ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 192 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-3
บทที่ 192 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-3
เจ้าของหอจันทร์กระจ่างนามว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ย
นี่ไม่ใช่ฉายา
แต่เป็นชื่อจริงๆ
เพราะแซ่ของเขาคือ ‘จิน’
จากคำว่า ‘จิน’ ของ ‘จินเทียน’ (วันนี้)
แต่ชื่อนี้กลับไม่เป็นที่เข้าใจ
เพราะ ‘เฉา’ (ตอนเช้า) ไม่มีทางมี ‘เยวี่ย’ (พระจันทร์) อยู่
อีกอย่างคำพูดทั่วไปกล่าวว่า หากวันนี้มีสุรา[1] เราก็เมาวันนี้
แต่สำหรับเจ้าของหอจันทร์กระจ่างแล้ว วันนี้ต้องมีสุราอย่างแน่นอน
เพราะหอจันทร์กระจ่างต้องมีสุรา และแน่นอนว่าต้องมีคนกำลังดื่มสุราอยู่
สุรามีทุกวัน
แต่จันทร์ไม่ได้มีเสมอไป
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่เคยดื่มสุรา
แต่เขาจะนอนดูจันทร์บนหลังคาของหอจันทร์กระจ่างในคืนที่จันทร์สว่าง
วันนี้ไม่มีพระจันทร์
ดังนั้นจินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้สึกเบื่อมาก
หอจันทร์กระจ่างมีทั้งหมดห้าชั้น
ชั้นบนสุดมีเพียงเขาคนเดียว
และไม่เคยมีคนนอกขึ้นไป
แต่วันนี้ เขาลงมาจากชั้นบนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เพราะเขาต้องการพบคนคนหนึ่ง
แต่เมื่อเขาเดินไปที่บันได กลับพบว่ามีคนยืนอยู่ที่นั่น
คนนั้นไม่ใช่คนที่เขาต้องการพบ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่รู้จักเขา
ชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกไม่พอใจ
เพราะเขาสั่งห้ามไม่ให้ใครขึ้นมาที่ชั้นห้านี้โดยเด็ดขาด
แต่ตอนนี้กลับมีคนยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“เจ้าเป็นใคร”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยถาม
คนผู้นั้นไม่ตอบ
เพียงมองจินเฉาโหย่วเยวี่ยเงียบๆ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้สึกหวาดกลัวในใจเมื่อถูกคนผู้นั้นมอง
ด้วยประสบการณ์หลายปีที่เขาได้ผ่านการต่อสู้ในหอนี้ เขารู้ว่าคนผู้นั้นอาจไม่ใช่คนดี
“หากท่านมีธุระ พวกเราสามารถเข้าไปคุยกันในห้องได้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยขึ้น
จากนั้นเขาก็เคลื่อนตัวไปด้านข้างเล็กน้อย ทำท่าทางเชิญด้วยมือ
คนผู้นั้นไม่ปฏิเสธ
เดินเข้าไปในบ้านอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็เดินไปนั่งตรงที่นั่งของจินเฉาโหย่วเยวี่ยอย่างไม่ไยดี
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นเข้าก็รู้สึกโกรธในใจ
แต่บนใบหน้าของเขาไม่แสดงออกมาแม้แต่น้อย
“ขอถามนามของท่านได้หรือไม่”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเดินเข้าไปประสานมือโค้งคำนับแล้วเอ่ยถาม
คนในโลกนี้ ไม่ได้มีแค่สามทาง
ทางมืด
ทางสว่าง
และทางเทา
จินเฉาโหย่วเยวี่ยยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ถึงกับเป็นทางมืดสนิท แต่ก็ไม่ถึงกับบริสุทธิ์สีขาว จึงนับได้ว่าเป็นทางเทา
แต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้ทำให้เขาไม่สามารถจับต้นชนปลายได้
ถ้าบอกว่าเขามาก่อความวุ่นวาย จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่เชื่อ
เพราะทั้งหอทรงปัญญาคงไม่มีใครกล้ามาทำร้ายหรือก่อเหตุวุ่นวายที่หอจันทร์กระจ่าง
แม้เขาจะเป็นเพียงคนค้าขาย
ไม่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ และไม่ศึกษาหนังสือ
แต่เขามีเงิน
ไม่ว่าจะเป็นทางไหน การมีเงินสามารถทำให้สิ่งต่างๆ เป็นไปได้มากมาย
รวมถึงการจ้างวานผู้ที่มีระดับยุทธ์สูงมาคุ้มครองตนเอง
ตอนนี้ในห้องที่เขาและคนผู้นั้นอยู่มีผู้คุ้มกันถึงห้าคน
ทั้งหมดมีขั้นฝึกตนในระดับบรมภูมิ
นี่เป็นเหตุผลที่เขากล้าเชิญคนผู้นั้นเข้ามาในบ้าน
คนที่จินเฉาโหย่วเยวี่ยจ้างมาล้วนแปลกประหลาด
ทุกคนมาจากกลุ่มคนที่มีชื่อเสียงไม่ดีที่สุดในยุทธภพโดยไม่มีข้อยกเว้น
เพราะจินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้สึกว่าคนที่มีชื่อเสียงดีเกินไป มักจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองอย่างยิ่ง
ประการแรก พวกเขาไม่จำเป็นต้องถูกครอบงำด้วยเงินของเขา
ประการที่สอง พวกเขาต้องไม่เหยียดหยามยามช่วยเขาทำงานสกปรก
คนติดสุราและติดการพนันไม่อยู่ในกลุ่มนี้
ดังนั้น ห้ายอดฝีมือที่เขาเชิญมาทั้งหมดจึงเป็นเช่นนี้
แต่ไม่มีคนติดสุรา
มีเพียงคนติดการพนันเท่านั้น
และเป็นคนติดการพนันที่มีหนี้สินท่วมหัว
มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่จะยอมติดกับอยู่ชั้นห้าของหอจันทร์กระจ่างอย่างไม่มีทางเลือกเพราะเงินทอง
จินเฉาโหย่วเยวี่ยใจกว้างมากเมื่อพูดถึงการใช้จ่ายเงิน
ห้าคนนี้พอใจกับค่าตอบแทนที่ได้รับมาก
ยามอยู่ชั้นห้าของหอจันทร์กระจ่าง จินเฉาโหย่วเยวี่ยก็รู้สึกว่าเขาปลอดภัยอย่างยิ่ง
จริงๆ แล้วนี่เป็นวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย
“พบกันครั้งแรก ข้าเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไว้ หวังว่าท่านจะยินดีรับไว้!”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเปิดตู้ในห้อง หยิบกล่องไม้เล็กๆ ส่งให้พร้อมกล่าว
เขาฉลาดมาก
ก่อนจะส่งให้ เขาเปิดกล่องไม้นั้นออกไว้แล้ว
ภายในมีตั๋วเงินจัดวางอย่างเรียบร้อย
แต่ละใบมีมูลค่าสองพันตำลึง
เพียงกล่องเดียวนี้ เกรงว่าจะมีมูลค่าหลายหมื่นตำลึง
ในตู้ของจินเฉาโหย่วเยวี่ยยังมีกล่องเช่นนี้อีกหลายกล่อง
คงเป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้า
คนค้าขายก็คือคนค้าขาย
สิ่งใดที่สามารถใช้เงินจัดการได้ ก็จะไม่นึกถึงการใช้กำลัง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความกล้าหาญ
แต่เป็นเพราะเขายึดถือหลัก ‘ความสงบพารวย’ สี่คำนี้อย่างยิ่ง
หากเริ่มใช้กำลัง ก็อาจทำลายความสงบนั้น
แล้วจะสร้างความร่ำรวยได้อย่างไรหากความสงบถูกทำลาย?
จินเฉาโหย่วเยวี่ยสามารถทำการค้าใหญ่โตและทำเงินได้มากมาย
เพราะเขามีความยืดหยุ่นในการปรับตัวและมีฝีปากเก่งกล้า
ไม่ตบหน้าคนที่ยิ้มให้
ตราบใดที่สามารถพูดให้ทุกอย่างลงตัว และใช้เงินได้อย่างเพียงพอ
ยังไม่มีเรื่องใดที่สามารถทำให้จินเฉาโหย่วเยวี่ยต้องลำบากจริงๆ
แต่ไม่คาดคิดว่า ดูเหมือนวันนี้จะไม่โชคดีเท่าไร
หลังจากจินเฉาโหย่วเยวี่ยส่งกล่องไป คนผู้นั้นไม่แม้แต่จะมองกล่อง แต่ยังคงจ้องเขาอย่างตรงไปตรงมา
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่มีทางเลือก จึงได้แต่วางกล่องนั้นไว้บนโต๊ะ
เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะเห็นว่าเงินน้อยเกินไป
แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะหยิบกล่องอื่นออกมา
เหตุผลนั้นง่ายมาก
เป็นคน ใครบ้างจะไม่หมดความอดทน
จินเฉาโหย่วเยวี่ยแม้จะเป็นคนที่เจรจาได้ดี
แต่สุดท้ายก็มีเส้นแบ่งของตัวเอง
ตอนนี้คนผู้นั้นได้ล่วงเกินเส้นที่ตนขีดไว้
ดังนั้น จินเฉาโหย่วเยวี่ยจึงยืดตัวตรง และนั่งลงตรงข้ามคนผู้นั้นอย่างมั่นคง
เขาปรบมือเบาๆ
ห้ายอดฝีมือปรากฏตัวกะทันหัน
ยืนอยู่หน้าจินเฉาโหย่วเยวี่ย
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ และยิ้มอย่างพอใจ
แต่คนผู้นั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
กลับหยิบกระดาษและพู่กันบนโต๊ะขึ้นมาเขียน
“ชิงเฉี่ยน?”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองดูตัวอักษรบนกระดาษและอ่านออกเสียง
คนผู้นั้นพยักหน้าเล็กน้อย
ที่แท้แล้วเขาเป็นคนใบ้
ไม่สามารถพูดได้
“หากท่านมาหาแม่นางชิงเฉี่ยน วันนี้เกรงว่าจะไม่ใช่เวลาที่ดีเท่าไร เพราะนางมีนัดอยู่แล้ว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
ตราบใดที่อีกฝ่ายมีความต้องการจากเขา ก็สามารถเจรจาได้ทุกอย่าง
ที่กลัวคือกลัวอีกฝ่ายไม่พูดอะไรเลย
ตอนนี้เมื่ออีกฝ่ายได้เปิดปากแล้ว ในใจของจินเฉาโหย่วเยวี่ยก็รู้สึกโล่งอกไม่น้อย
เส้นประสาทที่ตึงเครียดในหัวก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
‘ตอนนี้’
คนผู้นั้นเขียนอีกสองตัวอักษรลงบนกระดาษ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่รู้ที่มาที่ไปของคนตรงหน้านี้
แต่เห็นว่าเขามีท่าทีมั่นใจอย่างมาก คงจะไม่ใช่คนธรรมดา
ทว่าตอนนี้ชิงเฉี่ยนกำลังรับใช้ฉางอี้ซาน
นั่นเป็นคนที่ตนไม่สามารถล่วงเกินได้เลย
เมื่อเทียบสองฝ่ายแล้ว ต้องเลือกที่เบาที่สุด
“ตอนนี้คงไม่ได้ หากพรุ่งนี้ท่านยังมีเวลา ข้าน้อยจะจัดการให้ท่านเป็นคนแรก”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
คนผู้นั้นได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า
เพียงใช้พู่กันวาดวงกลมบนกระดาษ
และวงรอบคำว่า ‘ตอนนี้’
ดูเหมือนจะเป็นการเน้นย้ำ
“ตอนนี้ไม่สามารถต่อรองได้ อย่างน้อยก็ควรเคารพลำดับก่อนหลังกันบ้างกระมัง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
จากนั้นใช้มือทำท่าเชิญ
เป็นการส่งสัญญาณให้ออกไป
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไพล่มือไว้ด้านหลังและหันหลังกลับ
เรื่องที่เหลือ ห้าคนนั้นจะช่วยเขาจัดการต่อเอง
ผ่านไปไม่นาน จินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้สึกว่าด้านหลังเงียบเกินไป จึงหันกลับมาอีกครั้ง
แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาหมดแรงจะกรีดร้อง
คนที่อยู่ในความกลัวขั้นสุด จะเงียบสงบผิดปกติ
เหมือนกระต่ายน้อยที่เพิ่งกินอิ่ม
น่ารักและว่านอนสอนง่ายอย่างผิดหูผิดตา
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นห้ายอดฝีมือที่เขาจ้างมาด้วยราคาแพงยืนนิ่งอยู่กับที่
แต่บนพื้นมีเลือดไหลห้าสาย
เลือดห้าสายนี้ไหลออกมาจากคอของพวกเขาทั้งห้าคน
ไหลลงมาตามหน้าอกไปยังต้นขา จากนั้นก็หยดจากขากางเกงลงบนพื้น
เลือดห้าสายนั้นไหลไปไม่ไกลก็รวมกันเป็นหนึ่ง
เป็นลำธารเล็กๆ ที่เกิดจากเลือดสด
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
เหตุใดยอดฝีมือของเขาที่ปกติชนะทุกครั้งถึงไม่มีโอกาสต่อสู้เลย เพียงยืนตายไปทั้งอย่างนั้น
เขาไม่รู้เรื่องการต่อสู้
แต่เขาก็รู้ว่าห้าคนนั้นตายแล้ว
และคนที่ฆ่าพวกเขาคือคนใบ้ตรงหน้านี้
คนแบบใดกันถึงจะสามารถฆ่าห้ายอดฝีมือระดับบรมภูมิได้โดยไม่ส่งเสียงในชั่วขณะ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่กล้าที่จะคิดถึงมัน
ในชั่วขณะนั้น เขาเพียงต้องการร้องขอชีวิต
เพราะเขาไม่อยากตาย
เพราะในตู้ยังมีเงินอีกมากที่ยังไม่ได้ใช้จ่าย มีเสื้อผ้าหรูหราสวยงามอีกมากที่ยังไม่ทันได้สวมใส่
เขายังไม่เคยไปทะเลตะวันออก
ยังไม่เคยไปทะเลทรายทางใต้
ยังมีชีวิตที่หรูหรามากมายรอให้เขาได้สัมผัส
ดังนั้น เขาไม่อยากตาย
แต่ลำธารเลือดบนพื้น
และร่างของห้าศพที่ยืนอยู่ตรงหน้า
แม้แต่จะร้องขอชีวิตก็ทำไม่ได้
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองไปที่มือของคนนั้น
พบว่าเขายังคงถือพู่กันอยู่
นั่นคือพู่กันธรรมดาที่เขาใช้เขียนตัวอักษรเมื่อครู่
เพียงแต่ปลายพู่กันชุ่มเลือด
เขาใช้ปลายพู่กันนุ่มๆ นี้ฆ่ายอดฝีมือระดับบรมภูมิห้าคน
คนผู้นั้นสะบัดข้อมือเบาๆ
หยดเลือดสาดกระเซ็นลง
ดูเหมือนเขาจะต้องการเอาเลือดส่วนเกินออกจากปลายพู่กัน
หลังจากสะบัดเลือดออก คนผู้นั้นก็โบกมือเรียกจินเฉาโหย่วเยวี่ย
ให้เขาเข้ามาใกล้ๆ
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่ต้องการเข้าใกล้ แต่เขากลัวว่าถ้าไม่ทำตามแม้แต่คำเดียว เขาก็อาจจะกลายเป็นศพที่ยืนอยู่
สายเลือดบนพื้นอาจจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสาย
ธารเลือดนั้นก็จะใหญ่โตยิ่งขึ้น
หลังจากจินเฉาโหย่วเยวี่ยเข้าไปใกล้
คนผู้นั้นใช้พู่กันเขียนเส้นหนึ่งลงใต้คำว่า ‘ตอนนี้’ ที่ถูกวงกลมไว้
เส้นสีแดงสดนี้
แทงตาของจินเฉาโหย่วเยวี่ยจนปวดบวม
แม้ตั๋วเงินจะประทับด้วยหมึกสีชาด
แต่หมึกสีชาดก็ไม่ใช่เลือด
ไม่ทิ่มแทงตาเช่นนี้
“ตอนนี้ๆ! ตอนนี้ชิงเฉี่ยนกำลังดื่มสุรากับฉางอี้ซาน! ท่านอาจดูถูกข้า แต่ท่านจะล่วงเกินฉางอี้ซานได้หรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยตะโกนออกมา
นี่ไม่ใช่ความโกรธ
แต่เป็นความกลัว
ความกลัวที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มเจอคนผู้นั้นที่บันไดจนถึงตอนนี้
‘เข้าใจแล้ว’
คนผู้นั้นเขียนอีกสามคำลงบนกระดาษ
เพียงแต่ตัวอักษร ‘แล้ว’ ของเขาค่อนข้างผอมยาว
มองดูครั้งแรกเหมือนกับคนแขวนคอตาย
เขาส่งกระดาษและพู่กันให้จินเฉาโหย่วเยวี่ยแล้วออกจากห้องไป
จินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่กล้าหันหลังกลับ
จนกระทั่งได้ยินเสียงคนผู้นั้นลงบันไดตึกๆๆ จินเฉาโหย่วเยวี่ยถึงได้ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง ไม่สนใจแม้กระทั่งชายเสื้อที่จมอยู่ในเลือด
จินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้สึกคอแห้งมาก และอยากจะดื่มสุราเป็นครั้งแรก
………………………………………………
[1] วันนี้มีสุรา (今朝有酒) คล้ายกับชื่อของจินเฉาโหย่วเยวี่ย (今朝有月) ที่หมายถึงเช้านี้มีจันทร์