคืนเป็นเวลาสำหรับนอนพักผ่อน และสนทนาสัพเพเหระ
แต่เสียงระฆังกลับยังคงเตือนเวลาตนอยู่ร่ำไป แล้วจะมีความหมายใดเล่า
ที่แท้นั้น สิ่งที่เขาชิงชังหาใช่เสียงระฆัง
แต่เพราะทุกครั้งหลังเสียงระฆังดัง เขาถึงพบว่าตนปล่อยให้เวลาสิ้นเปลืองไปอีกหนึ่งชั่วยามแล้วต่างหาก
สิ่งที่เขาชิงชัง ที่แท้แล้วก็คือตนเองที่ปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโชน์ก็เท่านั้น
แต่คนเราย่อมไม่คิดว่าตัวเองผิด
มักไปโทษสิ่งอื่น
ก็เหมือนกับหลิวรุ่ยอิ่งในเวลานี้ ทั้งที่ตัวเขาเองต่างหากที่ไม่สามารถใช้เวลาหนึ่งชั่วยามได้อย่างมีประโยชน์
แต่เขากลับโทษเสียงระฆังที่ดังขึ้น
ความจริงแล้วระฆังจะดังหรือไม่ วันเวลาล้วนกำลังผ่านไป
ส่วนกระบี่ที่เขาพุ่งออกไปเมื่อครู่นี้
อาจนับได้ว่าเป็นการกระทำเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจที่ชายชราเลี้ยงม้ากล่าวถึง
“เสียงระฆังปลุกเจ้าตื่น แล้วเจ้าก็มาปลุกข้าตื่นอีก เจ้าชิงชังระฆัง เช่นนั้นข้าสมควรชิงชังเจ้าหรือไม่”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
พูดจบ มวนยาเส้นของเขาก็สูบหมดพอดี
คอกม้าเงียบงันอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้จากไป
แต่กลับนั่งอยู่ตรงทางเข้าคอกม้า มองดวงดาราบนท้องนภา
จวบจนตะวันยามอรุณโผล่ขึ้น เสียงระฆังนั้นก็ดังตามมาด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเพราะเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ความชิงชังที่มีต่อเสียงระฆังกลับหายไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
……………………
เมื่อจิ้งเหยาเห็นว่าดาบของตนถูกปลายกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งรับเอาไว้ได้
สีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็มีสีหน้าเช่นเดียวกัน
แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ เห็นชัดว่าเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา
นั่นก็คือท้ายที่สุดแล้วตนก็ยังรับดาบนี้เอาไว้ได้
แม้ดาบโค้งของจิ้งเหยาจะมีรูปทรงประหลาด
แต่ก็บางอย่างยิ่ง
บางยิ่งกว่ากระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งเสียอีก
ผู้ที่สามารถใช้ปลายกระบี่รับคมดาบที่บางเช่นนี้ได้ และยังเป็นช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ด้วย
คิดว่าทั่วใต้หล้าคงมีไม่กี่คน
“นึกไม่ถึงว่ากรมสอบสวนไม่ได้มีแต่พวกสวะ”
จิ้งเหยาเอ่ยขณะลดดาบลง
“โชคช่วยเท่านั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งเอากระบี่ไว้ที่แผ่นหลังพลางกล่าว
เพื่อไม่ให้จิ้งเหยามองเห็นมือของตนที่กำลังสั่นเล็กน้อย
แต่เหงื่อกาฬบนหน้าผากกลับหักหลังเขา
จิ้งเหยาหัวเราะเบาๆ
จากนั้นก็ซัดฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้หลิวรุ่ยอิ่งก็เคยเห็นอานุภาพของฝ่ามือเขามาแล้ว
หนำซ้ำยามนี้จิตใจของตนก็ไม่สงบ พลังปราณไม่เพียงพอ
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้
ภายใต้สถานการณ์ที่อับจนหนทาง ทำได้เพียงกระโจนออกไปนอกหน้าต่างเท่านั้นแล้ว
พลังฝ่ามือเขาปะทะบนผนัง
เกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่ในทันใด
จิ้งเหยาเดินออกมาจากโพรงอย่างไม่รีบร้อนและมาถึงลานด้านหลัง
แม้ภายนอกจะเป็นช่วงวสันต์อุ่นบุปผาบาน
ทว่าภายในลานด้านหลังมีแต่ความรกร้าง
แม้แต่หญ้าป่าบนพื้นก็ยังแห้งเหี่ยว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ลานด้านหลังเหลาสุราแห่งนี้เข้ากับสถานการณ์ในยามนี้ยิ่งนัก
จิ้งเหยาไม่ได้เข้าโจมตีหลิวรุ่ยอิ่งอีก
เดิมทีหวาหนงนั่งแกว่งเท้าไปมาอยู่บนหีบเหล่านั้นที่ใส่เบี้ยหวัดไว้
เมื่อเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งมาถึงลานหลังเรือนด้วยสภาพสะบักสะบอม เขาก็กระโดดลงจากหีบ มายืนอยู่ข้างกายหลิวรุ่ยอิ่งพร้อมชักกระบี่ออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งเอามือขวางเขาไว้ พลางถอยไปข้างหลัง
จิ้งเหยาหวดดาบเปิดหีบใบใหญ่หีบหนึ่งออก
ก้อนเงินในหีบจึงไหลทะลักออกมา
“เจ้าหนุ่ม ข้าเห็นว่าเจ้ารักเงินทองนัก หากเจ้าช่วยข้าสังหารเขา ก้อนเงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเจ้า เป็นอย่างไร”
จิ้งเหยาเก็บก้อนเงินขึ้นมาก้อนหนึ่ง โยนให้หวาหนงและกล่าว
ความตึงเครียดของหลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งผ่อนคลายลง พลันตึงแน่นขึ้นมาอีกครั้ง
เด็กหนุ่มหวาหนงผู้นี้
จิตใจไม่หนักแน่น
มักพูดถ้อยคำที่คนทั่วไปไม่พูดกัน ทำเรื่องที่คนทั่วไปไม่ทำกัน
“นี่ไม่ใช่เงินของข้า ข้าไม่ต้องการ”
หวาหนงมองก้อนเงินที่เท้าของตนแล้วเอ่ย
จากนั้นก็ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะออกไป
“เงินของเจ้า? หรือว่ายังมีก้อนเงินในใต้หล้านี้ที่เขียนชื่อเจ้าเอาไว้ด้วย?”
หวาหนงทำเอาจิ้งเหยาขบขันยิ่งนัก
เขามั่นใจว่าตนมีความสามารถเพียงพอจะสังหารสองคนตรงหน้านี้
ไม่ใช่ต่อกรกับเขา สู้ตายจนถึงที่สุดเช่นนี้
แม้ชาวทุ่งหญ้าจะมีพื้นนิสัยเช่นนี้มาแต่กำเนิดก็ตาม
จะอย่างไรการสู้ตายจนถึงที่สุดก็สาแก่ใจกว่ามากนัก
ทว่าหากจะเติมเต็มความปรารถนาของจิ้งเหยายังนับว่าห่างไกลลิบลับ
“นี่ต่างหากคือเงินของข้า!”
หวาหนงหยิบก้อนเงินยี่สิบตำลึงที่ขอยืมหลิวรุ่ยอิ่งก่อนหน้านี้ออกมา
“บนนั้นมีชื่อของเจ้าอยู่?”
จิ้งเหยาถามประชด
“ไม่มี เเต่นี่ก็คือเงินของข้า ข้าสามารถเขียนชื่อของข้าไว้บนนั้นได้!”
หวาหนงกล่าว
สิ้นคำก็เริ่มใช้กระบี่ของตนสลักชื่อไว้บนก้อนเงิน
“ชื่อของข้า ต้องเขียนอย่างไร”
จู่ๆ หวาหนงก็หยุดมือ แล้วหันไปถามหลิวรุ่ยอิ่ง
ชื่อนี้เป็นเซียวจิ่นข่านตั้งให้เขา
เขารู้แต่การออกเสียง แต่กลับไม่รู้รูปร่างของตัวอักษร
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ตอบ แต่รับก้อนเงินมา แล้วใช้กระบี่ของตนสลักอักษรสองตัวว่า ‘หวาหนง’ ลงบนก้อนเงิน
หวาหนงยิ้มด้วยความเบิกบานใจ ยามมองตัวอักษรบนก้อนเงินของตน
จากนั้นก็ชูขึ้นสูง คล้ายต้องการอวดจิ้งเหยา
“เจ้ามีเพียงยี่สิบตำลึง แต่ที่นี่กลับมีถึงสี่ล้านตำลึงเต็มๆ ยี่สิบตำลึงต้องสลักแค่สองครั้ง แต่สี่ล้านตำลึง ไม่ใช่ว่าต้องสลักนับพันนับหมื่นครั้งหรอกหรือ”
จิ้งเหยากล่าว
“หากเงินเหล่านี้ล้วนเป็นเงินของข้า ข้าก็จะสลัก ไม่ว่ากี่ครั้งก็จะสลักไปจนกว่าจะเสร็จ”
หวาหนงกล่าว
จิ้งเหยาส่ายหัว
ก่อนหน้านี้เขาคิดจะใช้ก้อนเงินเหล่านี้ซื้อตัวเด็กหนุ่ม
ให้ทั้งสองห้ำหั่นกันเองสักคราว
แต่เวลานี้ ดูไปแล้วเจ้าเด็กหนุ่มนี่แทบไม่เหมือนคนผู้หนึ่ง
ทำเอาจิ้งเหยาถึงกับหาคำมาอธิบายไม่ได้ในทันใด
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับใช้โอกาสนี้สังเกตพื้นที่โดยรอบ
พยัคฆ์จับกระต่ายย่อมไม่ต้องสิ้นเปลืองแรง
แต่หากพยัคฆ์ปรารถนาจะสัพยอกปั่นหัวกระต่าย
เช่นนั้นก็อย่าโทษว่ากระต่ายตัวนี้ ยังพอมีโอกาสหนีอยู่บ้าง
จิ้งเหยามองหีบอีกสิบเจ็ดใบที่ยังคงอยู่ดีไม่ได้รับความเสียหาย
จึงสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนว่าให้ขนย้ายเบี้ยหวัดทั้งสิบเจ็ดหีบนี้ออกไป
ส่วนหีบที่เสียหายหนึ่งหีบนั้น เขาจะให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชานำไปแบ่งกัน
เจตนาดั้งเดิมของเขา หาได้มาเพื่อเบี้ยหวัดเหล่านี้
จิ้งเหยาไม่ใช่คนโลภเห็นแก่เงินทอง
แต่ทำไปเพื่อให้ทหารชายแดนแห่งดินแดนเจิ้นเป่ยอ๋องเคลื่อนไหวเมื่อเบี้ยหวัดเหล่านี้ถูกช่วงชิงไป
ทว่าย่อมไม่มีใครชิงชังรังเกียจเงินทองเหล่านี้
ไม่รู้ว่าเงินทั้งหมดนี้สามารถซื้อศรธนูได้กี่มากน้อย
ในที่ราบทุ่งหญ้าขาดแคลนเหล็ก
นี่เป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไป
ทว่าคูน้ำกำแพงเมืองแห่งอาณาจักรอ๋องนั้นมั่นคงแข็งแกร่ง
หากขาดแคลนศรธนูก็ไม่มีทางเข้าโจมตีเมืองได้
จิ้งเหยาจะใช้เงินเหล่านี้ไปซื้อศรธนูจำนวนมหาศาลเพื่อเป็นยุทโธปกรณ์ของทหารหมาป่า
เห็นชัดว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ความคิดอ่านของจิ้งเหยา
หากให้เขาล่วงรู้เรื่องนี้
เรื่องที่จะเกี่ยวพันไปถึงในภายหน้า ก็จะไม่ง่ายดายเช่นที่เห็นตรงหน้า ซ้ำยังจะลุกลามไปไกลกว่านี้มาก
ศรธนูเป็นยุทโธปกรณ์ที่กองทัพอาณาจักรห้าอ๋องต้องตระเตรียมไว้พร้อมสรรพ
จึงไม่อาจส่งกันไปมาระหว่างบุคคลทั่วไปเหมือนสินค้าอื่นๆ โดยเด็ดขาด
ก่อนนี้ เคยมีขบวนคาราวานที่ลักลอบใส่ศรธนูปะปนมากับสินค้าอื่น คิดจะแอบขนกันเองเพื่อขายในราคาสูงที่ทุ่งหญ้า
แต่กลับถูกทหารชายแดนประจำด่านการค้าตรวจยึดไปทุกชิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังตั้งข้อหาสมคบคิดกับศัตรูขายชาติและตัดหัวประจานคาที่อีกด้วย!
เช่นนั้นแล้ว จิ้งเหยาติดต่อกับผู้ใดจึงสามารถขายศรธนูที่คิดเป็นเงินสดถึงสี่ร้อยตำลึงได้?
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งพาตัวเองออกมาจากความขัดแย้งในหอทรงปัญญา
นึกไม่ถึงว่าเพียงชั่วพริบตา ตัวเขากลับต้องตกลงในหุบเหวลึกหมื่นจั้งอีกแห่งแล้ว
………………………………………