ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 199 ผู้ใดจะร่ำสุราระบำกับข้า-2
บทที่ 199 ผู้ใดจะร่ำสุราระบำกับข้า-2
“การโยนสิ่งของออกไปนอกหน้าต่างเป็นนิสัยที่แย่อย่างยิ่ง เพราะมักจะบังเอิญไปกระแทกโดนผู้อื่นเข้า ระยะสูงเพียงนี้หากกระแทกโดนผู้อื่น จะต้องเลือดตกยางออกเป็นแน่ เมื่อเลือดไหลย่อมเกิดข้อพิพาท มีข้อพิพาทกิจการก็ดำเนินการลำบาก กิจการดำเนินลำบากก็จะหาเงินไม่ได้ หาเงินไม่ได้ก็จะซื้อจอกสุราใบใหม่ไม่ได้ ฉะนั้นนี่จึงเป็นนิสัยที่แย่อย่างยิ่ง”
คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาข้างในและเอ่ยขึ้น
ในมือของเขาถือจอกสุราอยู่
เป็นจอกสุราที่จินเฉาโหย่วเยวี่ยโยนออกไปนอกหน้าต่างเมื่อครู่
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่ได้ยินเสียงจอกสุราแตกกระจาย ที่แท้เพราะมีคนรับมันไว้
เพียงแต่นอกจากเขาจะไม่ได้ยินเสียงจอกสุราแตกแล้ว ยังไม่ได้ยินเสียงคนผู้นี้ขึ้นมาชั้นบนอีกด้วย
แต่จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจ
ราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่เต็มอก
“ในเวลานี้ ถนนสายยาวชั้นล่างย่อมร้างผู้คน หากกระแทกโดนคนจึงเป็นเรื่องแปลกยิ่ง หากถูกคนรับไว้กลับเป็นเรื่องแปลกยิ่งกว่า”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ข้าลืมไปเลย…”
คนผู้นี้ตบหน้าผากแล้วกล่าว
เขาที่ก่อนหน้านี้ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าแม้แต่นิด แต่เสียงตบนี้ดังสนั่นยิ่ง
ด้วยเหตุนี้หลังจากเขาขยับฝ่ามือออก หน้าผากจึงเกิดรอยแดงปื้น
“เจ้าลืมสิ่งใดหรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยถาม
“เจ้าไม่จำเป็นต้องหาเงินนี่นา เจ้าหาเงินก็ไม่จำเป็นต้องเปิดกิจการ แต่หากไม่หาเงินจากการเปิดกิจการ เงินนี้ก็ย่อมมาจากความไม่ชอบธรรม เงินที่ไม่ชอบธรรมย่อมต้องซ่อนให้ดี ไม่เพียงต้องซ่อนเงินให้ดี คนก็ต้องซ่อนให้มิด แต่หากคนหนึ่งเกิดร่ำรวยขึ้นมาทันใด ก็ย่อมถูกคนรอบข้างสงสัย ฉะนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือแสร้งทำเป็นว่าตนคือพ่อค้าวาณิช เช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเหตุใดจึงร่ำรวยขึ้นมาในทันใด อย่างไรเสียสถานประกอบการแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากบ่อนพนัน ผู้ที่มีโชคย่อมมั่งมีเงินทอง ผู้อื่นได้เพียงริษยา แต่กลับไม่อาจปฏิเสธได้แม้ครึ่งคำ ทว่าวิธีที่ทำเงินจากความไม่ชอบธรรมได้เร็วที่สุดคือการลักขโมย ปล้น และโกง ผู้ที่ง่ายต่อการลักขโมย โกงและปล้นมีเพียงสหายและญาติมิตรเท่านั้น ฉะนั้นเงินที่ไม่ชอบธรรมเหล่านี้ต้องมาจากการขโมย หลอกลวง ปล้นสหายหรือญาติมิตรบางคนเป็นแน่”
คนผู้นี้กล่าวยาวๆ ในคราวเดียว
ทว่าตรรกะความคิดนั้นกลับละเอียดอย่างยิ่ง
แม้คำพูดเหล่านี้จะฟังดูอ้อมไปอ้อมมาก็ตาม
แต่เมื่อเพิ่มขึ้นไปทีละชั้นจนกระทั่งถึงข้อสรุปสุดท้ายล้วนสมเหตุสมผลยิ่ง
ด้วยเหตุนี้จินเฉาโหย่วเยวี่ยจึงไม่อาจกล่าววาจาโต้แย้งใดๆ
“คนผู้หนึ่งจะขโมย โกงหรือปล้นที่สหายและญาติมิตรของตนโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร บางทีอาจต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกญาติมิตรทอดทิ้งและสหายทรยศก็เป็นได้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
แม้เขาไม่อาจกล่าววาจาโต้แย้งใดๆ ได้
แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ เขาจำต้องกล่าวสิ่งใดบ้างจึงจะถูก
“การถูกญาติพี่น้องทอดทิ้งมีน้อยยิ่ง หากถูกญาติพี่น้องทอดทิ้ง อาจเป็นเพราะตนด้วย หากเจ้าทำอันตรายต่อญาติพี่น้องและตระกูลก่อน เช่นนั้นย่อมไม่อาจตำหนิว่าญาติมิตรทอดทิ้งเจ้า และการถูกสหายทรยศหักหลังมีมากยิ่ง หากถูกสหายทรยศ อาจเป็นเพราะตนทรยศสหายก่อน หากเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อสหายมากพอ เช่นนั้นก็ไม่อาจตำหนิที่สหายทรยศเจ้า”
คนผู้นี้กล่าว
ครั้นกล่าวจบ เขาพลันหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ออกมา
ครอบจอกสุราไว้บนหัวขลุ่ยไม้ไผ่
วางไว้ข้างริมฝีปากและเป่ามันเบาๆ
ซึ่งไม่ได้ครอบจอกสุราปิดจนมิด
ด้วยเหตุนี้จึงยังมีกระแสลมเพียงเล็กน้อยสามารถผ่านขลุ่ยไม้ไผ่
ครั้นเป่าแล้วจึงเกิดทำนอง
แต่โทนเสียงนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
เสียงขลุ่ยก่อนหน้านี้กังวานไพเราะ ซึมซาบเข้าไปในหัวใจ
ตอนนี้กลับอื้ออึงเศร้าโศก ประหนึ่งคร่ำครวญร่ำไห้
ยามคนผู้นี้เป่าขลุ่ยเอาแต่มองไปนอกหน้าต่าง
จนกระทั่งว่าวบนท้องฟ้านอกหน้าต่างร่วงหล่น เขาจึงหยุดเสียงขลุ่ยลง
“เพลงนี้คุ้นๆ หรือไม่”
คนผู้นี้เอ่ยถาม
“คุ้น คุ้นแน่นอน บางครั้งยังร้องพึมพำหลายประโยค”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“น่าเสียดาย ใช้ขลุ่ยบรรเลงเพลงนี้ไม่ไพเราะ ต้องใช้ผีผาบรรเลงจึงจะยิ่งมีเสน่ห์”
คนผู้นี้กล่าว
“นางไม่ได้นำผีผามาด้วยหรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยแค่นยิ้มพลางกล่าวถาม
“คนน่ะมาแล้ว แต่ไม่ได้นำผีผามา”
คนผู้นี้ส่ายศีรษะพลางกล่าว สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย
“แต่ไหนแต่ไรนางไม่แยกจากผีผาไม่ใช่หรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวถาม
“เดิมก็เป็นเช่นนี้ ทว่าสิ่งที่เจ้าพูดก็ไม่ถูก ยามนางนอนกับเจ้าก็จะกอดแขนของเจ้า แต่กลับวางผีผาไว้ด้านข้าง”
คนผู้นี้กล่าว
“นับตั้งแต่เจ้าจากไป แน่นอนว่าไม่อาจนอนกอดแขนเจ้าได้อีก และไม่กอดผีผาอีกแล้ว”
คนผู้นี้กล่าวต่อ
“แขนของข้ากับผีผาเดิมก็เป็นสองสิ่งต่างกัน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ข้าย่อมรู้! แขนคือแขน ผีผาคือผีผา เพียงกอดแขนที่มีเลือดเนื้อนั้นอบอุ่นจนเคยชิน ผู้ใดจะยอมกอดผีผาเย็นเยียบอีกหนเล่า หากดีดสายโดยไม่ได้ตั้งใจ บางทีใจอาจสั่นแรงยิ่งกว่าสายผีผาเสียอีก”
คนผู้นี้กล่าว
“ฉะนั้นตอนนี้นางเพียงแค่เล่นว่าวหรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวถาม
“ต้องการกอดแต่กอดไม่ได้ ผู้ไม่ต้องการกอดขวางหูขวางตาทุกวัน ฉะนั้นข้าจึงถอดสายผีผามาทำว่าว สูงหน่อย ไกลหน่อย อย่างน้อยก็คนึงหา”
สตรีผู้หนึ่งถือว่าวในมือเดินเข้ามาด้านในและกล่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยหรี่ตามองนาง
ท่าทางราวกับพยายามเพ่งมองนางให้ชัด
สตรีนางนี้ไม่ใช่วัยหนุ่มสาว
แต่รูปร่างยังคงบอบบางยิ่ง
“ทำไม จำไม่ได้หรือ”
สตรีผู้นี้เอ่ยปากถาม
นางย้ายว่าวที่บังกายนางออกไป
ร่างกายที่สมบูรณ์เปิดเผยให้เห็น
จินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้สึกแปลกกับใบหน้านี้อยู่หลายส่วนจริงๆ
แต่กลับไม่เคยลืมร่างกายนี้แม้เพียงวินาทีเดียว
แม้ว่านางจะมีผมหงอกขาวแซมอยู่บ้างประปราย
แต่ผิวของนางยังเต่งตึงและอ่อนนุ่มดังเดิม
รูปร่างอรชรไม่เปลี่ยนไปแม้เพียงนิด
สตรีผู้นี้วางว่างไว้บนโต๊ะ
เดินตรงดิ่งไปยังข้างกายจินเฉาโหย่วเยวี่ย
เกยคางไว้บนไหล่ของเขาและเอ่ยเบาๆ
“เงาทอดแสงจันทร์ส่องแสงเบาบาง สายลมหอมกรุ่นข้ามน้ำบูรพาครึ่งวัน สิ่งดีๆ ในโลกนี้ย่อมปรับตัวคู่กัน อาศัยซึ่งกันเพื่อสร้างภูมิทัศน์สวยงาม”
ครั้นจินเฉาโหย่วเยวี่ยได้ยิน หน้าพลันแดงก่ำเล็กน้อย
แต่ต่อมาทั้งร่างกายดูเหมือนจะเอนไปข้างหลัง
เขาหดคอ
มือทั้งคู่พยายามดึงบางสิ่ง
ในยามนี้สายว่าวเรียวบางอย่างยิ่งรัดรอบคอของเขาแน่น
สตรีผู้นี้ดึงไปข้างหลังอย่างแรง
สองเท้าจินเฉาโหย่วเยวี่ยลอยเคว้งพลางถีบและดีดดิ้น
“เจ้าจะเสแสร้งไปถึงเมื่อใด หากจะเล่นละครต่อ ข้าจะรัดคอเจ้าให้ตายเสีย…”
สตรีผู้นี้เอ่ยกระซิบยั่วยุข้างหูของเขา
กล่าวจบ ยังมิวายแลบลิ้นเลียติ่งหูของเขา
ครั้นจินเฉาโหย่วเยวี่ยได้ยิน สองเท้าลอยเคว้งหยุดเตะถีบ
เขาเตะถีบโต๊ะ
โถมตัวพลิกหงายไปข้างหลัง
หลุดพ้นภัยอันตรายจากสายว่าวในพริบตา
โต๊ะที่ทั้งใหญ่และหนักอึ้งกลับถูกเขาถีบไปทางชายเป่าขลุ่ยผู้นั้น
เขาเป่าขลุ่ยไม้ไผ่ในมืออีกครั้ง
เพียงแต่หนนี้ไม่ได้ครอบจอกสุราเข้าไป
เสียงขลุ่ยไพเราะ
มีเพียงเนื้อร้องสั้นๆ พลันทำให้โต๊ะหยุดเคลื่อนไหว
“จะว่าไป ตอนนี้เจ้ายังตีกลองอยู่หรือไม่”
ชายเปล่าขลุ่ยเอ่ยถาม
ราวกับว่าเขาไม่สนใจที่จินเฉาโหย่วเยวี่ยกำลังต่อสู้กับสตรีเล่นว่าวในขณะนี้
ยังคงเอ่ยถามคำถามนอกประเด็น
“หึๆ…ตีกลองหรือ แน่นอนว่าไม่ แต่เกรงว่าวันนี้คงต้องหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง!”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
เขาใช้มือเปล่ารับมือกับสายว่าวที่มองไม่เห็นในมือของสตรีเล่นว่าว
มือของทั้งสองร่ายระบำไม่หยุด
คล้ายกับเด็กน้อยเล่นผูกเชือกแก้เชือก
เพียงแต่ผูกแก้เชือกนี้คนทั่วไปมองเห็นได้ยากนัก แม้จะมองเห็นก็เกรงว่าจะเล่นไม่ได้
เพราะหากไม่ระวังเพียงนิด นิ้วอาจจะขาดฉับได้
“หยิบกลับมาเล่นใหม่ย่อมเลี่ยงฝีมือตกไม่ได้ เช่นเดียวกับข้าไม่ได้เป่าขลุ่ยนาน ไฉนวันนี้ฟังดูแล้วทำนองแปร่งไป”
ชายเป่าขลุ่ยกล่าว
“เพราะขลุ่ยของเจ้าแปลกต่างหาก!”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“ขลุ่ยไม้ไผ่และว่าวไม้ย่อมด้อยกว่าลูกคิดหยก”
ชายเป่าขลุ่ยหัวเราะพลางกล่าว
“ต่อให้ลูกคิดหยกจะดี แต่ก็ยังไม่ดีเท่ากะโหลกศีรษะและหนังหุ้มกระดูก!”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
หวนคิดถึงอดีต พวกเขาทั้งสามคน
ขลุ่ย
ผีผา
กลอง
จอมยุทธ์พเนจรทั่วหล้า ท่องยุทธภพ
แม้จะไม่ร่ำรวย แต่ก็ไหลลื่นและอิสระ วันเวลาผ่านไปมีแต่ความรู้สึกดีๆ ต่อกัน
ยิ่งกว่านั้นหนึ่งหญิงสองชาย มักจะมีคนหนึ่งเศร้าเสียใจอยู่เสมอ
หากเป็นเพียงหนี้รัก ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขั้นนี้
แต่หากเติมคำว่า ‘ผลประโยชน์’ ตามหลังคำว่า ‘มิตรภาพ’ ย่อมมีมิตรแต่ไร้ซึ่งความปราณี มีแต่โทษหาได้มีประโยชน์ไม่
………………….
“ผู้ใดใช้สุราปลอบประโลมความลุ่มลึกและเงียบสงบ จากเบื่อหน่ายยิ่งเศร้าโศก”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้กลับไป ยามนี้เขากำลังร่ำสุราเสวนาในห้องของเจ้าหมิงหมิง
เจ้าหมิงหมิงกล่าวคำไม่มาก
แต่นางกลับชอบฟังหลิวรุ่ยอิ่งพูดจายิ่งนัก
โดยเฉพาะอยากฟังเขาพูดถึงเรื่องต่างๆ ในตำรา
ความรู้ยามต้องใช้ จะรู้สึกเสียใจว่าที่เรียนมานั้นน้อยไป
หลิวรุ่ยอิ่งร้อนรนจนทึ้งผมของตนหลายกำ
หากจะตำหนิก็ตำหนิตน ยามร่ำเรียนตนทำอย่างขอไปทีจนเกินไป…
โรงเตี๊ยมที่เจ้าหมิงหมิงพักอยู่ไม่ไกลจากหอจันทร์กระจ่าง
จู่ๆ เกาลัดคั่วน้ำตาลก็พบว่าตนลืมถุงเงินไว้บนชั้นห้าของหอจันทร์กระจ่าง
ถุงเงินนั้นเป็นของที่นางหวงแหนยิ่ง
ยามนี้จึงกระจองอแงให้เจ้าหมิงหมิงพานางไปนำมันกลับมา
เจ้าหมิงหมิงสบตากับหลิวรุ่ยอิ่ง สลับกับมองเกาลัดคั่วน้ำตาลที่กังวลจนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
จึงทำได้เพียงรับปาก
ทั้งสามคนจึงออกจากโรงเตี๊ยมแล้วย้อนกลับไปที่หอจันทร์กระจ่าง
……………………………………………………………………….