ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 216 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-5
บทที่ 216 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-5
ดรุณสกัดจุดมองเซียวจิ่นข่านทำท่าทาง ‘เชื้อเชิญ’
จึงไม่เกรงใจอีกต่อไป
เพียงแต่เขาถอยหลังไปหลายก้าว
เลิกชายเสื้อขึ้น
ดึงมีดออกจากกาย
สายตาห้ายอดดรุณสี่คนที่เหลือลุกวาว
จากนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นดรุณสกัดจุดหยิบมีดเล่มนี้ออกมานานแล้ว
กระทั่งลืมไปแล้วว่าเขามีอาวุธ
และอาวุธก็คือมีดเล่มหนึ่ง
ดรุณสกัดจุดจับมีดไว้ในมือ
สลับมือซ้ายขวาชั่งน้ำหนักมันเล็กน้อย
“นี่เป็นมีดของเจ้าหรือ”
เซียวจิ่นข่านถาม
“นี่เป็นมีดของข้า”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
“ไม่นึกว่าเจ้าจะใช้มีดเป็น”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ข้าก็เกือบลืมไปแล้ว”
“เช่นนั้นเหตุใดจึงนึกขึ้นได้”
เซียวจิ่นข่านถาม
“เพราะเจ้า”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
“ข้ารึ ข้าไม่ได้รูปลักษณ์เหมือนมีดเสียหน่อย”
เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางหัวเราะ
แม้เขาจะไม่ได้ส่องกระจกมานานแล้ว
ทว่าต่อให้เขาจะส่องกระจกก็หารู้ไม่ว่าตอนนี้ตนมีรูปลักษณ์เช่นไร
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
เขาก็เชื่อว่าตนไม่น่าจะเกี่ยวข้องใดๆ กับมีดหนึ่งเล่มเป็นแน่
“มีดของข้ามีไว้สำหรับวีรุบุรุษ”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
“เช่นนั้นข้าคือวีรบุรุษที่ทำให้เจ้านึกถึงมีดเล่มนี้หรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แน่นอนว่าเจ้าคือวีรบุรุษ ผู้ที่ยินดีฆ่าสหายหรือปลิดชีพตนเองเพื่อเติมเต็มให้สหายอย่างไม่นึกเสียใจ ไยจะไม่ใช่วีรบุรุษเล่า”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
“วีรบุรุษมักจะหวงแหนชื่อเสียงมากเกินไป…ต่อให้เป็นการเติมเต็ม แต่การฆ่าสหายย่อมถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ วีรบุรุษจะไม่ทำเช่นนี้ และการทำเช่นนี้ก็หาได้เป็นวีรบุรุษไม่”
เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางส่ายศีรษะ
“ฉะนั้นหากเจ้าจะใช้มีดเล่มนี้เพื่อวีรบุรุษ ข้าว่าเจ้าเก็บมันไว้เถิด”
เซียวจิ่นข่านชี้มือของดรุณสกัดจุดพลางกล่าวต่อ
“ออกอาวุธ ไม่อาจคว้าน้ำเหลว”
ดรุณสกัดจุดกล่าวแล้วเงียบขรึมไปชั่วครู่
“แต่เจ้ามักจะหาเหตุผลให้ตนออกอาวุธ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เจ้าไม่ใช่วีรบุรุษ เช่นนั้นเจ้าเป็นสิ่งใด”
ดรุณสกัดจุดถาม
“คนเสเพล”
เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางแสร้งทำทีเหลาะแหละและเสยผมบนหน้าผาก
“บังเอิญว่าข้าก็เช่นกัน”
ดรุณสกัดจุดฉีกยิ้มกล่าว
“ดูเหมือนว่าข้าก็ต้องออกอาวุธบ้างแล้ว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เจ้าก็ใช้อาวุธหรือ”
ดรุณสกัดจุดถาม
“เดิมทีไม่ต้องใช้ แต่ตอนนี้ใช้แล้ว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ไฉนจึงเปลี่ยนกะทันหัน”
ดรุณสกัดจุดเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
“เพราะชายเสเพลสองคนพบกันเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง ต้องเปลี่ยนแปลงเสียหน่อยจึงจะสมกับความหายากนี้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
จากนั้นเขาก็หันศีรษะไปทางเยี่ยเหว่ย
เขาหยิบมีดตัดฟืนเหน็บระหว่างเอวออกมาแล้วโยนให้
“เถี่ยกวนอินเพิ่งลับไป คมกริบทีเดียว”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
ครั้นเซียวจิ่นข่านได้ยินจึงพยักหน้าให้เถี่ยกวนอินเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ
จากนั้นหันไปเผชิญหน้ากับดรุณสกัดจุด
“นี่เป็นอาวุธของเจ้าหรือ”
ดรุณสกัดจุดถาม
อาวุธในมือเซียวจินข่าน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเพียงมีดตัดฟืนเล่มหนึ่ง
มีดที่ใช้ตัดไม้ได้เท่านั้น
แต่ไม่อาจใช้ฆ่าคนได้
“ทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ ดอกไม้ ใบหญ้า ต้นไม้ มนุษย์และสัตว์หาได้แตกต่างกัน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดสิ่งใดอยู่”
ดรุณสกัดจุดตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าเป็นผู้ใด
ตราบใดที่แผนการในใจและการวางแผนในหัวถูกผู้อื่นเปิดเผยล้วนตื่นตระหนกทั้งสิ้น
“เพราะพวกเราต่างก็เป็นคนเสเพล มีเพียงคนเสเพลเท่านั้นที่จะเข้าใจคนเสเพลด้วยกันดีไม่ใช่หรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ดรุณสกัดจุดไม่กล่าววาจาใดอีก
เสียงชิ้งจากมีดในมือออกจากฝัก
ดรุณสกัดจุดกล่าว
“มีดนี้มีนามว่า ‘มีดธรรมดาเล่มหนึ่ง’”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ครั้นได้ยินถึงตรงนี้
เถี่ยกวนอินก็ระเบิดเสียงหัวเราะ
อาจารย์ลูกศิษย์ย่อมเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กันวันยังค่ำ
ล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ขันเหมือนกัน
เพียงแต่เถี่ยกวนอินสัมผัสได้ถึงพลังคึกคักที่เป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มสาวบนกายของเซียวจิ่นข่าน
ทั้งยังมีชีวิตชีวากว่าเยี่ยเหว่ยมากทีเดียว
ศิษย์พร่ำเพียรเรียนวิชาจากอาจารย์ ทว่าเก่งกาจยิ่งกว่าอาจารย์
เพียงชั่วพริบตาเดียว
เถี่ยกวนอินมองชุดคลุมสีแดงบนกายตน ทันใดนั้นรู้สึกสะเทือนใจและทอดถอนใจเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าตนในวัยนี้จะสัญจรไปทั่วหล้าเพื่อสิ่งที่เรียกว่าเรื่องทางโลกไม่ค่อยจะคุ้มค่านัก
เขาอยากหาสถานที่เล็กๆ เงียบสงบอยู่อย่างสันโดษ ร่ำสุราพูดคุยเล่นกับสหายสองสามคนทุกวัน
หากร้อนรนก็ออกไปต่อสู้ หรือหากโชคดีก็วางเดิมพัน
ใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปอย่างปลอดภัยอีกสิบปีหรือยี่สิบปี
รอตนแก่จนลากสังขารไม่ไหวแล้วค่อยใช้กระบี่ทองของตนแทงคอตาย
ไม่ใช่ว่าสมบูรณ์แบบอย่างยิ่งหรอกหรือ
เมืองจิ่งผิงก็ไม่เลวนัก
สถานที่แห่งนี้เงียบสงบ
ผู้คนในเมืองก็ธรรมดาเรียบง่ายอย่างยิ่ง
เยี่ยเหว่ยก็ไม่เลว
มีอารมณ์ขัน
ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
อีกทั้งฝีมือทำอาหารก็ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขั้นนั้น
อย่างน้อยบะหมี่น้ำแกงไก่ตุ๋นหม้อนั้นที่ทำตามคำขอของเขาก็อร่อยจริงๆ
“นามของมีดเจ้าช่างเป็นไปตามใจปรารถนาจริงๆ”
ดรุณสกัดจุดกล่าว
“เดิมคำว่าตามใจปรารถนาก็เป็นชื่อที่ไม่เลว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ดรุณสกัดจุดไม่ตอบ
เขารอให้เซียวจินข่านชักมีด
เขาชักมีดวสันต์เย็นเยือกในมือออกจากฝัก
ทว่าเซียวจินข่านก็ยังไม่ชักมีดเสียที
เพียงแต่เขาลืมปัญหาไปหนึ่งอย่าง
นั่นก็คือมีดธรรมดาเล่มนี้ในมือเซียวจินข่าน เดิมก็ไม่มีฝัก
มีดที่ไร้ฝักจะชักมีดออกมาได้อย่างไร
เมื่อไร้ฝักมีดย่อมชักมีดอยู่ตลอดเวลา
ในเวลานี้เอง
เซียวจิ่นข่านหมุนกายและเดินไปทางด้านหลังร้านอาหาร
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“คนเสเพลยังกังวลเรื่องไม่มีเงินอีกหรือ”
ดรุณสกัดจุดถาม
“วีรบุรุษย่อมร่ำรวยมั่งมี คนเสเพลย่อมตกอับอยู่เสมอ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ขณะเดียวกันก็ชี้ไปที่เท้าของดรุณสกัดจุด
ดรุณสกัดจุดสวมใส่รองเท้าคู่ใหม่เอี่ยม
บนรองเท้าใช้ดิ้นทองปักลายเมฆมงคล
ทั้งยังมีเศียรพยัคฆ์ที่ปลายรองเท้า
ดูแล้วช่างมีอำนาจบารมีน่าเกรงขาม
ด้านหลังเศียรพยัคฆ์ยังมีผืนป่า
ลักษณะเช่นนั้นราวกับถูกลมพัดปลิว
ตามด้วยมังกรบินโฉบอยู่ด้านหลัง
เศียรมังกรหันไปทางข้อเท้าอย่างประจวบเหมาะ
ปากมังกรเปิดกว้าง
เมฆคู่มังกร วายุคู่พยัคฆ์
หากรองเท้านี้ไม่ได้สวมบนเท้าก็คงไม่ต่างจากผลงานชิ้นเอก
ไม่กี่วันก่อน
ตอนที่ดรุณสกัดจุดเดินออกจากร้านค้าในหอทรงภูมิก็สวมใส่รองเท้าคู่นี้แล้ว
ดูออกว่าเขาโปรดปรานรองเท้าคู่นี้มาก
แม้จะสวมไปแล้วสามหน
แต่พื้นรองเท้าก็ยังสะอาดสะอ้าน
บนผิวรองเท้าก็แทบมองไม่เห็นรอยยับย่น
ยามนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน
เงาทอดลงตรงมายังเท้าของเขา
ทอดลงมายังรองเท้าคู่นี้
เขารำคาญยิ่งนัก
เพราะหลังจากถูกเงาปกคลุม ผู้อื่นก็มองไม่เห็นว่ารองเท้าที่อยู่บนเท้าของเขาตระการตาเพียงใด
ดรุณสกัดจุดแทบอยากจะผูกโคมไฟสองดวงบนเท้าเพื่อสลายเงา
แต่เขาไม่มีทางทำเรื่องแปลกประหลาดเช่นนั้น
แม้เขาจะต้องการ แต่ก็ไม่อาจทำได้
เพราะเขามีชื่อเสียงเลื่องลือในหอทรงภูมิ
ชื่อเสียงนี้ไม่ได้หมายถึงชื่อเสียงที่ดีเท่านั้น
แน่นอนว่ายังแฝงไปด้วยความหมายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกด้วย
อย่างน้อยดรุณสกัดจุดเดินไปที่ใด ล้วนมีคนพากันพูดถึงและชี้ไม้ชี้มือมาแต่ไกล
มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าทักทายเขาตรงๆ แต่เขาตอบรับด้วยการพยักหน้าเบาๆ โดยไม่ยิ้มแย้ม
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในใจของเขาคิดสิ่งใดอยู่
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าดรุณสกัดจุดเลือดเย็นสังหารคนราวกับผักปลาจะมีความสุขกับรองเท้าคู่ใหม่เอี่ยมไปถึงสามวันเต็มๆ
………………………………………………….