ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 175 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-2
บทที่ 175 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-2
ถึงตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปกปิดอะไร
“หากข้าไม่ชี้กระบี่ไปที่เจ้า ข้าก็อยากจะลองชิมอาหารที่เจ้าทำจริงๆ ไม่จำเป็นต้องใช้จอบหรือพลั่วก็ได้”
เถี่ยกวนอินเอ่ยขึ้น
“ถ้าทำให้เจ้ายอมแพ้ เจ้าจะยินดีศึกษาการทำอาหารด้วยจอบและพลั่วกับข้าหรือไม่”
เยี่ยเหว่ยถาม
“ขอเพียงทำให้ข้ายอมแพ้ได้ ต่อให้เจ้าจะทำอุจจาระให้ข้ากิน ข้าก็ยินดีที่จะลองชิมสักคำ”
เถี่ยกวนอินเอ่ยขึ้น
“ชิมอย่างเดียวคงไม่พอ เจ้าต้องกินให้หมดด้วย!”
เยี่ยเหว่ยพูด
“ข้าไม่เพียงจะกินให้หมดเท่านั้น แต่ข้าจะเติมน้ำลงในหม้อที่ใช้ปรุงอาหารเพื่อล้างแล้วยกดื่มด้วย”
เถี่ยกวนอินกล่าว
นี่มันยิ่งกว่าที่เยี่ยเหว่ยพูดไว้เสียอีก
บางคนมีอารมณ์ขันกับตัวเอง แต่กลับใจร้ายต่อคนอื่น
ในขณะที่บางคนมีอารมณ์ขันกับคนอื่น แต่ใจร้ายต่อตัวเอง
เห็นชัดว่าเถี่ยกวนอินเป็นคนประเภทหลัง
แต่เยี่ยเหว่ยไม่เคยเห็นคนที่ใจร้ายทั้งกับคนอื่นและตัวเอง หรือมีอารมณ์ขันทั้งกับคนอื่นและตัวเองเช่นกัน
คนที่ใจร้ายทั้งกับคนอื่นและตัวเองนั้นคือคนชั่ว
เยี่ยเหว่ยไม่เคยคิดว่าในโลกนี้จะมีคนชั่วจริงๆ
ทุกคนล้วนมีทางเลือกของตัวเอง แค่เจอสถานการณ์ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
ส่วนคนที่มีอารมณ์ขันทั้งกับคนอื่นและตัวเองนั้นเป็นคนโง่
เยี่ยเหว่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าโลกนี้จะมีคนโง่จริงๆ
นอกจากเป็นมาแต่กำเนิด ส่วนที่เหลือเป็นเพราะเขาไม่อยากเข้าใจ และคร้านจะเข้าใจ
“เจ้าต้องการลับมีดหรือไม่ ข้ารอเจ้าได้นะ”
เถี่ยกวนอินเอ่ย
“ไม่ต้องการ”
เยี่ยเหว่ยตอบ
“ข้ารอเจ้าได้จริงๆ”
เถี่ยกวนอินเอ่ย
“ข้าไม่ได้จะสื่อว่าข้าไม่ต้องการลับมีด ความหมายของข้าคือบนโลกใบนี้คงหาหินลับมีดที่ดีกว่ากระบี่ทองเล่มนี้ของเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
เยี่ยเหว่ยเอ่ย
เถี่ยกวนอินยิ้มกว้าง
แม้เขาจะเป็นคนที่มีอารมณ์ขันมาก
ทว่าความเส้นตื้นของเขาสูงกว่าเยี่ยเหว่ยไม่น้อย
เยี่ยเหว่ยหัวเราะไปแล้วสองครั้ง
แต่เขาหัวเราะเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
“แล้วเราจะต่อสู้กันอย่างไร”
เยี่ยเหว่ยถาม
“ให้เจ้าลับมีดก่อน!”
เถี่ยกวนอินพูดขึ้น ขณะที่ชุดคลุมสีแดงของเขาปลิวไสว
กระบี่ทองสาดปราณกระบี่จากบนลงล่างออกมาสายหนึ่ง
ปลายมีดตัดฟืนโค้งงอ
เยี่ยเหว่ยตวัดมีด
ใช้ปลายมีดที่โค้งงอเกี่ยวเบาๆ ก็คว้าปราณกระบี่สีทองสายนั้นเอาไว้ได้
จากนั้น เยี่ยเหว่ยก็ดึงลงมา
ปราณกระบี่สีทองที่รุนแรงสายนั้นราวกับตะเกียบถูกหักเป็นสองท่อน
“ไม่พอ…”
เยี่ยเหว่ยมองมีดตัดฟืนของตัวเองแล้วส่ายหัว
“อะไรไม่พอ”
เถี่ยกวนอินเอ่ยถาม
“แรงไม่พอ การเสียดสีก็ไม่พอ เจ้าต้องรู้ว่าการลับมีดนั้นไม่เพียงแต่ต้องใช้แรง หินลับมีดเองก็ต้องหยาบพอด้วย โดยเฉพาะมีดตัดฟืนที่เป็นสนิมเขรอะของข้าเล่มนี้ แรงและการเสียดสีเมื่อครู่นั้นยังไม่พอ”
เยี่ยเหว่ยตอบ
“ยังขาดอีกเท่าไร”
เถี่ยกวนอินเอ่ยถาม
“อย่างน้อยก็ยังขาดอีกครึ่งหนึ่ง…ส่วนยังขาดอยู่เท่าไรนั้นข้าก็พูดไม่ได้ เพราะไม่เคยลับมีดตัดฟืนเล่มนี้มาก่อน ทำได้เพียงลองทีละนิด”
เยี่ยเหว่ยเอ่ย
“ได้”
เถี่ยกวนอินพยักหน้า
นี่เหมือนคนสองคนกำลังแย่งชิงอะไรกันที่ไหน
เหมือนเพื่อนสนิทกำลังเล่นกันมากกว่า
เถี่ยกวนอินสาดปราณกระบี่ออกมาอีกครั้ง
เยี่ยเหว่ยยังคงใช้ส่วนโค้งของปลายมีดคว้ามันไว้ จากนั้นก็ออกแรงดึง
“หืม?”
เยี่ยเหว่ยรู้สึกได้ว่าระดับความยืดหยุ่นของปราณกระบี่สายนี้ดีกว่าครั้งก่อนมาก
“เป็นอย่างไร พอใจหรือไม่”
เถี่ยกวนอินเอ่ยถามขณะถือกระบี่
“ดีกว่าครั้งก่อนมาก แต่มีความยืดหยุ่นมากไปนิด แรงไม่พอ ยังขาดอยู่อีกเล็กน้อย…”
เยี่ยเหว่ยส่ายหัวเอ่ย
เถี่ยกวนอินได้ยินดังนั้นก็สีหน้าปั้นยาก
เขาเกาหัว
รู้สึกว่าบรรยากาศและสถานการณ์นี้คล้ายกับตอนที่เขาเริ่มเรียนการต่อสู้ด้วยกระบี่เมื่อครั้งเยาว์วัย
“ข้าจะลองดูอีกที…”
เถี่ยกวนอินพูดขึ้น
ถึงอย่างไรก็ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะช่วยเขาลับมีด ก็ต้องทำตามที่พูดให้ได้
บุคคลที่มีชื่อเสียงในใต้หล้านอกจากจะมีอารมณ์ขันแล้ว ยังมีลักษณะเฉพาะอีกอย่างหนึ่งคือความเด็ดเดี่ยวในคำพูด
พูดอะไรไว้ก็ต้องทำให้ได้
จะไม่มากเกินไป และแน่นอนว่าจะไม่มีการลดหย่อนใดๆ เช่นกัน
เถี่ยกวนอินปรับท่าทางการใช้กระบี่เล็กน้อย
เปลี่ยนแม้กระทั่งจากที่จับกระบี่มือขวาก็สลับไปยังมือซ้าย
“เร็วเข้าสิ! เจ้ามัวชักช้าอยู่ทำไม!”
เยี่ยเหว่ยพูดอย่างหงุดหงิด
“ข้าประหม่านิดหน่อย…ขออภัย ขออภัย เอาละนะ!”
เถี่ยกวนอินเอ่ยปาก
การต่อสู้นี้ไม่มีผู้ชม
แต่หากมี จะต้องตกใจจนกระดูกขากรรไกรหลุดออกมาเป็นแน่
การดวลกันระหว่างอดีตหนึ่งในห้าสุดยอดนักพรตอินหยาง ‘ไท่ไป๋’ กับเถี่ยกวนอินประมุขพรรคอาภรณ์แดงฉานที่เปิดฉากด้วยบรรยากาศคึกคักเช่นนี้
อีกทั้งเยี่ยเหว่ยยังตำหนิเถี่ยกวนอินที่ลงมืออืดอาดชักช้า
เถี่ยกวนอินกลับรู้สึกว่าตัวเองประหม่า พร้อมขอโทษขอโพยเยี่ยเหว่ยที่กล่าวตำหนิตนด้วย
นิยายพื้นบ้านล้วนไม่เคยมีตำนานขานกล่าวเช่นนี้
แต่ในความเป็นจริงมันได้เกิดขึ้นแล้ว
ในที่สุดเถี่ยกวนอินก็ปรับท่าทางเสร็จเรียบร้อย
เขาฟันกระบี่ออกมาอีกครั้ง
ปราณกระบี่รอบนี้ไม่ทรงพลังเหมือนรอบก่อน
แต่กลับละเอียดอ่อนกว่ามาก
ราวกับเข็มปักผ้า เหมือนฝนพรำ
ละเอียดจนเยี่ยเหว่ยไม่ต้องใช้ปลายมีดเกี่ยว
เขาเพียงเอียงคมมีดเล็กน้อย ปะทะไปที่ปราณกระบี่สายนั้น
“แกร๊ง!”
สนิมบนมีดตัดฟืนตกลงมาชิ้นใหญ่เท่าเม็ดข้าว
“มีวิธีแล้ว!”
เถี่ยกวนอินพูดอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นแสงสายหนึ่งสาดส่องออกมาจากตัวมีดหลังจากสนิมหลุดล่อน
“ใช่! มีวิธีแล้ว!”
เยี่ยเหว่ยมองมีดพลางพูดอย่างดีอกดีใจ
“แต่เจ้านี่ช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย…”
เยี่ยเหว่ยเปลี่ยนเรื่องทันที
“อะไรอีกล่ะ ไม่ใช่ว่าตกลงมาชิ้นหนึ่งแล้วหรือ”
เถี่ยกวนอินไม่เข้าใจ
“ก็ใช่ แต่เจ้าดูสิว่ามันใหญ่แค่ไหน เจ้าไม่ได้กินข้าวหรืออย่างไร”
เยี่ยเหว่ยเอ่ยถาม
เถี่ยกวนอินพยักหน้า
วันนี้เขายังไม่ได้กินข้าวจริงๆ
เขาแค่ดื่มน้ำในเมืองจิ่งผิงนิดหน่อยเท่านั้น
“กินข้าวแค่เม็ดเดียวจะอิ่มได้หรือ เช่นเดียวกัน ถ้าสนิมหลุดออกมาแค่ขนาดเท่าเม็ดข้าวแล้วเมื่อไรมีดเล่มนี้จะลับเสร็จ เจ้าไม่รีบ แต่ข้ารีบ ข้าต้องรีบกลับไปทำอาหารเย็น! ข้าต้องหาเงิน!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“เกรงว่าจะทำให้เราทั้งคู่เหนื่อยตายก่อนที่มีดจะคม”
เถี่ยกวนอินพูดพร้อมทำหน้าเศร้า
“ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ใช้กระบี่ขูดสนิมบนนั้นทิ้งไปเลย”
เถี่ยกวนอินพูดขึ้น พร้อมยื่นกระบี่ทองของเขาเข้ามา
“ไม่ได้ ไม่ได้ แบบนั้นก็น่าเบื่อน่ะสิ”
เยี่ยเหว่ยส่ายหัว
เห็นเขาขมวดคิ้ว ราวกับว่ากำลังพยายามคิดหาวิธีอื่นอยู่
“ใช้กระบี่ของเจ้าลับมีด เจ้าเป็นคนถือกระบี่นั่นจึงจะถูก หากข้าเป็นคนขูดสนิมออกเอง ไม่สู้ข้าไปลับที่ขอบบ่อน้ำในเมืองด้วยตัวเองดีกว่า”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“มีเหตุผล งั้นลองอีกรอบ!”
เถี่ยกวนอินพูดพลางยกกระบี่ขึ้นอีกครั้ง
‘แกร๊ง!’
มีสนิมชิ้นหนึ่งตกลงมาตามเสียง
คราวนี้ใหญ่กว่าเม็ดข้าวเล็กน้อย
ไล่เลี่ยกับเมล็ดข้าวโพด
แม้ว่าสำหรับมีดทั้งเล่มแล้ว ก็ยังเป็นเพียงน้ำน้อยแพ้ไฟ
“ชิ้นนี้ใหญ่!”
เถี่ยกวนอินพูดด้วยความตื่นเต้น
“ไม่เลว มีความคืบหน้า!”
เยี่ยเหว่ยพยักหน้าเห็นด้วย
“ขอแค่มีความคืบหน้าก็ถือว่าไม่เลว!”
เถี่ยกวนอินเอ่ย
“แต่ความคืบหน้าของเจ้าออกจะช้าเกินไป…กระบี่ที่แล้วเท่าเม็ดข้าว กระบี่นี้เท่าเมล็ดข้าวโพด เจ้าทำให้คืบหน้าเร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ ก้าวกระโดดไปเลย”
เยี่ยเหว่ยบ่น
เถี่ยกวนอินเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
เขาผู้ไม่กลัวความตายนั้น แค่ใช้กระบี่ไม่กี่ครั้งก็เหงื่อท่วมหัวแล้ว
เขากัดฟันแน่น ฟันกระบี่ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ใช้แรงกายทั้งหมดฟันกระบี่ออกไปห้าหกครั้งในคราวเดียว
แม้ทุกครั้งที่ฟันกระบี่จะทำให้สนิมบนมีดหลุดลงมาหนึ่งชิ้น
แต่ขนาดของสนิมทุกชิ้นนั้นใหญ่พอๆ กับเมล็ดข้าวโพด
ไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย
“มีดตัดฟืนของเจ้ามีอะไรแปลกๆ!”
เถี่ยกวนอินชี้ไปที่เยี่ยเหว่ยแล้วพูดขึ้นมา
“แปลกที่ใดกัน หากยังไม่มีสนิมหลุดออกมาเลยสักชิ้น นั่นจึงจะเรียกว่าแปลก แต่เห็นอยู่โต้งๆ ว่ามีสนิมหลุดออกมาแล้วไม่น้อย หากจะบอกว่าแปลกก็คงเป็นกระบี่ทองของเจ้านั่นแหละที่แปลก”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เถี่ยกวนอินคิดไปคิดมา รู้สึกว่ามันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ทั้งยังรู้สึกว่าสิ่งที่ตนพูดไปเมื่อครู่นั้นช่างไร้สาระจริงๆ…
ไม่มีทางเลือก ทำได้แค่ฟันกระบี่ออกไปเรื่อยๆ
………………………………………………………………………………