ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 190 ตอนที่ 106 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-
บทที่ 190 ตอนที่ 106 วีรบุรุษพลิกวิกฤติ-1
หอทรงปัญญา
บนถนนยาว
หน้าหอจันทร์กระจ่าง
หลิวรุ่ยอิ่งเปลี่ยนเครื่องแบบข้าราชการออกแล้ว
ประการแรก เครื่องแบบของเขาถูกทรายพิษของดรุณทลายพรรณทำให้เกิดรูเล็กๆ
ประการที่สอง การสวมใส่เครื่องแบบกรมสอบสวนในสถานที่รื่นเริงก็ไม่เหมาะสมจริงๆ
เขาสวมชุดไหมทอสีน้ำเงินอ่อนลายดอกไม้ และรัดเข็มขัดเงินสีดำลายเด็กแสดงละครรอบเอวอย่างหลวมๆ
มีเพียงรองเท้าที่เขาไม่ได้เปลี่ยน
ไม่ใช่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากเปลี่ยน
แต่เขามีคู่นี้คู่เดียวเท่านั้น
ไม่มีทางเลือก เขาจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดโคลนที่ขอบรองเท้า พยายามทำให้ดูดีที่สุด
คำกล่าวที่ว่าคนพึ่งเสื้อผ้า ม้าพึ่งอาน
ถ้อยคำนี้ไม่ได้เป็นเท็จแม้แต่น้อย
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาดูแตกต่างออกไปทันที!
เขายืนอยู่หน้าประตูหอจันทร์กระจ่าง
ประตูของหอจันทร์กระจ่างเรียบง่ายไม่น้อย
มีเพียงคนเฝ้าประตูสองคนยืนนิ่งๆ ยิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าอยู่ด้านข้าง
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าไป คนเฝ้าประตูคนหนึ่งยื่นมือขึ้นมาขวางเบาๆ
“ขออนุญาตถามคุณชายว่ามีนัดหมายในค่ำคืนนี้หรือไม่ขอรับ”
คนเฝ้าประตูถาม
“ข้าเป็นสหายของฉางไต้ซือ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
เมื่อคนเฝ้าประตูได้ยินชื่อของฉางอี้ซาน จากที่ขัดขวางก็กลายเป็นการต้อนรับในทันที
ค้อมตัว หลังโค้ง
หันหน้าไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง เดินนำเขาเข้าไป
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าหอจันทร์กระจ่างนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
เอาแค่การอบรมคนเฝ้าประตูก็เป็นสิ่งที่สถานที่อื่นไม่สามารถเทียบได้แล้ว
ในเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะไม่มีสถานที่เช่นนี้ ถึงขั้นใหญ่กว่าหอจันทร์กระจ่างมาก
ทว่าหอนางโลมที่ดีที่สุดในใต้หล้า กลับอยู่ในเรือที่ประดับประดาอย่างสวยหรูบนแม่น้ำจักรพรรดิ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยไป จึงไม่กล้าแสดงความเห็นและไม่สามารถเปรียบเทียบได้
แต่หอจันทร์กระจ่างนี้เหนือกว่าเมืองหลวงมากจริงๆ
สถานที่ร้องรำทำเพลงต่างก็อยากแสดงความสง่า แต่จริงๆ แล้วมีกี่แห่งกันที่ทำได้จริง
หรือไม่ก็ขอเพียงที่ไหนมีเงินก็สามารถทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้
ตราบใดที่มีเงินเพียงพอ ก็ไม่มีประตูไหนที่เข้าไม่ได้ ไม่มีหญิงงามคนใดที่ไม่สามารถพิชิตได้
แต่ที่หอจันทร์กระจ่างนี้ หลิวรุ่ยอิ่งเริ่มเข้าใจแล้ว
เขาเป็นคนหน้าใหม่
หากเมื่อครู่เขาบอกว่าไม่มีนัด เกรงว่าคงจะไม่สามารถผ่านประตูเข้ามาได้เลย
ต่อให้เข้าไปได้ ก็คงจะเป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเดินช้ามาก
เพราะเขาต้องการสำรวจดูว่าสถานที่รื่นเริงอันดับหนึ่งของหอทรงปัญญาแห่งนี้เป็นอย่างไรกันแน่
ทว่าคนเฝ้าประตูก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญหรือหมดความอดทนเลยแม้แต่น้อย
เพียงยืนรออยู่ข้างๆ เงียบๆ
รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่ต่างจากตอนแรก
นี่ไหนเลยจะเป็นแค่หอแห่งหนึ่งเท่านั้น
เกรงว่าจะงดงามกว่าสวนส่วนตัวของตี๋เหว่ยไท่มาก
สิ่งแรกที่เข้าตาคือสะพานหิน
สะพานหินสูงตระหง่าน
ใต้สะพานมีน้ำไหลเบาๆ หลายสาย
น้ำไหลผ่านสะพานหินแล้วบรรจบกันเป็นลำธารยาวตรงด้านหลังสะพาน
ทั้งสองฝั่งของสะพานหิน เรียงรายไปด้วยต้นไม้โบราณสูงใหญ่
“สะพานนี้มีความหมายอย่างไรบ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“คุณชาย สะพานนี้คือสะพานนกกางเขนของหอจันทร์กระจ่างเราขอรับ ท่านเดินขึ้นไปบนสะพานนกกางเขน มองดูน้ำไหลเอื่อยๆ ในใจท่านมีภาพสะท้อนของคนในดวงใจหรือไม่”
คนเฝ้าประตูถาม
“ฮ่าๆ น่าสนใจ! แต่คนที่มาที่นี่ เกรงว่าคงไม่มีคนในดวงใจกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“คุณชายกล่าวได้ถูกต้องนัก! หากท่านไม่พบภาพสะท้อนของคนในดวงใจในสายน้ำนี้ แล้วข้ามสะพานนกกางเขนไป ก็จะมีหญิงงามของหอจันทร์กระจ่างคอยอยู่เป็นเพื่อนท่าน รอเมื่อท่านกลับมาที่นี่อีกครั้ง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่ากระแสของสายน้ำนี้เปลี่ยนไปแล้ว!”
คนเฝ้าประตูกล่าว
“กระแสเปลี่ยนหรือ สายน้ำนี้ไหลต่อเนื่อง กลางวันกลางคืนไม่หยุด จะเปลี่ยนกระแสได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ท่านคิดดูสิ ตอนที่ท่านมาครั้งแรก เห็นสายน้ำในลำธารว่างเปล่า สะพานนกกางเขนก็ว่างเปล่า คราวหน้าที่ท่านมา ไม่แน่ว่าบนสายน้ำนี้อาจจะมีเงาคนระยิบระยับบนสะพานนกกางเขน ผู้คนรายล้อมเบียดเสียดกันเลยทีเดียว!”
คนเฝ้าประตูกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินแล้วหัวเราะออกมา
จากนั้นก็ให้แท่งเงินแก่คนเฝ้าประตู
แต่คนเฝ้าประตูกลับปฏิเสธไม่รับ
“คุณชายไม่ต้องทำเช่นนี้ เรามีเงินเดือนของเราเอง การเปิดทางและไขข้อสงสัยให้ท่านคือหน้าที่ของเรา!”
คนเฝ้าประตูกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
ในใจอดไม่ได้ที่จะมองหอจันทร์กระจ่างนี้ขึ้นสูงอีกหลายส่วน
ที่แท้ในใต้หล้านี้ยังมีคนไม่โลภทรัพย์อยู่จริงๆ
ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าคนเฝ้าประตูไม่ชอบแท่งเงิน
แต่เพราะหอจันทร์กระจ่างมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเพื่อชื่อเสียงของตัวเอง
คงเป็นเพราะคนเฝ้าประตูไม่กล้าทำลายกฎจนส่งผลถึงขั้นเสียการงาน
เงินเดือนที่หอจันทร์กระจ่างอาจจะไม่ได้สูงกว่าที่อื่นมากนัก
แต่ชื่อเสียงของหอจันทร์กระจ่างนั้นทำให้ที่อื่นต้องอิจฉา
การเป็นคนเฝ้าประตูที่นี่ ย่อมดีกว่าไปอยู่ที่อื่นๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงกระมัง
แม้ว่าจะสามารถรับเงินพิเศษจากการเป็นผู้ดูแลประตูได้ แต่แม้กระทั่งเด็กรับใช้เหล่านี้ก็ยังมีความปรารถนาของตนเอง
ใครไม่อยากทำงานในเรือนใหญ่หรือจวนใหญ่บ้าง
พูดออกไปในหมู่สหายร่วมงานก็ดูมีศักดิ์ศรีมากขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งเดินผ่านสะพานนกกางเขน
เห็นเนินเขาเทียมอยู่ไกลๆ
เนินเขาเทียมไม่สูง แค่ครึ่งหนึ่งของต้นไม้เท่านั้น
คงจะเพียงเพื่อสร้างทิวทัศน์ ไม่มีประโยชน์จริงๆ
แต่ในหอนี้ การที่มีทั้งภูเขา น้ำ และป่าไม้ก็ถือว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว
ใต้เนินเขาเทียมมีกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่ง
สง่าและมีเอกลักษณ์
มีการจุดธูปหอมตรงชายคา
มองไกลๆ เหมือนกับวิหารเซียน
กลับทำให้ชีวิตปราศจากความคิดชั่วร้ายใดๆ
กระท่อมหันหน้าไปทางสะพานนกกางเขน หน้าต่างเปิดออกทุกบาน
ผ่านชั้นหน้าต่างกระดาษบางๆ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ในแต่ละห้อง
ไม่เขียนหนังสือก็ดีดฉิน
หรือนั่งเงียบๆ ทำงานเย็บปักถักร้อย
“คุณชาย ห้องส่วนตัวที่ฉางไต้ซือจองไว้อยู่ทางนี้ขอรับ”
คนเฝ้าประตูโค้งตัวพูด
ชี้ไปทางซ้ายเล็กน้อย
“แถบนี้เป็นห้องส่วนตัวหมดเลยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ไม่ขอรับ แถวนี้ทั้งหมดเป็นที่ของหญิงงามชั้นนำของหอจันทร์กระจ่าง”
คนเฝ้าประตูตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งตามเขามาถึงหน้าห้องส่วนตัวของฉางอี้ซาน
เมื่อเปิดประตู กลิ่นหอมของแป้งและเครื่องสำอางพัดเข้ามาเต็มหน้า
ทุกคนมาถึงกันหมดแล้ว
ดูเหมือนว่าสุราได้หมุนไปสามรอบแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจที่สุดคือโอวเสี่ยวเอ๋อแต่งกายเป็นบุรุษ
ทว่าการแต่งกายเป็นบุรุษนี้ บวกกับนิสัยของนางกลับดูเข้ากันจริงๆ
ท่วงท่าแข็งแกร่งและสง่า
เวลานี้นางกำลังกอดสาวงามสองคนซ้ายขวา
พูดคุยหัวเราะสนุกสนานอย่างเต็มที่
คนทางซ้ายใบหน้าเขินอายแดงระเรื่อ
คนทางขวาริมฝีปากแดงเรื่อเหมือนกลีบดอกไม้หล่น
คนหนึ่งป้อนอาหารโอวเสี่ยวเอ๋อ อีกคนรินสุราให้โอวเสี่ยวเอ๋อ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
สายตาเขากวาดมองไปรอบๆ ห้องส่วนตัวอย่างรวดเร็ว
เห็นว่ามีเพียงที่นั่งข้างๆ เจ้าหมิงหมิงเท่านั้นที่ว่างอยู่
คงจะเป็นที่ที่นางเก็บไว้ให้เขา
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกอายเล็กน้อยในตอนนี้
เพราะที่นั่งนั้นอยู่ใกล้เจ้าหมิงหมิงมาก
อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าเจ้าหมิงหมิงเป็นสหายของเขา ในหอทรงปัญญานี้เขาไม่ค่อยรู้จักใคร
การจัดที่นั่งเช่นนี้จึงดูเหมาะสมที่สุด
“เหตุใดจึงมาเอาป่านนี้?!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกำลังสนุกสนานจนไม่สนใจอะไร
ในสายตาจิ่วซานปั้นมีแต่สุรา
มีเพียงทังจงซงเท่านั้นที่สายตาคมชัด เห็นหลิวรุ่ยอิ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตู
“นี่ไม่ใช่ที่ที่จะไปมาปุบปับ ก่อนจะมาต้องเตรียมตัวให้พร้อมสิ!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอาจารย์อา!”
เขาหันไปทางฉางอี้ซาน แล้วทำความเคารพด้วยการโค้งคำนับ
“ไม่ต้องมากพิธี รีบนั่งเถอะ! โต๊ะนี้ไม่มีที่สำรอง ไม่ต้องมากกฎเกณฑ์!”
ฉางอี้ซานใจกว้างและเปิดเผย หันกลับมาโบกมือให้หลิวรุ่ยอิ่งและพูดเสียงดัง
“ดื่มได้ดีหรือไม่”
พอหลิวรุ่ยอิ่งนั่งลง
เจ้าหมิงหมิงก็ยิ้มให้เขาเบาๆ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกใจเต้นและแก้มร้อนผ่าว
เขาเอ่ยปากถาม เพื่อให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง
ไม่คิดว่าเจ้าหมิงหมิงจะไม่ตอบ แต่นางกลับวางจอกสุราของนาง รวมถึงจอกสุราของเกาลัดคั่วน้ำตาลไว้หน้าหลิวรุ่ยอิ่ง
รวมกับจอกสุราของหลิวรุ่ยอิ่งเอง ก็เป็นสามจอกแล้ว
เจ้าหมิงหมิงรินสุราลงในสามจอกนั้นด้วยตัวเองจนเต็ม
ยกมือเรียวยาวเป็นสัญญาณให้หลิวรุ่ยอิ่งดื่มให้หมด
“แม้ฉางไต้ซือจะบอกว่าโต๊ะนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ แต่การลงโทษสำหรับการมาสายหรือออกเร็วนั้นยังต้องมี! ก่อนหน้านี้เจ้าไม่อยู่พวกเราได้หารือกันแล้วว่าเมื่อเจ้ามาถึงเจ้าต้องถูกลงโทษด้วยการดื่มสุรา ตอนแรกตั้งใจจะให้เจ้าดื่มสามกา แต่เกรงว่าเจ้าจะดื่มมากเกินไปตั้งแต่เริ่มจนสนุกสนานต่อไม่ไหว ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสามจอกแทน”
ทังจงซงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ตัวว่าตัวเองผิดจึงทำได้เพียงยอมรับ
เขายกจอกสุราขึ้นมาดมเบาๆ
นอกจากกลิ่นสุราแล้ว ยังมีกลิ่นกายของเจ้าหมิงหมิงที่โชยมาเพียงเล็กน้อย
ภายใต้ความรู้สึกที่หัวใจพองโต เขาไม่ได้คิดจะลิ้มรสช้าๆ
‘กลืน’ สามคำ ดื่มหมดทั้งสามจอก
“หลังจากที่ดื่มลงโทษเสร็จแล้ว ก็ควรจะพูดคุยกันบ้าง ช่วยให้ข้าตามทันหัวข้อที่กำลังสนทนา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่มีหัวข้อพูดคุยอะไร แต่ละคนต่างง่วนอยู่กับตัวเอง”
ฉางอี้ซานกล่าว
“เวลาดื่มสุรามีสาวงามคอยเคียงข้าง หากยังต้องหาหัวข้อพูดคุยอีก จะไม่ดูเคร่งเครียดเกินไปหรือ”
ทังจงซงกล่าวต่อ
พูดจบก็โอบหญิงสาวข้างกาย
หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาๆ ล้มตัวลงในอ้อมกอดของทังจงซง
ขณะที่ต่อยเบาๆ ด้วยกำปั้น นางก็ยื่นนิ้วหนึ่งขึ้นมายันจอกสุราของทังจงซงให้เขารีบดื่มให้หมด
ฉางอี้ซานส่งสัญญาณให้คนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังทางสายตา
ไม่นานห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดอีกครั้ง
หญิงสาวหลายคนเดินเข้ามา
แต่ละคนมีทั้งความงามที่ทำให้จันทร์อับแสง และความงามที่ทำให้ปลาจมน้ำ
หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจว่าสิ่งนี้เตรียมไว้สำหรับเขา
แต่การที่เจ้าหมิงหมิงนั่งอยู่ข้างๆ ทำให้เขาระมัดระวัง
“ข้าเอาสองคนตรงกลางนั้น! มารับใช้ข้าและคุณหนูของข้า!”
คิดไม่ถึงว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลกลับออกตัวก่อน
เลือกสาวงามสองคนที่งามที่สุดในกลุ่มนี้ไป
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มพร้อมส่ายหัว
“หากไม่มีใครถูกใจ ก็ให้พวกเขาเปลี่ยนกลุ่มใหม่ก็ได้”
ฉางอี้ซานกล่าว
ความลุ่มหลงในความงามมีกันทุกคน
ไม่ใช่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ชอบหญิงงาม
เพียงแต่หญิงงามเหล่านี้แม้จะงามเพียงใด แต่กลิ่นเครื่องสำอาง กลิ่นแป้งนั้นฉุนเกินไป
พันกิริยาอ่อนหวาน ร้อยพฤติกรรมเย้ายวน ทำให้ผู้คนรู้สึกเอ็นดู
แต่ดูนานๆ ก็รู้สึกเบื่อ
หลิวรุ่ยอิ่งชื่นชอบสตรีที่มีความงามในทางตรงกันข้าม
เช่นเจ้าหมิงหมิง ถึงจะดูเป็นสตรีอ่อนหวานและเป็นมิตรมาก แต่จริงๆ แล้วนางมีนิสัยเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง
แน่นอนว่านางสุภาพกับทุกคนมาก และแสดงออกด้วยรอยยิ้ม
แต่นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ปฏิเสธคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้ไม่ใช่หรือ
ฉางอี้ซานเห็นว่าสายตาของหลิวรุ่ยอิ่งเลื่อนออกจากเหล่าหญิงสาวที่เหลือแล้ว
จึงรู้ว่าศิษย์หลานของตนนั้นมีรสนิยมสูงมาก
สินค้าธรรมดาไม่อาจเข้าตา
“จึๆๆ!”
ทังจงซงเปล่งเสียงแปลกๆ ดึงสายตาของหลิวรุ่ยอิ่งกลับมา
“ดื่มสุราของเจ้าไปเถอะ! มีอะไรกวนใจเจ้าอีกล่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางยิ้ม
เขารู้ว่าเสียงแปลกๆ ของทังจงซงนั้นเจาะจงมาที่เขา
………………………………………………………