ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 155 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-6
บทที่ 155 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-6
เขาใช้มือปาดน้ำตาตรงหางตาที่กำลังจะร่วงลงมาเบาๆ
“หากท่านสามัญธรรมดา พวกเราก็ราบเรี่ยดิน หากท่านสง่าล้ำเลิศ พวกเราก็ล้ำค่าสูงส่ง หากท่านจอมปลอม พวกเราก็ไม่อาจประเสริฐดีเลิศเช่นกัน”
อาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่งกล่าว
“ดูเหมือนข้าจะเป็นผู้สง่าล้ำเลิศผู้หนึ่ง”
ฉางอี้ซานพยักหน้าอย่างพอใจ
“ท่านย่อมเป็นอยู่แล้ว”
อาคันตุกะชุดแดงกล่าว
“ดังนั้นพวกเจ้าไม่ได้มาสังหารข้า”
ฉางอี้ซานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ตัวท่านไม่เพียงล้ำเลิศ ซ้ำยังเฉลียวฉลาดยิ่ง!”
อาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่งกล่าว
“เช่นนั้นพวกเจ้าต้องการสิ่งใดจากข้า”
ฉางอี้ซานถาม
“ท่าน”
อาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่งเอ่ย
“ข้า?”
ฉางอี้ซานฉงน
เดิมทีเขานึกว่าคนทั้งสองต้องการบางสิ่งจากตน
ถึงอย่างไรในหัวเขาก็มีความลับเกี่ยวกับหอทรงปัญญาไม่น้อยทีเดียว สถานที่ในหอทรงปัญญาที่เขาเข้าไปไม่ได้นั้นแทบจะไม่มีเลย
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าอาคันตุกะชุดแดงกลุ่มนี้กลับอยากได้ตัวเขา
“ข้าเป็นคนเป็นๆ ผู้หนึ่ง แล้วจะเอาตัวข้าไปได้อย่างไร หรือบุรุษเช่นพวกเจ้าจะแต่งงานกับข้า”
ฉางอี้ซานยิ้มพลางเอ่ย
“พวกเราย่อมไม่แต่งกับท่าน แต่หากท่านต้องการแต่งกับสตรีใด พวกเราอาคันตุกะชุดแดงย่อมต้องช่วยท่านหาหนทางเป็นแน่ แต่ก่อนอื่นท่านจะต้องเป็นหนึ่งในพวกเราก่อน”
อาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่งกล่าว
มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นออกมาจากชุดคลุมสีแดง บนมือข้างนั้นมีชุดคลุมสีแดงที่พับเรียบร้อยชุดหนึ่ง เอ่ยพลางมองฉางอี้ซาน
ฉางอี้ซานรู้สึกว่าอาคันตุกะชุดแดงสองคนนี้ไม่ใช่คนแต่อย่างใด
หรือเรียกได้ว่าไม่ใช่คนปกติ
เห็นชัดอยู่ว่าตนกำลังเย้ยหยันพวกเขาทั้งสอง แต่สองคนนี้นอกจากไม่บันดาลโทสะและไม่โมโหจนยิ้มออกมา แต่กลับบอกตนด้วยท่าทีขึงขังว่า ‘หากต้องการแต่งกับสตรีใดล้วนได้ทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังจะช่วยอีกด้วย’
“หากข้าเข้าร่วมแล้วจะมีผลดีอะไร”
ฉางอี้ซานถาม
“ไม่มีผลเสียใด”
อาคันตุกะชุดแดงกล่าว
“เช่นนั้นหากข้าไม่เข้าร่วมจะมีผลเสียใด”
ฉางอี้ซานถามอีก
“ผลเสียก็คือกระบี่ทองนี้จะแทงเข้าไปในลำคอของท่าน ตัดเส้นเสียงท่าน จากนั้นก็ตัดเส้นลมปราณที่กระดูกสันหลังของท่าน”
อาคันตุกะชุดแดงกล่าว
“ดังนั้นพวกเจ้าสังหารสองคนนั้น”
ฉางอี้ซานเอ่ย
“ใช่”
อาคันตุกะชุดแดงตอบ
“พวกเจ้าสังหารเขา ข้ายังพอเข้าใจได้ แม้เขาจะเป็นเพียงช่างใส่กรอบภาพผู้หนึ่ง แต่ระดับการฝึกตนด้านบุ๋นของเขาก็อยู่ในระดับบรมภูมิ เมื่อเขาตายแล้ว นอกจากฝีมือของพวกเจ้าจะเป็นที่ประจักษ์แล้ว ยังสร้างความสะเทือนใจให้ข้าได้ไม่น้อย แต่เหตุใดพวกเจ้าต้องสังหารบ่าวเฝ้าประตูที่ไม่รู้หนังสือผู้นั้นด้วย”
ฉางอี้ซานถาม
“เพราะเขาไร้มารยาท ซ้ำยังบุ่มบ่ามเหลือทน พวกเราชอบคนลุ่มลึกสูงส่ง ไม่รีบร้อนเช่นท่าน”
อาคันตุกะชุดแดงกล่าว
ฉางอี้ซานพยักหน้า
เขาเป็นเช่นนั้นจริงดังว่า
อาคันตุกะชุดแดงทั้งสองก็เป็นดังนี้เช่นกัน
หากเขาก็ไร้มารยาทซ้ำยังบุ่มบ่ามยิ่งนัก เขาต้องลงมือทันทีที่อาคันตุกะชุดแดงเผยชุดคลุมสีแดง
หากอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองล้วนบุ่มบ่าม คิดว่าคงร่วมมือกันเข้าจู่โจมนานแล้ว ใช้กระบี่ทองในมือบังคับให้เขาจำต้องยอมทำตาม
“ชุดคลุมสีแดงของพวกเจ้าเป็นของดี ทั้งเนื้อผ้าและสีสันล้วนดีทั้งสิ้น แต่มีจุดหนึ่งที่ไม่ดี”
ฉางอี้ซาน กล่าว
“จุดไหนที่ไม่ดี”
อาคันตุกะชุดแดงถามเป็นเสียงเดียวกัน
“น่าเบื่อเกินไป…แม้สีจะสด แต่ก็น่าเบื่อเกินไป”
ฉางอี้ซานกล่าว
อาคันตุกะชุดแดงทั้งสองคนนี้ให้ความสำคัญกับชุดคลุมสีแดงบนกายตนเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินฉางอี้ซานกล่าวเช่นนี้ก็ต่างมีสีหน้าไม่พอใจ
ฉางอี้ซานชักมือที่ควบคุมแท่นฝนหมึกกลับเข้ามาเบาๆ
ระหว่างนั้น แท่นฝนหมึกที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เริ่มหมุนวน
แท่นฝนหมึกมีน้ำหมึกบางๆ อยู่ชั้นหนึ่ง แต่ไม่ว่าแท่นฝนหมึกจะหมุนอย่างไรก็ไม่มีน้ำหมึกกระเด็นออกมาสักหยด
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
อาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่งยกกระบี่ทองในมือขึ้นสูงเป็นท่าเตรียมพร้อม เพราะเขานึกว่าฉางอี้ซานจะลงมือ
“ไม่มีอะไร เพียงอยากให้ชุดคลุมสีแดงของเจ้ามีความหลากหลายขึ้นบ้าง”
ฉางอี้ซานเอ่ยพลางเอื้อมมือออกไปและสะบัดเบาๆ
ชุดคลุมสีแดงตัวนั้นถูกพัดให้ปลิวขึ้น ก่อนแผ่ออกกลางอากาศ
“เมื่อรับชุดคลุมสีแดงไปแล้ว ก็เท่ากับเป็นคนของอาภรณ์แดงฉาน!”
อาคันตุกะชุดแดงกล่าว
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังไม่ทันสัมผัสชุดคลุมสีแดงของพวกเจ้าเลย”
ฉางอี้ซานเอ่ย
เขาใช้มือข้างหนึ่งดึงชุดคลุมสีแดงนั้นเข้ามา ใช้พลังปราณควบคุมอยู่กลางอากาศให้มันพับจนเรียบ เรียบแล้วยังพับซ้ำอีกครั้ง
“เนื้อผ้าดียิ่งจริงๆ!”
ฉางอี้ซานพึมพำกับตนเอง
มืออีกข้างชี้ออกไปสองนิ้ว ท่าทางเช่นนี้คล้ายยื่นนิ้วเข้าไปในแท่นฝนหมึกเพื่อแตะน้ำหมึก
แต่นิ้วมือของเขากลับหยุดอยู่ที่ขอบแท่นฝนหมึก
ฉางอี้ซานใคร่ครวญ ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดการใด
ทันใดนั้นสองนิ้วของเขาประคองแท่นฝนหมึก แล้วผลักเข้าไปยังชุดคลุมสีแดงที่อยู่กลางอากาศ
แท่นฝนหมึกยังคงหมุนคว้างอยู่ไม่เร็วไม่ช้า ความเร็วที่ลอยเข้าไปหาชุดคลุมสีแดงนั้นก็ไม่เร็วไม่ช้าเช่นกัน
อาคันตุกะชุดแดงผู้หนึ่งที่อยู่ข้างหลังชุดคลุมสีแดงถือกระบี่ขวางตรงหน้าอก เป็นท่าเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรู
ฉางอี้ซานเห็นท่าทีเช่นนั้นของเขาก็ต้องชื่นชมอยู่ในใจ
แม้ว่าการวางกระบี่ขวางหน้าอกนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนทำได้
แต่การจัดวางกระบี่หน้าทรวงอกไม่ว่าจะสูงขึ้นหนึ่งชุ่นหรือต่ำลงหนึ่งชุ่นนั้นล้วนเป็นไปอย่างพิถีพิถัน
นอกจากนี้ กระบี่ที่วางขวางอยู่ก็ไม่ได้ ‘วางขวาง’ เสียทีเดียว
แม้กระบี่ของอาคันตุกะชุดแดงจะอยู่ในแนวขวางตรงหน้าทรวงอกแต่กลับเอียงอยู่เล็กน้อย
ปลายกระบี่ทองเอียงขึ้น และฝั่งท้ายกระบี่เอียงลง
ไม่ว่าแท่นฝนหมึกของตนจะเอียงเข้าหาเขาข้างใด อาคันตุกะชุดแดงกลับสามารถเบี่ยงกระบี่ออกต้านรับได้อย่างแม่นยำ
ลำพังแค่ตั้งท่าเช่นนี้ ฉางอี้ซานก็รู้สึกว่าเขาสมกับเป็นผู้ที่สามารถสังหารสหายช่างใส่กรอบภาพของตนได้
ที่น่าเสียดายก็คือเขาคิดผิดแล้ว
แท่นฝนหมึกของฉางอี้ซานไม่ได้จะเข้าจู่โจมเขา แต่ชนเข้ากับชุดคลุมสีแดงที่อยู่กลางอากาศนั้นเต็มแรง
“ท่าน?!”
คนทั้งสองเห็นฉางอี้ซานใช้น้ำหมึกแต้มบนชุดคลุมสีแดงที่มีความศักดิ์สิทธิ์สำหรับพวกเขาก็พากันตื่นตกใจอย่างยิ่ง
อาคันตุกะชุดแดงที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งของฉางอี้ซานไม่อาจทนความเดือดดาลในใจได้อีกต่อไป พลันหวดกระบี่พุ่งเข้าจู่โจม
แสงสีทองสายหนึ่งฉายวาบขึ้น
ถึงกับทำให้ต้นไม้ใบหญ้า ก้อนอิฐกระเบื้องหลังคาทั่วทั้งลานบ้านฉาบด้วยสีทองชั้นหนึ่ง
“เมื่อครู่ยังบอกว่าตนไม่ชอบคนบุ่มบ่าม เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าบุ่มบ่ามยิ่งนักหรอกหรือ”
ฉางอี้ซานกล่าว
เห็นเพียงแตงกวาดองลูกหนึ่งปรากฏขึ้นบนมือเขาอย่างประหลาด
ซึ่งก็คือแตงกวาดองที่ปกติเขาเอาไว้ให้อาหวงกินนั่นเอง
อาคันตุกะชุดแดงเห็นว่าเขาถือแตงกวาดอกลูกหนึ่งไว้ในมือก็รู้สึกงุนงงยิ่งนัก
เขาไม่รู้ว่าฉางอี้ซานจะทำสิ่งใดกันแน่
ตนเองถือกระบี่ทอง แต่เขากลับถือแตงกวาดองลูกหนึ่ง
กระบี่กับแตงกวา
จะเทียบกันได้อย่างไร
ทว่าเมื่ออาคันตุกะชุดแดงชักกระบี่ออกมาแล้ว จะไม่อาจถอนกระบวนท่ากลับ ทำได้เพียงรวบรวบกำลังเต็มที่ ไม่ไยดีว่าสองมือกำลังถือกระบี่อยู่
นี่ไม่ใช่เพลงกระบี่
แต่เป็นกระบวนท่าฟันของเพลงดาบ
ฉางอี้ซานเห็นว่ากระบี่ทองของทั้งคู่เรียวมาก แต่กลับหนายิ่ง
มันจึงทานรับกระบวนท่าฟันที่มีพละกำลังมากเช่นนี้ได้
แต่เมื่อเขาเห็นว่าฉางอี้ซานใช้แท่นฝนหมึกประทับลงบนชุดคลุมสีแดง มือเขากลับหยุดชะงัก
ถึงขั้นไม่ไยดีว่าเส้นสมปราณของตนจะเสียหาย แต่จะต้องยั้งพลังบนกระบี่เอาไว้ให้ได้
พลังที่ปะทุจนถึงจุดสูงสุด จู่ๆ ก็ถูกเก็บเข้าไปภายในกาย เส้นลมปราณแต่ละชุ่นย่อมขาดทั้งสองแขน
อาคันตุกะชุดแดงรู้สึกแน่นหน้าอก วิงเวียนศีรษะ ได้แต่กัดฟันต้านรับอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น
แต่ก็ยังกระอักเลือดสดออกมาอึกหนึ่ง และพ่นไปบนชุดคลุมสีแดงของตน
สีของเลือดสดกับสีของชุดคลุมสีแดงแทบแยกกันไม่ออก
หากไม่มองให้ถี่ถ้วนก็ไม่อาจแยกแยะได้
ฉางอี้ซานยื่นแตงกวาดองในมือให้เขาแล้วกล่าวว่า
“กลิ่นคาวเลือดยากทานรับ กินสักคำสองคำกลบกลิ่นนั้นเถิด”
อาคันตุกะชุดแดงรับแตงกวาดองมา กัดไปคำนึงโดยไม่ลังเล ทั้งยังเคี้ยวเสียงดังยิ่งนัก
แม้วิธีการกินจะไม่งามตา แต่ก็ดูองอาจเป็นที่สุด จะว่าไปก็เหมือนกับวีรบุรุษ
“อร่อยหรือไม่”
ฉางอี้ซานถาม
อาคันตุกะชุดแดงยังคงเคี้ยวกรุบๆ ไม่ได้ตอบ เพียงพยักหน้า
“แม้จะเปรี้ยวเอาการ แต่อย่างไรก็ดีกว่ากลิ่นคาวเลือดมากนัก”
ถ้อยคำนี้ของฉางอี้ซานไม่รู้ว่าพูดให้ผู้ใดฟัง
เพราะเสียงของเขาบางเบาเหลือเกิน
เบาถึงขั้นลมพัดวูบหนึ่งก็สามารถพัดให้กระจายไปได้
แต่ยามนี้ไม่มีลม อาคันตุกะชุดแดงทั้งสองจึงยังได้ยินอยู่
อาคันตุกะชุดแดงที่กำลังกินแตงกวาดองผู้นั้นมองชุดคลุมสีแดงที่กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
“เหอะๆ…ฮ่าๆๆๆ!”
เริ่มจากหัวเราะเบาๆ จากนั้นกลายเป็นระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
เขาอ้าปาก ไม่สนใจว่าแตงกวาดดองในปากที่ยังไม่ทันกลืนลงไปจะร่วงออกมา
อาคันตุกะชุดแดงอีกคนที่อยู่ข้างหลังไม่ได้สนใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
เขายังคงถือกระบี่ขวางตรงหน้าอกเช่นเคย
“ยามกินอาหารอย่าพูดอย่าหัวเราะ ไม่เช่นนั้นจะต่างอะไรกับสุนัข ยามอาหวงกินแตงกวาดองมันก็ไม่เคยเห่า แต่ปกติแล้วมันก็ไม่เห่าสักเท่าไร”
ฉางอี้ซานกล่าว
อาคันตุกะชุดแดงผู้นี้ได้ยินกลับหุบปากลงอย่างว่าง่าย แล้วเริ่มเคี้ยวอย่างมีมารยาท
กัดคำเล็กๆ ทุกคำ เคี้ยวช้าๆ ทุกครั้ง
เขาก้มหน้าลงกินเงียบๆ
ฉางอี้ซานยกแขนขึ้นในแนวขวาง
แท่นฝนหมึกคล้ายได้รับคำสั่งเรียกกลับ พลันมุดกลับมาในแขนเสื้อเขาทันใด
………………………………………