ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 162 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-1
บทที่ 162 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-1
“คนทั้งสองนี้ท่านเป็นคนสังหารหรือ”
ทังจงซงถาม
แม้อาคันตุกะชุดแดงทั้งสองคนจะนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ร่างเย็นเฉียบ
แต่เขายังคงไม่เชื่อว่าอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองจะถูกชายร่างกายสกปรกโสโครกที่อยู่ตรงหน้านี้สังหาร
จะอย่างไรทังจงซงก็เป็นถึงคุณชาย
เขามักคิดว่าผู้สูงส่งย่อมมีลักษณะของผู้สูงส่ง
ส่วนว่าลักษณะของผู้ส่งเป็นอย่างไรนั้น ตัวเขาเองก็ยากจะอธิบายออกมาให้ชัดเจนเช่นกัน
แต่เขารู้ว่า อย่างน้อยต้องไม่ใช่ลักษณะของผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นแน่
“ไม่ใช่ข้าสังหาร อย่างนั้นเป็นเจ้าสังหารรึ”
คนผู้นั้นกล่าวอย่างรำคาญยิ่งนัก
“แต่ข้าก็ไม่ได้อยากฆ่าคนจริงๆ…เป็นเพราะพวกมันทั้งสองไม่เอาไหน…”
คนผู้นั้นพึมพำเบาๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“หรือท่านจะบอกว่า ตอนที่พวกเขาทั้งสองใช้กระบี่ทองเข้าจู่โจม ท่านเพียงใช้มือเปล่าเข้ารับมือ?”
ทังจงซงถามต่อ
ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ความจริงมักซ่อนเร้นอยู่ในคำถามที่ถามขึ้นมาอีก
“ข้ามีอาวุธนะ!”
คนผู้นั้นชี้ไปที่พื้นข้างเตียง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นไม้กระบองสองท่อน
ปลายไม้กระบองเรียบอย่างยิ่ง จากลักษณะแล้วต้องถูกของมีคมตัดจนขาด
“ไม้กระบอง?”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวด้วยความสงสัย
“ข้าไม่มีกระบี่ แล้วก็ไม่มีดาบ มีเพียงกระบองหนึ่งท่อน ตอนนั้นเมื่อได้ยินเสียงดังจากข้างนอก ข้อจึงถือกระบองออกไปตรวจดู แต่ปรากฏว่ามันสองคนกลับไม่ให้แม้โอกาสพูดจา พากันพุ่งกระบี่เข้าหาข้า พอหวดกระบี่ครั้งหนึ่ง กระบองของข้าก็หักเสียแล้ว จึงได้แต่ใช้สองมือเปล่าเข้าต่อสู้ อย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้หวดกระบี่ครั้งที่สองมาตัดหัวข้าขาดกระมัง”
คนผู้นั้นกล่าว
พูดจบก็ยังมองกระบองของตนที่ถูกตัดขาดด้วยสายตาเสียดาย
หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ได้รู้สึกเคลือบแคลงคนผู้นี้แต่อย่างใด
เพราะเขารู้ว่ากระบองใช้ดีกว่ากระบี่มากนัก
เมื่อถือกระบองอยู่ในมือ ก็สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ
แต่กระบี่กลับไม่ได้
สิ่งที่ต้องแลกมากับการชักกระบี่และเก็บกระบี่เข้าฝักนั้นใหญ่หลวงยิ่งนัก
ชักกระบี่ออกมาต้องมีความแค้น เก็บกระบี่เข้าฝักต้องมีโลหิตและชีวิต
ไม่เหมือนกระบองที่อยากตีเมื่อใดก็ตีได้
“ผู้อาวุโส ขอถามว่าตลอดเวลามานี้ ท่านล้วนอยู่ที่นี่ ไม่เคยออกไปใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ก่อนนี้เรียกขานว่าท่าน
แม้จะสุภาพ แต่ก็ดูแข็งกระด้างห่างไกล
การเรียกขานว่าผู้อาวุโสในเวลานี้ กลับเป็นการวางตนในตำแหน่งที่ต่ำกว่า
นอกจากให้เคารพแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
“ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสของเจ้า อย่าเล่นลูกไม้ตีสนิทกับข้า!”
คนผู้นั้นหันหน้าไป หันหลังให้พวกของหลิวรุ่ยอิ่งทั้งสาม
จิ่วซานปั้นเห็นบั้นท้ายของเขาก็อยากหัวเราะเสียเหลือเกิน แต่ทังจงซงกลับดึงชายเสื้อเขา เขาจึงต้องกลั้นเอาไว้
“ข้าไม่เคยไปออกไปแลกสุราดื่ม เจ้าว่าข้าเคยออกไปจากที่แห่งนี้หรือไม่เล่า”
ผ่านไปเนินนาน
คนผู้นั้นจึงกล่าวออกมาช้าๆ
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินดังนั้นก็ถามต่อในทันที
“ผู้อาวุโส ทราบหรือไม่ว่าไม่กี่วันก่อนเหลี่ยงเฟินตายอยู่ที่ริมแม่น้ำไหลสี่ฤดู”
“เหลี่ยงเฟิน? เป็นผู้ใดกัน…ชื่อประหลาดนัก แค่ได้ยินก็เหมือนไม่ใช่คนดี”
คนผู้นั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหมดคำพูด
ทั้งที่คนผู้นั้นเรียกขานตนเองว่าเป็นคนเฝ้าแดนสุขสัญจร แต่เหตุใดแม้แต่เบญจลักขีที่เป็นองครักษ์ข้างกายของตี๋เหว่ยไท่ประมุขหอทรงปัญญาก็ยังไม่รู้จัก
หนนี้ทังจงซงกลับมีความอดทนมากว่าหลิวรุ่ยอิ่ง
เขาพรรณนาทั้งสถานะและรูปพรรณสัณฐานของเหลี่ยงเฟินให้คนผู้นั้นฟังโดยละเอียด
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการส่ายหน้า
“ในเมื่อเป็นองครักษ์ข้างกายของตี๋เหว่ยไท่ เจ้าก็ควรไปหาตี๋เหว่ยไท่สิ! มาเอะอะที่ข้าทำไม?!”
คนผู้นั้นกล่าวอย่างไม่พอใจยิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีแดนสุขสัญจรก็เป็นส่วนหนึ่งของหอทรงปัญญา และเจ้าก็เป็นคนเฝ้าดูแลที่แห่งนี้ ย่อมนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของหอทรงปัญญาเช่นกัน
ยามพูดจากปากเขา เหตุใดราวกับว่ามีภูเขาและทะเลกั้นระหว่างหอทรงปัญญากับตัวเขาห่างกันแสนแปดพันลี้
“ช้าก่อน เจ้าบอกว่าเหลี่ยงเฟินนั่นชอบเล่นหมากล้อมหรือ”
จู่ๆ คนผู้นั้นก็ลุกขึ้นจากพื้น คล้ายสนใจประเด็นนี้ยิ่งนัก
“ถูกต้อง มือเขาไม่ห่างจากหมากเลย”
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่ามีหนทางจึงรีบพูดเสริมไปประโยคหนึ่ง
“ว่ามาเช่นนี้ข้ากลับคุ้นเคยกับเขายิ่ง แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาชื่อเหลี่ยงเฟิน เขาตายแล้วรึ”
คนผู้นั้นถาม
ด้วยความจำเป็น หลิวรุ่ยอิ่งจึงต้องเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นตั้งแต่ต้นจนจบโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งบอกกล่าวถึงความสัมพันธ์ของเบญจลักขีกับตี๋เหว่ยไท่ ตลอดจนเรื่องที่เกิดขึ้นในหอทรงปัญญาตั้งแต่เขามาถึงไปโดยคร่าวๆ
“เหอะๆ…หมายความว่าเจ้ากับเหลี่ยงเฟินนั่นต่อยตีกันรึ”
คนผู้นั้นฟังจนจบอย่างออกรส จากนั้นจึงหันไปพูดกับจิ่วซานปั้น
“ใช่ แต่พวกเราสองคนแค่ประลองกัน ทั้งข้าและเขาต่างไม่ได้ลงมืออย่างเอาเป็นเอาตาย”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เรื่องนี้ข้าเชื่อ คนที่ดื่มสุราจิตใจล้วนบริสุทธิ์ เหลี่ยงเฟินนั่นก็เช่นกัน”
คนผู้นั้นกล่าวพลางพยักหน้า
“เหลี่ยงเฟินก็ดื่มสุราด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ถึง
“ดื่มสิ! หนำซ้ำยังมาดื่มกับข้าบ่อยครั้งด้วย”
คนผู้นั้นกล่าว
“ครั้งสุดท้ายที่เหลี่ยงเฟินมาคือเมื่อไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“ข้าจำไม่ได้แล้ว”
คนผู้นั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเริ่มหัวเสีย เขารู้สึกว่าคนผู้นี้จงใจปั่นหัวตน
“ข้าจำไม่ได้แล้วจริงๆ! ข้าอยู่แต่ในบ้านนี้ทั้งวัน ไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน ไหนเลยจะมีความรู้สึกเรื่องวันเวลา แต่ว่าตั้งแต่ครั้งสุดท้ายจนถึงตอนนี้ก็ไม่นานเท่าไร อาจเป็นวันที่พวกเจ้าสองคนต่อยตีกันเสร็จก็ไม่แน่”
คนผู้นั้นกล่าว
ถามไปถามมา เบาะแสก็ขาดหายอีกแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งกุมขมับ อยากไปจากที่นี่ แต่จู่ๆ คนผู้นั้นก็ร้องเรียกเอาไว้
“ช่วยข้าเรื่องหนึ่ง!”
คนผู้นั้นกล่าว
“ช่วยเรื่องใด”
หลิวรุ่ยอิ่งหันหน้ากลับมา
“ช่วยไปแลกสุรามาให้ข้าสักเล็กน้อย”
คนผู้นั้นกล่าวพลางเอาผ้าขาดๆ ห่อกระบี่ทองที่เขาเพิ่งหักเป็นชิ้นๆ ส่งให้หลิวรุ่ยอิ่ง
“จับตาเขาไว้! อย่าให้เขาเอาของย้อมแมวมาให้ข้า!”
คนผู้นั้นกำชับจิ่วซานปั้นไปอีกประโยคด้วยความไม่วางใจ
“ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับหอทรงปัญญากันแน่”
ทังจงซงถามอีกครั้งก่อนออกไป
“ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหอทรงปัญญา”
คนผู้นั้นคล้ายมีความแค้นใหญ่หลวงต่อหอทรงปัญญา
“ข้าแค่มีความเกี่ยวข้องกับตี๋เหว่ยไท่”
คนผู้นั้นกล่าวต่อ
“เกี่ยวข้องอะไรหรือ”
ทังจงซงถาม
“ศัตรูหัวใจ!”
คนผู้นั้นกล่าว
แต่เรื่องนี้กลับทำให้ทั้งสามคนขบขันนัก
ศัตรูหัวใจหรือ
สารรูปเช่นเขายังคู่ควรเป็นศัตรูหัวใจกับตี๋เหว่ยไท่ด้วยหรือ
พูดออกไปไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่เชื่อ
ทว่าเมื่อคำพูดนี้กล่าวออกไป กลับไปสะกิดความทรงจำของคนผู้นี้
เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องราวเหล่านี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน
ราวกับว่าอาทิตย์อัสดงที่แสนงดงามจะสงบลงในอีกไม่ช้าก็เร็ว
ยามอาทิตย์อัสดงในใต้หล้า โดยมากล้วนไม่ต่างกันมากนัก
ที่แตกต่างออกไปก็มีเพียงคนที่เดินอยู่ท่ามกลางอาทิตย์อัสดง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้เท่านั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าความใจร้อนวู่วามในแววตาของเขาก่อนหน้านี้หดหายไป กลับกลายเป็นความลึกล้ำและเจ็บปวด
……………………
สถานที่ซึ่งมองไม่เห็นด้วยดวงตา คล้ายมีเกือกม้ากำลังวิ่งควบไป
เสียงม้าร้องราวสายฟ้าแลบ
ทุกสายฟ้าแลบล้วนคมกริบดั่งยอดกระบี่ในใต้หล้า
เพียงแต่กระบี่นี้ไร้ฝัก และคงอยู่ในเวลาอันสั้นเหลือเกิน
เมื่อเปล่งประกายก็หายวับไปทันใด
มีแม่นางผู้มีท่วงท่าร่ายระบำงดงามผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงขอบฟ้า
แต่นางกลับไม่ได้ร่ายรำ ทว่ากำลังร้องเพลง
เสียงเพลงของนางทำให้ตะวันสายัณห์เคลิบเคลิ้ม และยามอาทิตย์อัสดงนี้ต้องอาลัยอาวรณ์
ด้วยไม่อยากจากไปเร็วอย่างที่เคย
เสียงเพลงนี้ไม่เพียงยั่วเย้าตะวันสายัณห์ ยังเย้ายวนความรู้สึกแปลกใหม่ของชายหนุ่มสองคนด้วย
ต่อให้อาทิตย์อัสดงจะอาวรณ์เพียงใด สุดท้ายก็ต้องเงียบงันไป
ยามลมราตรีพัดโชย คนทั้งสามส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ก็เกิดเป็นคำสองคำ
รักและใคร่
พร้อมกับลมราตรีที่พัดมายังขอบฟ้าไม่หยุดหย่อน
ที่แท้ขอบฟ้านี้มีทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง
แต่ทะเลสาบเล็กๆ แห่งนี้ช่างประหลาดนัก
ไม่ว่าลมราตรีจะโหมแรงเพียงใด มันกลับไม่เคยมีรอยย่นของคลื่น
เบื้องบนของทะเลสาบมีผืนฟ้าเปี่ยมดวงดาวที่แยกตัวสันโดษผืนหนึ่ง
เบื้องล่างของผืนฟ้าเปี่ยมดวงดาวมีเรือหาปลาโดดเดี่ยวลำหนึ่ง
บนเรือหาปลานี้มีชาวประมงที่มองอายุไม่ออกยืนอยู่ผู้หนึ่ง
แต่เขาไม่ได้กำลังจับปลา
บนเรือก็ไม่ได้มีเครื่องมือจับปลาใดๆ อยู่
และเขาไม่ได้จะข้ามฟาก
เพราะเรือลำนี้เล็กมาก พอให้ชาวประมงยืนอยู่ได้เพียงผู้เดียว
ชายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ริมทะเลสาบ ณ ขอบฟ้าอยู่เช่นนี้
ฟังหญิงสาวที่อยู่ตรงขอบฟ้าร้องเพลง
ความจริงแล้วพวกเขาทั้งสองล้วนหวังอยู่ในใจให้หญิงสาวผู้นี้ร่ายระบำ
ร่ายระบำรับลมราตรีใต้ผืนฟ้าเปี่ยมดวงดาว ณ ขอบฟ้าแห่งนี้
แต่จวบจนหญิงสาวผู้นี้เดินมาจากขอบฟ้า นางไม่ได้ร่ายระบำสักครั้ง
ชายหนุ่มทั้งสองอดผิดหวังไม่ได้
แต่เมื่อมองหญิงสาวค่อยๆ เดินมาจากขอบฟ้าทีละก้าว ช่างเหมือนเทพธิดาที่กำลังลงมาสู่แดนมนุษย์
ชายหนุ่มผู้หนึ่งดูมีความกล้ามากกว่า อยากเดินเข้าไปสนทนากับนาง
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด
ด้วยเหตุนี้ แม้จะก้าวเท้าออกไป แต่ก็ยืนนิ่งอยู่กับที่
“อยากกล่าวสิ่งใด”
กลับเป็นหญิงสาวที่เพิ่งเดินมาจากขอบฟ้าและยังไม่ทันหยุดยืนเอ่ยปากก่อน
“ข้า…”
ชายหนุ่มพูดไม่ออก
“เพียงอยากสนทนากับเจ้า”
แม้จะดูแข็งทื่อ แต่ในที่สุดชายหนุ่มก็เค้นคำพูดออกมาได้จนจบหนึ่งประโยค
“ได้สิ สนทนาสิ่งใดหรือ”
หญิงสาวเป็นคนร่าเริง
ในหัวใจของชายหนุ่ม นางมีทั้งความพิเศษเช่นเทพธิดาและมีทั้งความบริสุทธิ์ดั่งหญิงสาวข้างบ้าน
“ข้าไม่รู้”
ชายหนุ่มกล่าว
“สนทนาเรื่องฟ้าก็ได้ เรื่องดินก็ได้ เรื่องขอบฟ้าก็ได้ ลมราตรีก็ได้ แต่หากไม่ได้จริงๆ พวกเรายังสามารถสนทนาเรื่องทะเลสาบนั่น เรือลำนั้น ชาวประมงผู้นั้น หรือไม่ก็…เรื่องตัวเจ้าเอง”
หญิงสาวกล่าว
ชายหนุ่มดีใจอย่างยิ่ง
เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าเพียงเพิ่งเอ่ยปาก หญิงสาวก็สนทนากับเขามากมายเพียงนี้
แต่ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งกลับไม่ค่อยพอใจ
เขาขุ่นเคืองตนเองอยู่ในใจว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้จึงไม่กล้ากว่านี้อีกสักนิด
ไม่เช่นนั้นคำพูดมากมายของหญิงสาวก็จะสนทนากับตนไม่ใช่หรือ
ยามรักผลิบาน
ต่อให้อีกฝ่ายสนทนาเรื่องไม่เป็นเรื่องกับตน ก็ยังรู้สึกพึงพอใจมากนัก
ยิ่งพูดมากเท่าใด ยิ่งพึงพอใจมากเท่านั้น
………………………………………