ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 142 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-3
บทที่ 142 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-3
“ท่านประมุขหอตี๋เปล่งเสียงออกมาที่โรงน้ำชาก่อนหน้านี้นั้นสะเทือนเหล่าวีรบุรุษ ต่อมายังจัดงานเลี้ยงให้ทุกฝ่าย ต้องกล่าวว่าเป็นการแสดงน้ำใจ วิธีการระดับสูงและซับซ้อนจริงๆ!”
ตี๋เหว่ยไท่จบสนทนากับโอวหย่าหมิงแล้ว
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าท้ายที่สุดทั้งสองยิ้มแก้มปริก่อนจากหรือว่าหมองใจก่อนจาก
แต่อย่างน้อยมองจากสีหน้าตี๋เหว่ยไท่ค่อนข้างผ่อนคลายทีเดียว
แม้ตี๋เหว่ยไท่สุขุมรอบคอบเสมอมา สุขทุกข์ไม่แสดงสีหน้า แต่ความรู้สึกยินดีประเภทนี้ก็ยังออกจากทุกรูขุมขนบนกายเขา ล่องลอยไปในอากาศแล้วส่งต่อให้ผู้อื่นรับรู้
ยามนี้เซียวจิ่นข่านอยู่ในเรือนของเขา เขาสัมผัสได้ถึงความปลาบปลื้มนี้
แต่ในเมื่อตี๋เหว่ยไท่ไม่เอ่ย เขาก็ไม่ถาม เพียงชมเชยวิธีของตี๋เหว่ยไท่ไปตามมารยาท
นี่ยังต้องให้เขากล่าวอีกหรือ
หากแม้แต่เรื่องนี้ตี๋เหว่ยไท่ยังจัดการได้ไม่ดี เช่นนั้นไม่คู่ควรให้ผู้คนขนานนามว่าประมุขหอตี๋
แต่เซียวจิ่นข่านก็ยังกล่าวไป อีกทั้งกล่าวอย่างจริงจังนัก จนผู้คนนึกสงสัยหมายถึงสิ่งใด
สิ่งที่แปลกคือตี๋เหว่ยไท่ก็ฟัง และฟังอย่างตั้งใจยิ่งนัก
เขาคิดอย่างจริงจังเสียด้วยซ้ำว่าคำพูดของเซียวจิ่นข่านแฝงความหมายอื่นใดไว้หรือไม่
แต่เห็นได้ชัดว่าคำชมเชยก็คือคำชมเชย หาได้มีสิ่งอื่นใดไม่
“ผู้อื่นมาเยือนสถานที่กินข้าวของเจ้า เจ้าคงไม่ปล่อยให้ผู้อื่นมองเจ้ากินข้าวกระมัง ต้องแบ่งให้ผู้อื่นได้กินด้วยบ้างจึงจะดี”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
ประโยคธรรมดาเช่นนี้ จินตนาการว่าออกมาจากปากพิรุณร่วงของตี๋เหว่ยไท่ได้ยากยิ่งนัก
แต่เขาก็กล่าวไปแล้ว
ทว่าเขาไม่ได้กล่าวผิดเสียทีเดียว
มนุษย์เราต้องกินข้าว
ไม่เพียงกินข้าว ยังต้องนอนหลับ
แต่หากกินข้าวไม่อิ่ม เช่นนั้นก็จะหิวกิ่วจนนอนไม่หลับ
ฉะนั้นร้อยเรื่องในโลก คำว่าหิวมาก่อน กินข้าวมาเป็นอันดับแรก
ทว่าเคยเห็นขอทานริมถนนหักครึ่งหมั่นโถวในชามตนเองแบ่งให้ผู้อื่นบ้างหรือไม่ ต่างก็กินตะกละตะกลามทนอ้าปากกลืนลงไปบรรเทาความหิวไม่ไหวด้วยซ้ำ
ตี๋เหว่ยไท่สามารถแบ่งข้าวของตนให้ผู้อื่นกิน เป็นเพราะเขาไม่ได้มีเพียงข้าวชามเดียวและไม่ได้มีเพียงชามใบเดียว
ดูเหมือนใจกว้าง แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ขาดแคลน
ยามที่คนไร้วิกฤตอันตราย มักจะใจดีมีเมตตาเสมอ
ยามใดที่พบวิกฤตอันตราย มักจะกลายเป็นคนเลวทรามและเห็นแก่ตัว
ฉะนั้นน้ำใจมากมาย จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องจงใจตอบแทน อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือความสนใจชั่วครู่
ส่วนเลวทรามและเห็นแก่ตัวก็อย่าได้พร่ำบ่นเกินไปนัก ชีวิตนี้ผู้ใดไม่เคยมีช่วงเวลาลำบากบ้าง เมื่อเขาผ่านพ้นความยากลำบากไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กลับมาใจดีมีเมตตาอีก
ทว่าตี๋เหว่ยไท่ไม่ใช่ผู้ที่ชอบความสงบสบาย
ในยุคสมัยเก้าเผ่าอยู่ร่วมกัน ทุกคนตกอยู่ในอันตราย ชีวิตไม่ปลอดภัย ทำให้เขาบ่มเพาะนิสัยอย่างหนึ่งออกมา
หรือกล่าวตามสัญชาตญาณ
สัญชาตญาณที่สามารถตรวจพบอันตราย
เช่นเดียวกับแมลงบางชนิดแม้ไม่เห็นศัตรูตามธรรมชาติ ก็มักสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของศัตรูตามธรรมชาติ ขนอ่อนตามร่างกายลุกชัน
ตี๋เหว่ยไท่ไม่ใช่แมลง เขาเป็นมนุษย์
ไม่อ่อนแอเหมือนแมลงและทำได้เพียงรอโอกาสสวรรค์ประทานให้หลีกหนีเคราะห์ภัยเท่านั้น
มนุษย์สามารถเริ่มบุกโจมตี ป้องกันปัญหาที่ยังไม่เกิด
“ท่านประมุขหอตี๋หมายความว่า ขอเพียงมีคนมาก็จะมีข้าวกินหรือ”
เซียวจิ่นข่านถาม
เขาอุ้มไหสุราในอ้อมแขน
บังเอิญว่าเป็น ‘สูตรลับหมื่นสกุล’ ที่เขาดื่มกับหลิวรุ่ยอิ่งในคืนนั้นไม่หมด
เขารู้ว่าตี๋เหว่ยไท่ไม่ชอบดื่มสุรา แต่เขาชอบ
จะว่าไปแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่กระทำสิ่งที่ตนโปรดปรานต่อหน้าตี๋เหว่ยไท่ตามอำเภอใจเช่นนี้
แม้ว่าตี๋เหว่ยไท่ไม่เข้มงวด และไม่มีกฎเกณฑ์มากมายนักก็ตาม
แต่ไม่กล้าก็คือไม่กล้า ความกดดันที่ไร้สาเหตุนั้นมักหน่วงในใจของทุกคน
“นั่นก็ต้องดูว่าผู้ใด กินสิ่งใด หอทรงปัญญาหาได้ทำการกุศลไม่ ข้าก็ไม่ได้บริจาคเงินให้เด็กเช่นกัน”
ตี๋เหว่ยไท่ดันถ้วยชาของตนไปทางเซียวจิ่นข่าน บอกเป็นนัยว่ารินให้ตนเองด้วย
“ฉะนั้นไม่ว่าเป็นผู้ใด ไม่ว่าอยู่แห่งหนใด ล้วนดูคนแล้วยกอาหารขึ้นโต๊ะ[1]”
เซียวจิ่นข่านรินให้ตี๋เหว่ยไท่ แต่ไม่รินให้ตนเอง
ทว่าวางไหสุราลงพลางเอามือเท้าคางมองนอกหน้าต่างและทอดถอนใจ
แม้ว่าเขามองไม่เห็น บางทีเพียงอยากเบือนหน้าหนี
แม้มองไม่เห็น แต่เขาสัมผัสได้ถึงสายตาตี๋เหว่ยไท่จ้องมองใบหน้าของเขา
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เซียวจิ่นข่านรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
ฉะนั้นเขาจึงคิดหันศีรษะหลบเลี่ยง
“หรือเจ้าไม่ใช่เล่า”
ตี๋เหว่ยไท่ได้กลิ่นสุรานี้
กลิ่นหอมตีกันยุ่งเหยิงลอยแตะปลายจมูก
ไม่มีกลิ่นเหม็น แต่ให้ความรู้สึกยุ่งเหยิงไม่ชัดเจน
“ข้าไม่ใช่ เพราะข้าไม่มีอาหาร ยิ่งกว่านั้นข้ามองไม่เห็นคนด้วย”
เซียวจิ่นข่านหันศีรษะมาพลางกล่าวยิ้มๆ
“นี่เป็นสุราดีที่เจ้าเก็บไว้รอดื่มกับหลิวรุ่ยอิ่งหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“เป็นอย่างไร ไม่เลวใช่หรือไม่”
เซียวจิ่นข่านถาม
“ข้าไม่รู้เรื่องสุรา”
ตี๋เหว่ยไท่ส่ายศีรษะ ยกถ้วยดื่มมันรวดเดียวแล้วถอนหายใจเล็กน้อย
แม้ว่าผู้คนมักผ่อนลมหายใจหลังจากดื่มสุรา แต่เสียงผ่อนลมหายใจนี้หาใช่การพ่นกลิ่นสุรากลั้วรสที่ค้างในลำคออย่างง่ายดายเช่นนั้นไม่
‘สูตรลับหมื่นสกุล’ แรงยิ่ง แต่ตี๋เหว่ยไท่สามารถดื่ม ‘สุราเซียนกวี’ ได้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ไหนเลยจะถอนหายใจเพราะเหตุนี้ได้เล่า
เซียวจิ่นข่านรู้ว่าตี๋เหว่ยไท่มีเรื่องในใจและมีสิ่งที่อยากพูด
แต่น่าเสียดาย เขาไม่ใช่คนผู้นั้นที่ทำให้ตี๋เหว่ยไท่คายความจริงในใจออกมาได้
ฉะนั้นตี๋เหว่ยไท่จึงถอนหายใจเบาๆ ใช้วิธีนี้คลายความอัดแน่นในใจต่อเนื่อง
“ในเมื่อความสัมพันธ์พวกเจ้าดีเพียงนี้ เหตุใดเจ้าไม่ช่วยเขา”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“ต่างคนต่างมีชะตาชีวิต ข้าช่วยเขาได้ครั้งเดียว แต่ไม่อาจช่วยเขาไปตลอดชีวิต ข้ามผ่านไปได้ด้วยตนเองไม่ดีกว่าหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ดูเหมือนเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะข้ามผ่านมันไปได้”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ไม่ ข้าไม่รู้”
เซียวจิ่นข่านส่ายศีรษะกล่าว
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้ากล้ายืนยันว่าเขาจะข้ามผ่านมันไปได้เล่า จงรู้ไว้ว่าสตรีผู้นั้นรับมือไม่ง่ายนัก!”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“อย่างไรเสียเราก็เป็นสหาย ผู้ใดไม่หวังให้สหายตนได้ดีบ้างเล่า ดังนั้นข้าเพียงหวังว่าเขาจะข้ามผ่านมันไปได้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“อีกทั้งเขายังมีอายุยืนยาว ตอนนี้ยังห่างไกลจากจุดจบนัก”
ในที่สุดเซียวจิ่นข่านก็รินสุราให้ตนเองพลางกล่าวต่อ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำนายไว้แล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ทำนายยังเร็วไป ท่านก็รู้ว่าความลับสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ข้าทำนายท่านแม่นสามวัน กระทั่งสามสิบปี แต่หลังจากสามสิบปีหนึ่งวันจะเป็นเช่นไร ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และสิ่งที่ข้าทำนายเป็นสถานการณ์ที่เป็นขั้นเป็นตอนในระหว่างสามสิบปี การเปลี่ยนแปลงฉับพลันมักจะเปลี่ยนแปลงได้มากเสมอ แม้จะเป็นเพียงการเมาสุราคราเดียวก็ล่มเมืองได้ หรือไม่จริงเล่า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่พยักหน้า ไม่กล่าวคำใด
แม้เซียวจิ่นข่านมองไม่เห็นเขาพยักหน้า
ทว่าแต่ไหนแต่ไรตี๋เหว่ยไท่ไม่เคยมองว่าเขาเป็นคนตาบอดคนหนึ่ง
เพียงคิดว่าเขาชอบสนทนากับผู้อื่นโดยไม่มองคู่สนทนาก็เท่านั้น อย่างไรเสียทุกคนล้วนมีนิสัยผิดแปลกไปบ้าง ความผิดแปลกนี้ไม่นับเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร
“เพียงแต่ท่านไม่ควรชี้นำสตรีผู้นี้มาจริงๆ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ข้าชี้นำนางมา ทำให้จางอวี่ซูอยู่ที่นี่ด้วย ไม่ใช่ว่าทำเรื่องดีๆ หรอกหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เช่นนั้นพื้นรองเท้าคู่นั้นไปโผล่อยู่ที่หลิวรุ่ยอิ่งได้อย่างไร”
เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม
“ข้าไม่รู้ เรื่องนี้ก็เกินความคาดหมายของข้าเช่นกัน”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ดังนั้นท่านไม่จัดการ กลับกันให้ข้าจัดการแทนงั้นหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม
“ข้าไม่อาจควบคุมได้ เรื่องระหว่างนางกับจางอวี่ซูเดาว่าเจ้าก็คงรู้ ผู้ที่หมกมุ่นเช่นนี้จะจัดการอย่างไรเล่า”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ท่านบอกนางว่าจางอวี่ซูอยู่ที่นี่ไปตรงๆ ย่อมได้ ปล่อยให้จางอวี่ซูจัดการเอง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เดาว่าเขาทั้งสองพบหน้ากันแล้ว เดิมข้านึกว่าจางอวี่ซูจะเผ่นหนีไปเสียอีก ดูเหมือนว่าในหลายปีที่ผ่านมาเขาจะปล่อยวางไปมากทีเดียว”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวยิ้มๆ
“ไม่หนีหายไม่ได้หมายความว่าปล่อยวางจริงๆ อาจแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
จู่ๆ มือของเขากำจอกสุราแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา
เพราะเขามองเห็นด้วยดวงตาในหัวใจ ใบหน้าหลิวรุ่ยอิ่งถูกข่วนเป็นรอย
………………………..
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะหยิบกระบี่ขึ้นอีกครั้งและสลับตำแหน่งกับยายเฒ่าแล้วก็ควรจะเคลื่อนย้ายได้คล่องแคล่วยิ่งกว่า
ยิ่งกว่านั้นเขาใช้กระบี่ ยายเฒ่าใช้เข็ม จึงมีอาวุธเหนือกว่าอยู่แล้ว
แต่ทันใดนั้นด้ายทองของยายเฒ่าพุ่งออกมาจากในตะกร้า พันธนาการสองแขนของหลิวรุ่ยอิ่ง จากนั้นเข็มพุ่งตรงใบยังใบหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจขยับสองมือได้ตามใจ มองเข็มโจมตีเข้ามา ทำได้เพียงยื้อกระชากเกี่ยวข้อมือกลับ
ต้องการใช้ตัวกระบี่สกัดเข็มบิน
โชคดีที่ในที่สุดก็ใช้ปลายกระบี่สกัดกั้นไว้ได้
ไม่ยอมปล่อยให้เข็มบินนี้ทิ่มใบหน้า
แต่การสกัดกั้นไม่สมบูรณ์แบบนัก
ปลายเข็มเล็กเกินไป
ปลายกระบี่ไม่ใหญ่มาก
ดังนั้นหลังจากเข็มบินกระทบปลายกระบี่ แม้ถูกสกัดไม่ให้ทิ่มโดนใบหน้าหลิวรุ่ยอิ่งได้ ทว่ากลับบินเฉียดไปด้านข้าง บาดแก้มซ้ายหลิวรุ่ยอิ่งจนทิ้งรอยเลือดไว้
ยายเฒ่าเห็นว่าโจมตีไม่สำเร็จจึงดึงเข็มกลับ
ทว่านางไม่ดึงด้ายออก แต่ปล่อยด้ายออกจากตะกร้าอีกหลายเส้น ราวกับจะพันธนาการผูกหลิวรุ่ยอิ่งเช่นเดียวกับบ๊ะจ่าง!
………………………..
“ในเมื่อใส่ใจเช่นนี้ สู้ลงมือไปเลยเสียดีกว่า”
ตี๋เหว่ยไท่มองเห็นมือที่กำแน่นของเซียวจิ่นข่านจึงกล่าวขึ้น
“ไม่จำเป็น”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
กลับคลายมือลงเล็กน้อย
“เป็นเช่นนี้ต่อไป หลิวรุ่ยอิ่งจะถูกมัดปมแน่นหนาเป็นแน่ จนถึงตอนนั้นจะเหมือนผ้าขาวนิ่งๆ ผืนหนึ่งให้นางเย็บปักตามใจ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
ในวาจาเผยความตื่นเต้นเล็กน้อย ราวกับปรารถนาให้เซียวจิ่นข่านลงมือโดยเร็ว
“ไม่จำเป็น”
เซียวจิ่นข่านคลายมือที่กำแน่น ค่อยๆ เติมสุราอีกหนึ่งจอกให้ตนเองพลางกล่าว
“เพราะเหตุใด”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
เขาใช้น้ำสะอาดล้างถ้วยชา
เพราะเขาทนรับรสชาติซับซ้อนยุ่งเหยิงนี้ไม่ไหวจริงๆ
“เพราะนางไม่ได้ต้องการฆ่าหลิวรุ่ยอิ่ง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้ ยังไม่ได้ต้องการฆ่าเขาอีกหรือนี่”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“ข้าเฝ้ามองอย่างละเอียดยิ่ง แม้ก่อนหน้านี้สองแขนของหลิ่วรุ่ยอิ่งจะถูกด้ายทองทมิฬตัดวิญญาณของนางพันผูก แต่กลับเหลือพื้นที่เพียงพอให้แขนขวาของเขาขยับได้ ไม่เช่นนั้นด้วยความสามารถของนาง ต่อให้ไม่ใช้ด้ายทองทมิฬตัดวิญญาณนี้ อาศัยเพียงเข็มดาราสีเงินเล่มหนึ่งในมือ มีหรือจะไม่สามารถฆ่าหลิวรุ่ยอิ่งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ในเมื่อไม่ต้องการฆ่าคน เช่นนั้นเหตุใดจึงสู้กันไปสู้กันมาเช่นนี้เล่า
ตี๋เหว่ยไท่ส่ายศีรษะ
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของเซียวจิ่นข่าน
…………………………………………………………………
[1] ดูคนแล้วยกอาหารขึ้นโต๊ะ หมายถึง การยกอาหารขึ้นโต๊ะต้องดูว่าคู่ควรกับลูกค้าประเภทใด เปรียบถึงการปฏิบัติตนต่อผู้คนล้วนแตกต่างกันไป