ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 151 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-2
บทที่ 151 ทุกก้าวล้วนคาวเลือด-2
หลิวรุ่ยอิ่งลูบลำคอของตนโดยไม่รู้ตัว และสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ
ก่อนตะลึงงันเมื่อพบว่าไม่ใช่ลำคอของตนเย็น หากเป็นมือของตนต่างหากที่เย็นเฉียบ
ยามคนอยู่ในช่วงเวลาตื่นเต้น สัญชาตญาณมักกระตุ้นให้คนเลือกวิ่งหนีก่อน
ดังนั้นโลหิตทั้งร่างจะหลั่งไหลไปยังขาทั้งสองข้าง ด้วยเหตุนี้มือของหลิวรุ่ยอิ่งถึงเย็นนัก
เขารู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัว
เหตุเพราะกระบี่ที่รวดเร็วและแม่นยำเพียงนี้นั่นเอง
“เขาไม่รู้หนังสือ”
ฉางอี้ซานกล่าว
“สหายข้าผู้นี้ทำงานใส่กรอบภาพมานานปี ของที่ผ่านมือเขาล้วนล้ำค่ายิ่ง หากใช้บ่าวเฝ้าประตูที่เข้าใจเรื่องบุ๋นรู้จักอักษร ย่อมรู้สึกไม่วางใจ ฉะนั้นบ่าวเฝ้าประตูของเขาทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่แม้แต่อักษรง่ายๆ ก็ยังไม่รู้จัก”
ฉางอี้ซานกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่ามือสังหารผู้นี้ไม่ใช่คนที่รู้จักมักคุ้นกัน
นั่นเพราะหากเป็นคนที่คุ้นเคยกัน ย่อมรู้ความเคยชินของเจ้าของเรือนแห่งนี้
เมื่อรู้ความเคยชินของเขา ก็ย่อมรู้ว่าบ่าวเฝ้าประตูล้วนเป็นคนที่ไม่รู้หนังสือ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมต้องลำบากเปลืองแรงก่อนหนีไปด้วย
หากเขาเพียงต้องการปกปิดร่องรอยของตน แค่ตัดเส้นเสียงให้ขาดก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงแทงลึกลงไปอีก
สำหรับมือสังหารแล้ว เวลาที่เพิ่มขึ้นอีกเพียงหนึ่งอึดใจล้วนอันตรายทั้งสิ้น ฉะนั้นการลงมือที่ยิ่งเรียบง่ายยิ่งรวดเร็วจึงยิ่งดี
ทว่า หลิวรุ่ยอิ่งกลับปัดความคิดนี้ของตนตกไปในทันใด
รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ทึกทักไปเองเกินไป
ต่อให้ตอนรับคนเฝ้าประตูผู้นี้เข้ามาเขาจะไม่รู้หนังสือ แต่ตลอดเวลาสิบกว่าปีมานี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะร่ำเรียนไม่ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งจึงให้ทังจงซงเข้าไปตรวจในห้องพักของบ่าวเฝ้าประตู
คนรู้หนังสือกับคนไม่รู้หนังสือหากไม่อ้าปากพูดจาย่อมไม่อาจแยกแยะความแตกต่างได้ เวลานี้บ่าวเฝ้าประตูตายไปแล้ว ย่อมไม่อาจอ้าปากพูดจาได้อีก
จึงทำได้เพียงไปดูที่ห้องพักของเขาว่าจะมีเบาะแสใดหรือไม่ ต่อให้หากระดาษ ที่เขียนตัวอักษรเอาไว้สักหนึ่งแผ่น ก็สามารถล้มล้างความคิดที่ว่าคนผู้นี้ไม่รู้หนังสือได้แล้ว
เมื่อหันหน้าไป ฉางอี้ซานกลับไม่ได้อยู่ข้างๆ ตัวเขาแล้ว
เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปภายใน
บ่าวเฝ้าประตูตายแล้ว เขาจึงเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของสหายผู้นั้นอย่างยิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นเดินตามเขาเข้าไปข้างใน
ฉางอี้ซานกลับไม่ได้ไปที่ห้องหลักในเรือนหลัก แต่ไปยังลานทิศประจิม[1]
ในลานทิศประจิมเป็นห้องใส่กรอบภาพของช่างใส่กรอบ
ฉางอี้ซานบอกว่าปกติแล้วเขามักขลุกตัวอยู่ที่นั่นทุกวัน บางครั้งที่ต้องเร่งงานทั้งวันทั้งคืน ล้วนต้องกินอยู่ที่ลานทิศประจิมแห่งนี้
เมื่อเทียบกันแล้ว ห้องหลักในอาคารหลักแห่งนั้นกลับกลายเป็นที่เอาไว้ประดับตกแต่งเสียมากกว่า
ทุกคราวที่มา เขาก็ล้วนมุ่งหน้าไปยังลานทิศประจิมทั้งสิ้น
เพิ่งเข้ามาในลานบ้านก็เห็นว่าประตูบานพับของห้องใส่กรอบปิดสนิท
แต่รอยเลือดที่ไหลออกมาจากช่องประตูกลับคืบคลานไปจนถึงบันไดแล้ว
คราบเลือดนี้แห้งครึ่งหนึ่งไม่แห้งครึ่งหนึ่ง คาดว่าต้องผ่านมาพักใหญ่แล้ว
เห็นทีว่ามือสังหารผู้นี้จะสังหารเจ้าของเรือนก่อนจึงไปสังหารบ่าวเฝ้าประตู
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกว่ากล่าวเช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล
บ่าวเฝ้าประตูที่ไม่รู้หนังสือผู้หนึ่งจะไปขัดขวางเขาเรื่องใด
หลังจากสังหารเจ้าของเรือนแล้วก็ควรรีบหนีไปจะถูก
“หากมีสองคน เหตุใดไม่ได้อยู่ด้วยกันเล่า”
ทังจงซงกลับมาพลางกล่าว
เขาไม่เห็นเบาะแสใดจากห้องพักของบ่าวเฝ้าประตูที่บ่งชี้ว่าคนผู้นี้รู้หนังสือ
ยิ่งไปกว่านั้นห้องพักของเขาก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง มีเพียงเตียงหนึ่งหลังและตู้หนึ่งตัวเท่านั้น กระทั่งโต๊ะสักตัวก็ยังไม่มี
คิดไปก็จริงดังว่า คนไม่รู้หนังสือย่อมไม่จำเป็นต้องใช้โต๊ะ
ทังจงซงส่งปฏิทินแขวนอันนึงให้หลิวรุ่ยอิ่ง
บนนั้นมีหลายวันที่มีเครื่องหมายเขียนเอาไว้
ทว่าใช้แค่เครื่องหมายวงกลม กาถูก หรือกากบาททำนองนี้เท่านั้น เมื่อพลิกดูแต่ต้นจนจบก็ไม่มีตัวอักษรที่ใช้มือเขียนลงไปสักตัว
นอกจากนี้ทังจงซงอย่างพบกระดาษจดหมายปึกใหญ่จากตู้ของคนเฝ้าประตูผู้นี้ด้วย
และบนนั้นก็ยังมีแต่เครื่องหมายประหลาดๆ เขียนไว้จนเต็ม แต่ส่วนมากล้วนเป็นภาพวาดภาพหนึ่ง
คาดว่านี้คงเป็นบันทึกที่เจ้าของเรือนเขียนให้บ่าวเฝ้าประตู แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับคิดไม่ออกว่าเหตุใดจึงไม่บอกกล่าวกันโดยตรง กลับต้องมาวาดภาพให้ยุ่งยากเช่นนี้
“สหายข้าผู้นี้ยังมีนิสัยประหลาดอีกประการ คือเขาไม่ชอบพูดจา เรื่องที่เขาเห็นด้วยก็จะใช้พู่กันเขียนวงกลมบนกระดาษ เรื่องที่ไม่เห็นด้วยก็จะแต้มจุดจุดหนึ่งลงไปในวงกลม”
ฉางอี้ซานกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้เข้าใจ
ได้ยินฉางอี้ซานว่ามาดังนี้นับเป็นการอธิบายว่าเหตุใดในห้องพักของบ่าวเฝ้าประตูจึงมีกระดาษจดหมายมากมายเพียงนี้ ที่แท้ก็ใช้ในการสื่อสารกันระหว่างเจ้าของเรือนกับตัวเขานั่นเอง
“อย่างไรก็ไม่ต้องเข้าไปแล้วกระมัง…”
หลิวรุ่ยอิ่งกำลังยกขาขึ้น อยากเข้าไปดูภายในห้องใส่กรอบแห่งนั้น แต่กลับถูกฉางอี้ซานยั้งไว้
ในเมื่อรู้ว่าสหายเสียชีวิตแล้ว เขาจึงไม่อยากเห็นสภาพการตายของอีกฝ่าย
ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็เกรงว่าต้องเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น
ถ้วยที่ใช้มานานใบหนึ่งบังเอิญตกแตกก็ยังทำให้รู้สึกปวดใจไปครึ่งค่อนวันไม่ใช่หรือ ประสาอะไรกับคนเป็นๆ ผู้หนึ่งที่คบหากันมาเนิ่นนานเช่นนี้
“ท่านอาจารย์อา มือสังหารผู้นี้เข้ามาก่อนหน้าพวกเราไม่นาน ถือว่าทำเพื่อพวกเราเอง อย่างไรก็ควรจะตรวจสอบให้ชัดเจนนะขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ฉางอี้ซานคิดสักพัก จึงเดินนำหน้าเข้าไปผลักประตูออก
ความรู้สึกเย้ยหยันแล่นเข้ามาในใจของหลิวรุ่ยอิ่งชั่วอึดใจหนึ่ง
ที่แท้แล้วไม่ว่าผู้ใดล้วนเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น
เมื่อฉางอี้ซานได้ยินว่าเรื่องนี้อาจทำให้พวกตนโดนหางเลขไปด้วยจึงเห็นด้วย และเปิดประตูเข้าไปตรวจสอบทันที
แต่จะว่าไปแล้ว ผู้ใดชมชอบจะหาเรื่องใส่ตัวเล่า ย่อมต้องหลบให้ยิ่งไกลยิ่งดี
มีเพียงทังจงซงที่เวลานี้กลับดูคึกคักไม่เบา
จู่ๆ กลิ่นคาวเลือดนี้ก็ไปกระตุ้นความทรงจำครั้งเขาเคยอยู่เบื้องหลังในหัวเมืองรัฐติงและควบคุมดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้เขาเคยได้กลิ่นคาวเลือดมาไม่มาก แต่มีกลิ่นคาวเลือดกี่มากน้อยที่ต้องกระจายออกมาเพราะการตัดสินใจของเขา เกรงว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังนับได้ไม่หมด…
แม้ฉางอี้ซานจะเป็นผู้ฝึกตนสายบุ๋นจันทราโปร่งเหลือขั้นเจ็ด แต่กับการสืบสวนตรวจตราเช่นนี้ เขากลับไม่ประสานเลยแม้แต่น้อย
เมื่อผลักประตูให้เปิดออกแล้วเห็นว่าสหายสนิทของตนนอนคว่ำหน้าเสียชีวิตอยู่บนโต๊ะ เขาก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา อดหันหลังและหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้
แต่เพราะประตูพับปิดสนิทอยู่ กลิ่นคาวเลือดภายในห้องจึงหนักกว่าข้างนอกลานมาก
เขาสิ้นใจอยู่บนโต๊ะใส่กรอบภาพ
ยังคงจับงานที่ยังทำไม่เสร็จเอาไว้ในมือ
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าของที่อยู่บนโต๊ะนี้ค่อนข้างคุ้นตา จึงให้ทังจงซงช่วยยกศพขึ้นไปพิงกับพนักของเก้าอี้
ที่ลำคอของเขามีรอยแผลน่าตื่นตกใจรอยหนึ่ง เส้นเสียงของเขาถูกตัดขาด เส้นลมปราณที่กระดูกสันหลังก็ถูกตัดขาดด้วยเช่นกัน การตายของเขาเหมือนเด็กหนุ่มเฝ้าประตูไม่มีผิด
ทังจงซงเบะปากเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ดูทีว่าเขาจะคิดผิดไปแล้ว
มือสังหารต้องมีเพียงหนึ่งคนแน่นอน
ฝีมือกระบี่ร้ายกาจจนเรียกได้ว่าสุดยอดนี้ มีคนผู้หนึ่งฝึกสำเร็จได้ก็นับว่าพบเห็นได้ยากในใต้หล้าแล้ว
หากมีคนฝึกสำเร็จถึงสองคน และยังฝึกจนมีฝีมือเหมือนกันเช่นนี้ ความเป็นไปได้ก็น้อยเหลือเกิน
แม้เรื่องราวจะแปลกประหลาด แต่ก็ต้องแยกออกมาวิเคราะห์เป็นเรื่องๆ ไป
แต่เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเห็นผลงานที่ยังไม่สำเร็จบนโต๊ะของเขา ก็ต้องตื่นตกใจจนหน้าถอดสี!
“นี่มัน…”
อาการตกใจล้นเหลือของหลิวรุ่ยอิ่งกระตุ้นความสนใจของฉางอี้ซานขึ้นมา
แต่ท่าทีของเขาก็เหมือนกับของหลิวรุ่ยอิ่งเหมือนออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
นั่นเพราะชิ้นงานที่ช่างใส่กรอบยังทำไม่เสร็จตอนยังมีชีวิตอยู่นั้น หาใช่สิ่งของอื่นใด กลับเป็นบทกวียาวของตี๋เหว่ยไท่ในมือของหลิวรุ่ยอิ่งนั่นเอง
ท่าทีแรกของฉางอี้ซานก็คือ หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นของปลอมแน่นอน
แต่หลังจากเข้าเทียบลายมือแล้วจึงพบว่าไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย
หลิวรุ่ยอิ่งนำกระดาษที่เขียนบทกวียาวของตนมอบให้ฉางอี้ซาน เขาถึงเพิ่งสัมผัสได้ว่ากระดาษแผ่นนี้คล้ายจะบางกว่า
“กระดาษเขียนอักษรสามารถลอกแต่ละชั้นออกมาได้ แต่ละชั้นที่ลอกออกมา จะต้องมีตัวอักษรที่เหมือนกันทุกประการ”
ฉางอี้ซานกล่าว
เมื่อดูจากที่เกิดเหตุแล้ว บทกวีในมือของหลิวรุ่ยอิ่งควรเป็นของแท้
เพราะแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นบางเกินไป
บางจนถึงขั้นสามารถมองทะลุเห็นลวดลายบนโต๊ะที่อยู่ข้างหลังได้ทีเดียว
“เจ้าจดจำเรื่องนี้ไม่ได้แม้แต่น้อยเลยหรือ”
ฉางอี้ซานถาม
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้า
เขาตั้งใจทบทวนความทรงจำตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าเหตุใดบทกวียาวแผ่นนี้และแผ่นรองพื้นรองเท้าจึงมาอยู่ในมือเขานั้น กลับมีเพียงความว่างเปล่า
“เจ้าจำได้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งมองทังจงซงพลางถาม
“ตอนเขาเริ่มเขียนอักษรในตอนนั้น พวกเจ้าล้วนห้อมล้อมเข้าไปดู มีเพียงข้าและจิ่วซานปั้นที่ยังคงดวลกับเจ้าเฒ่านั่นไม่เลิกรา”
ทังจงซงกล่าว
เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งนี้
หนำซ้ำการประชันสุราในคืนนั้น การชนะบัณฑิตจางได้ต่างหากที่คือภารกิจสำคัญสูงสุด เขาจึงไม่มีแก่ใจไปสนใจผู้อื่นแต่อย่างใด
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงลายหมึกล้ำค่า[2]ของท่านประมุขหอตี๋ และยังเป็นบทกวีไว้อาลัยที่เขียนให้พี่น้องเบญจลักขีอีกด้วย เรื่องนี้กลับค่อนข้างยุ่งยากทีเดียว”
ฉางอี้ซานกล่าว
จากนั้นเขาก็ออกจากห้องเดินไปยังกลางลานบ้าน ยกมือซัดศรสัญญาณขึ้นบนฟ้าดอกหนึ่ง ศรสัญญาณพุ่งขึ้นไปบนฟ้าและเกิดเสียงระเบิด ทำเอาคนในเรือนตื่นตกใจ
“ข้าส่งสัญญาณแจ้งว่าเกิดเหตุเร่งด่วนขึ้นในหอทรงปัญญาแล้ว คิดว่าอีกไม่นานองครักษ์หอทรงปัญญาจะมาถึงที่นี่ อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ออกไปก่อนเถอะ องครักษ์หอทรงปัญญาเหล่านั้นรู้จักแต่หลักการเคร่งครัด แม้แต่ข้าก็ยังไม่ไว้หน้า หากให้พวกเขาเห็นว่าพวกเจ้าเคลื่อนย้ายศพตามอำเภอใจ ก็ไม่รู้ว่าต้องสิ้นเปลืองน้ำลายเท่าไรจึงจะอธิบายได้ชัดเจน”
ฉางอี้ซานกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งออกจากห้องเดินมายังกลางลานบ้าน และพบว่าเรือนแห่งนี้ช่างโล่งกว้างยิ่ง
นอกจากมีโอ่งน้ำไม่กี่โอ่งจัดวางอยู่ตรงมุมแล้ว ก็ไม่มีที่สามารถใช้เป็นที่ปิดบังอำพรางตัวได้
ซึ่งเรื่องนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดมือสังหารจึงสังหารบ่าวเฝ้าประตูผู้นั้น
คงเพราะกังวลว่าบ่าวเฝ้าประตูจะชักนำให้พวกของตนเดินเข้ามาและเปิดเผยตัวเขานั่นเอง
นั่นเพราะระดับฝึกตนฝ่ายบู๊ของฉางอี้ซานก็ไม่ได้ต่ำต้อย อย่างน้อยก็อยู่ในชั้นเดียวกับลู่หมิงหมิง
ต่อให้มือสังหารผู้นี้ชิงลงมือก่อน แต่หากหวังว่าจะหลบหนีไปได้ก็คงไม่ง่ายดายเพียงนั้น
และเมื่อเกิดการต่อสู้ขึ้นเขาก็ต้องเผยร่องรอยของตนออกมา
………………………………………
[1] ลานทิศประจิม คือ กลุ่มอาคารอีกชุดหนึ่ง (มีทั้งลานบ้านและอาคาร) ที่ขยายจากอาคารแบบจีนโบราณออกไปทางทิศตะวันตก (บ้านทั่วไปจะมีลานหน้าหลังเป็นชั้นๆ แต่ลานทิศตะวันออกหรือตะวันตก เป็นการขยายออกข้างๆ)
[2] ลายหมึกล้ำค่า หมายถึง ลายมือตัวอักษรหรือภาพวาดที่มีความสำคัญ หาค่าไม่ได้