ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 157 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-8
บทที่ 157 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-8
พริบตานนั้นหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าบางทีตนควรไปกราบไหว้เทพเซียนเสียหน่อย แต่เมื่อทบทวนอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าระยะนี้ตนก็ไม่ได้ทำเรื่องระคายฟ้าผิดคุณธรรมอะไร
แต่เมื่อความคิดงมงายเช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้ว กลับไม่อาจลบออกไปโดยง่าย
เขาหยิบผลอิงเถาลูกสุดท้ายบนจานใส่ปาก
ผลอิงเถาสีแดงสดเหมือนโลหิตอย่างยิ่ง ทั้งยังเหมือนชุดคลุมสีแดงอย่างมากอีกด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งกินผลอิงเถาไม่ใช่เพราะเขาอยากกิน
แต่เพียงเพราะความคิดงมงายรบกวนจิตใจ ทำให้เขารู้สึกว่าหลายวันนี้ตนอย่าได้ไปฆ่าสัตว์หรือกินเนื้ออีกเลยจะดีกว่า
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกินผลอิงเถาไปลูกหนึ่ง
ทว่าพอผลอิงเถาเข้าปาก หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกว่าตนช่างน่าขันนัก
ผู้คนที่ตายด้วยมือเขาก็มีไม่น้อย ไม่ใช่แค่คนที่ต้องตายภายใต้กระบี่ของเขาเมื่อต้องป้องกันตัว ยังมีคนทั้งเรือนของแม่ทัพหยวนที่ถูกตัดหัวทั้งตระกูลจากข้อหาที่เขาเป็นคนใส่ความไม่ใช่หรือ
สิ่งนี้ไหนเลยจะชดเชยได้ด้วยผลอิงเถาเพียงลูกเดียว
เกรงว่าทั้งชีวิตที่เหลือนี้ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางใบผัก
เมื่อมีกฎเกณฑ์ที่ฉางอี้ซานเอ่ยไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นคราวนี้หลิวรุ่ยอิ่งจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
แต่ฉางอี้ซานกลับลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าประตูร้านน้ำชาแล้วปิดประตู
แม้จะมีคนตาย แต่ภายในร้านน้ำชานี้กลับเงียบจนประหลาด
ทุกคนยังคงดื่มชาของตนอยู่เงียบๆ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่ฉางอี้ซานจึงปล่อยอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองคนไป แต่เวลานี้กลับให้ความสำคัญกับความเป็นตายของคนทั่วไปผู้หนึ่งถึงเพียงนี้
“ไปเรียกองครักษ์หอทรงปัญญามา”
ฉางอี้ซานบอกเสี่ยวเอ้อร์ร้านน้ำชา
เขามีศรสัญญาณเพียงหนึ่งดอก
ซึ่งยิงไปแล้วเมื่อครู่นี้
“ท่านอาจารย์อาขอรับ คนผู้นี้…”
หลิวรุ่ยอิ่งอยากเอ่ยแต่ยั้งเอาไว้
ทว่าเขาสัมผัสได้รางๆ ว่าสายตาที่ทำให้แก้มเขาร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อครู่มาจากดวงตาของคนผู้นี้นั่นเอง
แต่เวลานี้หัวของเขานาบอยู่บนโต๊ะจึงมองไม่เห็นแล้ว
ไม่เช่นนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็อยากจะดูว่าดวงตานั้นเป็นอย่างไรกันแน่
“คนผู้นี้ข้าไม่รู้จัก”
ฉางอี้ซานกล่าว
“หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเขาไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักเขา”
ฉางอี้ซานหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ
คำว่ารู้จักนี้เดิมทีก็ต้องใช้กับทั้งสองฝ่าย
ก็เหมือนกับทั้งใต้หล้าคนที่รู้จักตี๋เหว่ยไท่และฉางอี้ซานนั้นมีมากมาย แต่คนที่ตี๋เหว่ยไท่และฉางอี้ซานรู้จักกลับมีน้อยนัก
ทว่าฉางอี้ซานถึงกับพูดว่าเขารู้จักคนผู้นี้ เห็นทีเขาก็คงเป็นผู้มีชื่อเสียงมากเช่นกัน
“เจ้าเองก็คงเคยได้ยินชื่อของหอเด็ดดารา”
ฉางอี้ซานกล่าว
นามนี้หลิวรุ่ยอิ่งคุ้นเคยอย่างยิ่ง
หอเด็ดดาราเป็นพรรคโจรที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
ว่ากันว่าหากในทะเลตงไห่มีวังมังกรอยู่จริง พวกเขาก็สามารถขโมยไข่มุกมังกรที่ราชามังกรอมไว้ในปากออกมาได้
ทว่า หอเด็ดดาราล้วนขโมยอย่างมีหลักการมาโดยตลอด เพียงขโมยไม่ปล้นชิง และไม่ทำลายชีวิตคน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใดที่ถูกพบตัวก็จะหยุดมือทันที ต่อให้เป็นเงินทองทรัพย์สมบัติอีกมากมายเท่าใดก็ห้ามอาลัยอาวรณ์
เรียกได้ว่าเป็นการ ‘ขโมย’ ที่บริสุทธิ์ที่สุด
“เขาเป็นคนของหอเด็ดดาราหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ใช่และไม่ใช่”
ฉางอี้ซานกล่าว
“ทำไมหรือ”
ทังจงซงไม่คุ้นชินกับการพูดจาอ้อมค้อมเช่นนี้ของฉางอี้ซาน
ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ชอบให้ชัดเจน กระจ่างแจ้ง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกว่าการที่ฉางอี้ซานเป็นเช่นนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
หากไม่ว่าเรื่องใดล้วนเปิดเผยจนละเอียด ก็เหมือนหน้าต่างที่ไม่แปะกระดาษ แค่มองปราดเดียวก็เห็นทะลุปรุโปร่ง
ไม่ว่าเรื่องใด อ้อมค้อมเข้าไว้จึงจะดึงดูดคนได้มากที่สุด
“เพราะหอเด็ดดาราเป็นของเขา ข้าจึงยากจะจำกัดความได้ว่าเขานับเป็นคนของหอเด็ดดาราหรือไม่”
ฉางอี้ซานกล่าว
“หอเด็ดดาราเป็นของเขา?!”
หลิวรุ่ยอิ่งได้ฟังพลันตกตะลึง!
“หรือว่าเขาก็คือประมุขหอเด็ดดารา ซ่างกวานไจซิง”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ซ่างกวานไจซิงได้รับขนานนามจากผู้คนในยุทธภพว่าเป็นโจรนักบุญ
แม้ว่าขั้นฝึกตนของเขาที่อยู่ในระดับบรมภูมิจะไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ท่าร่างของเขากลับถูกเรียกขานว่าเป็นสุดยอดในใต้หล้า
โดยเฉพาะวิชายุทธ ‘หัตถ์สุญตา’ ที่เขาคิดค้นขึ้นมา ล้วนทำให้เหล่าสำนักที่มั่งคั่งนับไม่ถ้วนต้องปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง
ครั้งหลิวรุ่ยอิ่งอยู่ในกรมสอบสวนกลางเคยได้ยินว่าโจรนักบุญซ่างกวานไจซิงผู้นี้เคยพนันกับคนผู้หนึ่งว่าเขาสามารถเข้าไปภายในวังของฉิงจงอ๋องที่อยู่ในเมืองหลวงได้
คนผู้นั้นไม่เชื่อ โจรนักบุญเกิดบันดาลโทสะจึงลอบเข้าไปจริงๆ
แต่เขากลับเก็บเพียงใบของ ‘เอ้าเสวี่ยโหว’ ที่อยู่ในสวนดอกไม้หลังวังหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องไปเป็นหลักฐานเท่านั้น ส่วนทรัพย์สมบัติและสารลับนอกเหนือจากนั้นกลับไม่ได้ไปรุกล้ำแต่อย่างใด
เช่นนี้จึงเห็นได้ว่าซ่างกวานไจซิงก็เป็นผู้ที่เคารพกฎเกณฑ์ผู้หนึ่ง
เรื่องใดควรทำ เรื่องใดไม่ควรทำ เรื่องใดควรทำแต่ทำไม่ได้ เรื่องใดทำได้แต่ไม่ควรทำ เขาแยกแยะอย่างชัดเจนยิ่ง
ภายหลังเมื่อหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องได้ยินเรื่องนี้ก็เพียงหัวเราะเบาๆ ไม่ได้สืบสาวราวเรื่องต่อ
แต่สำหรับค่าชดเชยให้ ‘เอ้าเสวี่ยโหว’ นั้น หลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องถึงกับสั่งการให้คนไปลากมูลแกะมาสองคันรถเพื่อเป็นปุ๋ยบำรุงให้มัน
ว่ากันตามหลักแล้ว ความระแวดระวังตัวของซ่างกวานไจซิงในหล้านี้หาตัวจับยาก
เหตุใดจึงมาถูกคนสังหารด้วยกระบี่เดียวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งที่อยู่ติดกับหน้าต่างเดิมทีก็เป็นข้อห้ามใหญ่หลวงอยู่แล้ว
แม้จะสามารถจับตาทุกการเคลื่อนไหวได้ทั่วทั้งภายในร้านน้ำชาและถนนข้างนอก แต่ก็สะดวกให้ผู้ลอบสังหารมาสังหารเจ้าได้เช่นกัน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าเท้าของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย
เขาคงจะสัมผัสได้ถึงอันตรายอยู่เช่นกัน
แต่กระบี่ของอีกฝ่ายกลับว่องไวกว่าท่าร่างของเขา
ในขณะที่เขายังไม่ทันตั้งกระบวนท่าก็ถูกกระบี่กรีดเข้าที่ลำคอแล้ว
“แม้ว่าการขโมยไม่ใช่เรื่องดี แต่ซ่างกวานไจซิงก็นัไม่ได้เป็นคนเลวขนานแท้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ในใจเขารู้สึกเสียดายกับการตายของซ่างกวานไจซิง
นับแต่นี้ไปในใต้หล้าก็มีผู้เป็นตำนานน้อยลงผู้หนึ่ง และทำให้รู้สึกเอือมระอาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง
ส่วนที่ว่าครั้งมีชีวิตและหลังจากตายไปจะมีนามว่าอย่างไรนั้น คิดว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าในอกเสื้อของซ่างกวานไจซิงมีมุมกระดาษสีขาวโผล่ออกมา
จึงเอื้อมมือไปหยิบออกมาดู กลับเป็นบทกวีไว้อาลัยที่ตี๋เหว่ยไท่เขียนอีกหนึ่งแผ่น
ดูเหมือนว่าจะคัดลอกจากฉบับจริงที่อยู่กับตนอีกเช่นกัน
หลิวรุ่ยอิ่งพลันรู้สึกขึ้นมาว่าบทกวีไว้อาลัยในมือตนฉบับนี้ช่างไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย ราวกับมีพลังมารแห่งความตายแผ่กระจายอกมา
นับตั้งแต่บทกวียาวนี้ตกอยู่ในมือเขาก็มีคนที่ต้องตายเพราะมันไปแล้วสามคน
ช่างใส่กรอบกับบ่าวเฝ้าประตูของเขา และยามนี้ก็มีซ่างกวานไจซิงผู้นี้เพิ่มมาอีก
“เป็นเรื่องงามหน้าที่อาคันตุกะชุดแดงทำอีกเช่นกันหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เพราะก่อนที่ซ่างกวานไจซิงจะล้มลงไป เขาเห็นแสงสีทองสายหนึ่งที่หางตาอย่างชัดเจน
และอาวุธของอาคันตุกะชุดแดงก็คือกระบี่ทองคำ
บวกกับวิธีการลงมือของพวกเขาที่พิลึกพิลั่น นี่จึงเป็นการคาดเดาที่สมเหตุสมผลที่สุด
“แม้จะเป็นอาคันตุกะชุดแดงก็ไม่ใช่สองคนเมื่อครู่นี้”
ฉางอี้ซานไตร่ตรองพักหนึ่งแล้วเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขายังคิดหาประเด็นสำคัญที่อยู่ในเรื่องนี้ไม่ออก
ทว่าแสงสีทองนั้นฉายวาบและดับไป และแต่ไรมาท่าร่างของผู้ที่ใช้กระบี่ก็รวดเร็วเป็นที่สุด
แต่ในใต้หล้านี้หากพิจารณาจากท่าร่างประการเดียว ผู้ที่จะรวดเร็วยิ่งกว่าซ่างกวานไจซิงจะมีสักกี่คน
ก่อนนี้เคยมีคนที่อยากมีชื่อเสียง จึงป่าวประกาศไปทั่วว่าตนสามารถขโมยของบนตัวซ่างกวานไจซิงได้
เพื่อการนี้ เขาจึงไม่ยี่หระว่าต้องใช้เวลานับหลายปีสะกดรอยตามและวางแผน แต่สุดท้ายแม้แต่ลมที่ผายออกมาของซ่างกวานไจซิงก็ยังไม่ได้ดมด้วยซ้ำ
เมื่อครู่ พวกของหลิวรุ่ยอิ่งเข้าสู่ภาพลวงตาทำให้ไม่ได้ประมือกับอาคันตุกะชุดแดงทั้งสอง จึงไม่รู้ฝีมือของพวกเขา
แต่เมื่อได้ยินฉางอี้ซานว่ามาดังนี้ คาดว่าความสามารถของอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองคงยังไม่อาจสังหารซ่างกวานไจซิงได้
หนำซ้ำ เมื่อครู่ก็มีเพียงแสงสีทอง แต่ไม่มีสีแดงสด
อาคันตุกะชุดแดงจะต้องสวมชุดคลุมสีแดง
หลังจากแสงสีทองก็ควรเป็นสีแดงสดจึงจะถูก
หลิวรุ่ยอิ่งมองไปยังรอยแผลที่ลำคอของซ่างกวานไจซิง พบว่าคอเสื้อตัวในของเขาเป็นสีแดงสด
ตอนที่เห็นก่อนหน้านี้เขานึกว่าเป็นเพราะมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ แต่เมื่อมองให้ละเอียดในเวลานี้จึงพบว่าไม่ใช่
ภายใต้เสื้อชั้นนอกของซ่างกวานไจซิงกลับสวมชุดคลุมสีแดงทั้งตัวเอาไว้!
ที่แท้เขาก็เป็นอาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่ง และสังกัดพรรคอาภรณ์แดงฉานเช่นกัน!
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งยิ่งตื่นตกใจกว่าเดิม…
นึกไม่ถึงว่าพรรคอาภรณ์แดงฉานจะยื่นไม้ยื่นมือเข้ามาได้ยาวและไกลเพียงนี้
เขาจดบันทึกทุกอย่างไว้ทันที เตรียมจะนำข่าวสารนี้ส่งกลับไปยังกรมสอบสวนกลาง
“เรื่องนี้กลับพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้ถูกอาคันตุกะชุดแดงสังหาร”
ทังจงซงกล่าว
“ก็ไม่แน่..แม้ว่าตัวเขาเองก็เป็นอาคันตุกะชุดแดง แต่พรรคที่ใหญ่โตเพียงนี้หากต้องการให้ใครสักคนหุบปาก วิธีที่ดีที่สุดก็คือสังหาร ถึงอย่างไรปากของคนตายก็ปิดสนิทที่สุด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แต่ตัวเขาเองก็คิดหาสาเหตุการสังหารที่สมเหตุสมผลไม่ได้สักข้อ
หรือจะเป็นเพราะบทกวีไว้อาลัยที่ตี๋เหว่ยไท่เขียนแผ่นนั้นจริงๆ
แม้อักษรหมึกของตี๋เหว่ยไท่จะล้ำค่ายิ่งนัก แต่ก็ยังสามารถใช้เงินหาซื้อได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตี๋เหว่ยไท่ก็หาได้มีนิสัยปลีกวิเวกอยู่ห่างจากผู้คนเป็นพันลี้ หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินมาว่าเขามักเขียนอักษรมอบให้ผู้คนอยู่บ่อยครั้ง
ฉะนั้น ต่อให้ล้ำค่าก็ล้ำค่าจริงดังว่า แต่ไม่ล้ำค่าถึงขั้นมีราคาเท่าชีวิตคนสามคน
ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็นึกถึง ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ของตน
หากไปสังหารหรือปล้นชิงเพื่อให้ได้วิชายุทธชนิดนี้มายังพอว่าได้
ในขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งคิดหน้าคิดหลังอยู่นั้น ประตูร้านน้ำชาก็ถูกผลักออก
เขาเห็นลู่หมิงหมิงพาองครักษ์หอทรงปัญญากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
ในมือของลู่หมิงหมิงยังอุ้ม ‘อาหวง’ ของฉางอี้ซานมาด้วย
อาหวงยกหัวขึ้นอย่างเซื่องซึม เหมือนไม่ได้ลืมตาด้วยซ้ำ
แต่ด้วยการเคลื่อนไหวของหัวกลับสัมผัสได้ว่ามันกำลังสังเกตทุกคนที่อยู่ที่นี่
ทว่าดูเหมือนวันนี้อาหวงจะไม่ได้สนอกสนใจนัก
จึงไม่ได้กลอกตามองบนให้เห็น
หลิวรุ่ยอิ่งเฝ้ารอสุดหัวใจอยากเห็นท่าทีของอาหวงที่มีต่อทังจงซง แต่นึกไม่ถึงว่ากลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
………………………………………