เซี่ยอันนาหาเวลามาคุยกับฉีฉีอยู่พักหนึ่งก็จะต้องไปแล้ว
ช่วงนี้ เธอเป็นห่วงสาวน้อยคนนี้มาก เมื่อสบายดีจึงมาเยี่ยมดูสภาพเธอ
และเป็นอย่างที่เธอนึกเป็นห่วง นับวันฉีฉียิ่งนิ่งเงียบไม่พูดจาอะไร ท่าทางที่ฝืนยิ้มของเธอนั้นทำให้คนอื่นนั้นยิ่งเจ็บปวด
เพราะฉีฉีได้รับบาดแผลทางจิตใจ เซี่ยอันน่ากลัวมากว่าเรื่องนี้จะสะเทือนใจฉีฉีจนเกิดโรคภัยได้
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น…..
เซี่ยอันน่ารู้สึกมืดบอด เธอตัดสินใจไปหาเย่ชูวเสวียเพื่อพูดคุยกัน
นึกถึงเย่ชูวเสวีย เซี่ยอันน่าเพิ่งนึกได้ว่าหลังจากที่มาโรงพยาบาลก็ยังไม่ได้เห็นเธออีกเลย
“ใช่แล่ว ชูวเสวียล่ะยังไม่มาเหรอ?”
“มาแล้ว แต่มาแปปเดียวก็ไป บอกว่าร้านขนมมีเรื่องเร่งด่วนน่ะจึงรีบร้อนออกไป อันน่า ถ้าพวกเธอมีธุระก็ไม่ต้องมาก็ได้ ที่นี่ยังมีฉัน”
สำหรับเรื่องนี้ เซี่ยอันน่าไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
เธอลุกขึ้นยืนแล้วสวมแว่นกันแดดและพูดว่า: “โอเค ต่อไปนี้โลกของเธอทั้งสองเธอกับมู่ยู่วฉี ฉันจะไม่ยุ่งกับพวกเธออีกแล้ว”
“ฉันไปส่งเธอนะ”
“ส่งอะไร ฉันเป็นแขกเหรอ เห็นว่าเป็นคนอื่นซะจริง”
เซี่ยอันน่ามองฉีฉีอย่างเบื่อหน่ายแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
ภายในห้องเงียบขึ้นอีกครั้ง ฉีฉีหันกลับมามองมู่ยู่วฉีแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
ตอนพลบค่ำ คุณหมอเข้ามาตรวจสุขภาพมู่ยู่วฉีเป็นประจำ
เวลานี้ฉีฉีจะออกไปสูดอากาศและปรับสภาพอารมณ์
เพราะเมื่อวานนอนไม่ค่อยหลับ ตอนนี้เปลือกตาฉีฉีกำลังต่อสู้กันอยู่ เพื่อให้ตัวเองสดชื่นขึ้นอีกหน่อย ฉีฉีจึงเดินไปซื้อกาแฟสักแก้วที่ร้านกาแฟ
ขณะเดินถือกาแฟกลับมา ฉีฉียิ่งเดินยิ่งรู้สึกแปลกๆ
ในหัวทำไมถึงรู้สึกมึนๆอย่างนี้นะ? ก้าวเท้าแต่ละทีหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับว่ามีตะกั่วมาถ่วงไว้อย่างไรอย่างนั้น
ฉีฉีเอื้อมมือไปจับผนังห้องไว้และหลับตาลงพยายามอดกลั้นไว้
มีพยาบาลเดินผ่านมาเห็นฉีฉีมีท่าทางเช่นนี้จึงรีบเข้ามาพยุงเธอและเอ่ยถาม: “คุณผู้หญิง คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”
ฉีฉีหายใจเข้าลึกๆและลืมตาขึ้นและพูดด้วยแววตาล่องลอยว่า: “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
พยาบาลขมวดคิ้วและพูดว่า: “แต่สีหน้าเธอดูแย่มากเลยนะ ฉันแนะนำให้เธอไปตรวจดูสักหน่อยเถอะ”
‘ไม่หรอกค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ”
ตรวจร่างกายมู่ยู่วฉีคงจะเสร็จแล้ว ตอนนี้เธอต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนเขา
ฉีฉีพยายามก้าวเท้าไปข้างหน้าแต่ยังไม่ถึงสองก้าวก็เป็นลมล้มไป
“คุณผู้หญิง!”
กาแฟที่อยู่ในมือหกกระเด็นไปทั่ว ฉีฉีนอนหมดสติอย่างสิ้นเชิงลงบนพื้นเย็น
ช่วงนี้เธอเหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยใจแล้วกายยิ่งเหนื่อย
เพราะงั้นถึงเป็นลมได้ เธอนอนหลับจนฟ้ามืด
ระหว่างที่หลับฝัน เธอฝันเรื่องแล้วเรื่องเล่าจริงหรือเท็จปะปนกันไป
บางครั้ง ฉีฉีที่นอนหลับสนิทกลับได้ยินเสียงทะเลาะกัน
เสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยมาก เนื้อหาที่ทะเลาะกันก็เหมือนว่ามีตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง
แต่ฉีฉีไม่อยากได้ยิน เธอแค่อยากนอนหลับสบายๆ
เธออยากลุกไปบอกให้คนเหล่านั้นหุบปาก แต่ร่างกายเธอไม่อาจควบคุมได้ แขนขานั้นขยับไม่ได้
รอบข้างค่อยๆกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ฉีฉีพอใจและหลับต่ออย่างสบายใจ
แต่เมื่อหลับต่อได้สักพัก ฉีฉีก็พบกับปัญหานิดหน่อย
เธอรู้สึกเหมือนว่ายังมีเรื่องสำคัญที่เธอต้องทำ คือ….คือ……
คืออะไรกันนะ?
ฉีฉีพยายามคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็มีชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของเธอ
มู่ยู่วฉี!?
พอคิดถึงเขา ไม่คาดคิดว่าฉีฉีจะลืมตาขึ้นมา ตากลมโตมองไปรอบๆอย่างงงงวย
สีหน้าผ่อนคลายลง เมื่อฉีฉีพบว่าตัวเองยังคงอยู่ที่โรงพยาบาล
ทว่า ตัวเองมาหลับอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ตอนฉีฉีกำลังรู้สึกงุนงงอยู่นั้นก็มีคนเดินเข้ามา
“คุณฟื้นแล้ว”
คนที่พูดเป็นพยาบาลและฉีฉีไม่ได้รู้จักเธอ
“ฉันเป็นอะไรไปเหรอคะ?”
“คุณเครียดและนอนไม่พอ ทั้งขาดสารอาหารอีกเลยเป็นลมน่ะ”
ฉีฉีแข็งแรงมากมาโดยตลอด เกิดเรื่องขนาดนี้ได้อย่างไร?
ฉีฉีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงเอ่ยถามขึ้นอีก: “แล้วฉันหลับไปนานแค่ไหน?”
“สี่วันแล้ว”
พอได้ยินคำตอบนี้ ฉีฉีก็เบิกตากว้างและถามว่า: “นานขนาดนั้นเลยเหรอ!?”
“ใช่ค่ะ คุณพักผ่อนไม่เพียงพอทั้งยังมีประวัติการป่วย ถ้าให้ยานอนหลับกับคุณ จะทำให้คุณพักผ่อนอย่างเต็มที่ค่ะ”
“แต่ฉันยังมีคนที่ต้องไปดูแลนะคะ”
ฉีฉีรีบร้อนดึงผ้าห่มออกเพื่อที่จะออกไป
“คุณกลับมาก่อค่ะ! ตอนนี้คุณเป็นคนไข้ แล้วจะไปดูแลใครได้ค่ะ นอนลงอย่างเชื่อฟังเถอะค่ะ”
พยาบาลบังคับฉีฉีให้กลับไป
ไม่รู้ว่าทำไมพยาบาลคนนี้ถึงมีแรงมากมายหรือตอนนี้ฉีฉีอ่อนแอเกินไป เธอไม่มีแม้แต่โอกาสจะต่อต้าน อย่างกับลูกไก่ถูกกดลงไป
ฉีฉีรู้ตัวว่าไม่มีทางสู้ฝ่ายนั้นได้จึงพร่ำขอร้องว่า: “ถ้างั้นให้ฉันไปเยี่ยมเขานะ เขาก็อยู่โรงพยาบาลนี้ ได้ไหม?”
“เอ่อ….”
“ถ้าคุณไม่เห็นด้วย งั้นฉันไม่กินข้าว ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจและก็จะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้!”
การข่มขู่ของฉีฉีทำให้พยาบาลไม่มีทางเลี่ยงทั้งยังรู้สึกลำบากใจ สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาและพูดว่า: “เฮ้อ เปลี่ยนใจคุณไม่ได้จริงๆ งั้นฉันจะพาคุณไปแล้วกัน เตือนไว้ก่อนเลยนะคะว่าเยี่ยมเสร็จแล้ว คุณก็ต้องกลับมาพักผ่อนกับฉันอย่างว่าง่าย”
ฉีฉีตาวาวแล้วพยักหน้าซ้ำๆและเอ่ยว่า: “โอเคอย่างแน่นอนเลยค่ะ”
พยาบาลพาฉีฉีไปที่ห้องผู้ป่วยของมู่ยู่วฉีและระยะห่างมันไกลมากฉีฉีจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ผลักประตูห้องผู้ป่วยที่คุ้นเคย ฉีฉีกลับพบว่าคนที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้นไม่อยู่แล้ว
ฉีฉีตะลึงจนตาค้าง หันไปมองพยาบาลที่อยู่ข้างหลังและเอ่ยถามว่า: “คนไข้ล่ะ?”
พยาบาลส่ายหัวแสดงท่าทีที่ไม่รู้
“งั้นก็ไปหาคนที่รู้มาสิ!”
อารมณ์ของฉีฉีเปลี่ยนไปเป็นโมโหร้าย ช่างแตกต่างจากเด็กน้อยน่ารักคนเมื่อกี้ราวกับเป็นคนละคน
พยาบาลตัวสั่นแล้วหุนหันวิ่งออกไป
ไม่นานเธอก็พาคุณหมอเดินเข้ามา ตอนเดินมายังแอบอยู่ข้างหลังคุณหมอ เกิดกลัวว่าอยู่ๆฉีฉีจะเปลี่ยนไปอีก
เมื่อเห็นคุณหมอ ฉีฉีก็รีบถาม: “คุณหมอคะ คนไข้ที่อยู่ห้องนี้ล่ะคะ?”
ท่าทางของคุณหมอดูน่าเกรงขามมองฉีฉีแล้วถามว่า: “คุณเกี่ยวข้องอะไรกับคนไข้?”
ท่าทางของฝ่ายนั้นทำให้ฉีฉีรู้สึกสะอึก เธอเลียริมฝีปากและพูดว่า: “ฉัน…..เป็นเพื่อนของเขา”
คุณหมอมองฉีฉีอย่างเห็นใจแล้วพูดว่า: “ถ้างั้น ขอแสดงความเสียใจด้วย”
ประโยคนี้ทำให้ฉีฉีถึงกับตัวเซ สีหน้าแสดงออกอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ร่างกายของฉีฉีสั่นเทา เธอพูดพึมพำไม่หยุด: “เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร…..”
เห็นฉีฉีเป็นเช่นนี้จนพยาบาลต้องเข้ามาพยุงฉีฉีไว้
แต่ฉีฉีกลับจ้องตาถลนทันทีและร้องขับไล่ออกไป: “อย่าแตะต้องฉัน พวกคุณออกไปให้หมด!”
ฉีฉีทำท่าอย่างกับจะกัดคนอย่างไรอย่างนั้น พยาบาลนิ่งงันอยู่ที่เดิมเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เธอมองไปที่คุณหมอ แต่คุณหมอกลับโบกมือให้เธอและพูดว่า: “คนไข้อารมณ์ไม่คงที่ พวกเราปล่อยให้เธออยู่คนเดียวไปก่อนเถอะ”
“แต่…….”
“ฟังฉัน ไปเถอะ”
คุณหมอและพยาบาลเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย และฉีฉีก็หมดแรงล้มลงที่พื้น มองไปรอบๆด้วยสีหน้าที่ไม่อยากรับรู้อะไร
ของในห้องถูกทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยและก็ไม่มีกลิ่นอายของมู่ยู่วฉีอยู่เลย
เธออยากเก็บของบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมู่ยู่วฉี แต่กลับพบว่าทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับมู่ยู่วฉีในชีวิตของฉีฉีนั้นถูกเก็บไปหมดแล้ว
ฉีฉียกมือขึ้นปิดตาและสะอื้นไห้แล้วพูดว่า: “มู่ยู่วฉี นายไปไหนไม่ได้นะ นายกลับมาได้ไหม ฉันคิดถึงนายมาก ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีนาย”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณเป็นแฟนผมได้ไหม?”
อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างหลังทำให้ฉีฉีตกใจ
เมื่อหันกลับไปมองฉีฉีก็เห็นมู่ยู่วฉียืนอมยิ้มอยู่ข้างหลัง แม้บนใบหน้าจะยังมีรอยแผลแต่รอยยิ้มนั้นอบอุ่นมาก
ฉีฉีค่อยๆยื่นมือออกไปสัมผัสมู่ยู่วฉีอย่างระมัดระวัง
ความอบอุ่นจากปลายนิ้วทำให้เธอรู้ว่ามู่ยู่วฉียังมีชีวิตอยู่จริงๆ
“มู่ยู่วฉี นายยังมีชีวิตอยู่”
มู่ยู่วฉียิ้มอย่างสดใสและหัวเราะลั่นจนแผลที่มุมปากแตก ทำให้เขามีสีหน้าดูบิดเบี้ยว
หน้าตาที่บิดเบี้ยวค่อยๆคลายลง มู่ยู่วฉีจึงพูดว่า: “คุณพูดอย่างนี้ คุณอยากให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อหรืออยากให้ผมตายไปกันแน่?”
ฉีฉีไม่ได้ตอบกลับคำพูดของมู่ยู่วฉีแต่กระโจนเข้าหาอ้อมกอดของเขา และไม่นานน้ำตาที่ไหลก็ทำให้เสื้อผ้าของมู่ยู่วฉีเปียกชุ่ม
ฉีฉีรู้สึกว่าอ้อมกอดมู่ยู่วฉีในครั้งนี้นั้นต่างออกไป
ถ้าเป็นไปได้ เธออยากจะขอให้เวลาหยุดได้จริงๆปล่อยให้ทุกสิ่งนั่นหยุดนิ่งไว้ชั่วคราว
มู่ยู่วฉียกมือขึ้นลูบผมฉีฉีและใช้คางถูเบาๆด้านบนของศรีษะฉีฉีด้วยความรักเอ็นดู
นานมากกว่ามู่ยู่วฉีจะเอ่ยขึ้น: “ที่คุณเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ ผมได้ยินหมดแล้ว”
ที่เพิ่งพูดไป……
ฉีฉีมีอาการหน้าแดงยืนตัวแข็งทื่อและเริ่มไม่ยอมรับ
“พูดอะไร ทำไมฉันจำไม่ได้”
“คุณจำไม่ได้? แต่ผมจำได้นะ ผมพูดให้คุณฟังได้นะ คุณบอกว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผมและคิดถึงผมมากด้วย แล้ว….”
“พอแล้วพอแล้ว นายหยุดพูดเลย นายฟังผิดแล้ว เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดอะไร”
ฉีฉีคิดถึงคำพูดพวกนั้นว่าเป็นคำพูดของตัวเองจริงๆก็หน้าแดง
มู่ยู่วฉีเห็นท่าทางเธอเช่นนี้ก็กระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วพูดว่า: “ปฏิเสธเหรอ? “ถ้าฉันไม่ยอมรับ นายจะทำอย่างไร?”
ฉีฉีหมุนตัวแล้ววิ่งหนี
มู่ยู่วฉีอยากตามไปแต่ร่างกายเขายังอ่อนแอมากอย่าได้พูดถึงวิ่งเลย แค่เดินไม่กี่ก้าวก็มีปัญหาแล้ว
เมื่อเห็นฉีฉีค่อยๆหายไปจากสายตา มู่ยู่วฉีก็โมโหและตะโกนเสียงดังว่า: “ฉีฉีหยุดนะ!”
แต่เหมือนว่าฉีฉีไม่ได้ยิน ยังคงวิ่งไป
“ฉันบอกว่าให้เธอหยุด! ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะกระโดดจากตรงนี้ลงไป!”
มู่ยู่วฉีพูดแล้วเดินไปทางหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆแล้วกำลังจะกระโดดลงไป
ฉีฉีหันกลับมาเห็น หน้าเธอซีด “มู่ยู่วฉีนายจะบ้าเหรอ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”
มู่ยู่วฉีมีท่าทีที่สิ้นหวัง เขาเอ่ย: “คุณไม่ได้รอให้ผมตายหรอกเหรอ ถึงจะได้รู้ว่าผมสำคัญกับคุณมากแค่ไหน? งั้นดีเลย ผมจะได้ไปตายเดี๋ยวนี้!”
ตัวมู่ยู่วฉีห้อยไปมาราวกับว่าจะตกลงไปได้ทุกเมื่อ
ฉีฉีรู้สึกหวาดกลัวและเป็นกังวลมากจึงรีบพูดว่า: “เลิกก่อเรื่องได้แล้ว นายรีบมานี้เลยยืนอยู่ตรงนั้นมันอันตรายนะ!”
มู่ยู่วฉีพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า: “คุณไม่ชอบผม ชีวิตผมก็ไม่มีความหมายอะไร ตายไปเลยยังดีกว่าอย่างน้อยก็ยังได้อยู่ในใจคุณ”
“ใครบอกว่าฉันไม่ชอบนาย ถ้าฉันไม่ชอบนาย จะคอยดูแลนายทุกวันไหม?”
“แต่คุณก็ดูแลรุ่นพี่คุณทุกวัน”
“กับเขา ฉันแค่รู้สึกชื่นชม แต่กับนายไม่เหมือนกัน ฉันชอบนาย!”
มู่ยู่วฉีหันไปมองฉีฉีและถามว่า: “จริงเหรอ?”
ฉีฉีพยักหน้าซ้ำๆและพูดว่า: “จริงสิ เชื่อฉันนะ นายรีบลงมาเร็วๆเถอะ”
“งั้น คุณเป็นแฟนผมนะ”
“ได้ได้ได้ นายพูดอะไรก็ทำได้หมดเลย”
“ทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหม เป็นพยานให้ฉันด้วยนะ”
สิ้นเสียง เย่ชูวเสวีย เซี่ยอันน่าและคนอื่นๆก็เดินออกมายิ้มแล้วมองไปที่ฉีฉี
ฉีฉีมึนงงกับฉากตรงหน้าและมองทุกคนอย่างงงงวยแล้วถามว่า: “เกิดอะไรขึ้น พวกเธอทำไมอยู่ที่นี่?”
ในหัวของฉีฉีคิดวกไปวนมาและเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก เธอหรี่ตามองและถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ: “พวกเธอร่วมมือกันหลอกฉันเหรอ!?”
มู่ยู่วฉีรีบอธิบาย: “พวกเขาไม่ได้หลอกคุณ แค่มีบางคนที่ยังไม่รู้เรื่องดีก็เอาไปพูดมั่ว ผมโคม่าอยู่พักหนึ่งและมันไม่ได้เกินจริงจากที่พวกเขาพูดเลย”
“แล้วเมื่อกี้นี้ทำไมคุณหมอต้องแสดงความเสียใจกับฉันด้วย?”
“ใครจะรู้ บางทีเขาอาจจะคิดว่าผมเป็นตัวซวยก็ได้ อยู่ต่อไปก็คงไม่ใช่เรื่องดี”
ฉีฉีมองเพื่อนที่อยู่รอบตัวและถามขึ้นอีกว่า: “แล้วทุกคนล่ะ ทำไมต้องซ่อนไม่ให้ฉันรู้ด้วย?”
“ผมรู้ว่าคุณจะต้องเปลี่ยนใจเลยต้องให้ทุกคนมาเป็นพยานให้กับผม ถึงคุณจะอยากเปลี่ยนใจแต่ก็เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะ”
ฉีฉีรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล เธอส่ายหน้าไปมาและพูดว่า: “นี่ยังไม่นับรวมกันกับที่พวกคุณกำลังหลอกลวงความรู้สึกของฉันนะ!”
เซี่ยอันน่าเดินเข้าไปยืนข้างๆฉีฉีแล้วพูดว่า: “ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรทุกอย่างก็เพื่ออยากให้เธอรู้ใจตัวเอง หรือว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี?”
ฉีฉีหลบมือของเซี่ยอันน่าแล้วพูดว่า; “ฉันเข้าใจความรู้สึกของฉันดี ไม่จำเป็นต้องให้พวกเธอมาช่วยฉัน”
“ในเมื่อเธอรู้ดีแล้วทำไมไม่เผชิญหน้ากับมันล่ะ?”
“เพราะ….ฉัน……เอ่อ คนที่ฉันชอบคือรุ่นพี่!”
หลังจากได้ยินประโยคนี้เย่ชูวเสวียก็ตะคอกขึ้นว่า: “นี่ยังจะใช้เขาเป็นข้ออ้างอีกหรอ? แต่น่าเสียดาย ข้ออ้างนี้มันไม่มีประโยชน์แล้ว”
“หมายความว่าอะไร?”
“พวกเราสืบมาชัดเจนแล้ว คนที่ทำร้ายเขาไม่ใช่มู่ยู่วฉี แต่เป็นเขาเองที่เล่นละคร แม้แต่ปัญหาของร้านขนมในช่วงก่อนหน้านี้ ก็เป็นฝีมือเขา จุดประสงค์ก็เพื่อจะก่อกวนฉัน อย่าไปว่าเขาเลยนะ”
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ลูกน้องมันสารภาพหมดแล้ว คนบงการก็เป็นรุ่นพี่ของเธอนั่นแหละ ถ้าไม่เชื่อเธอไปดูบันทึกการแจ้งความที่สถานีตำรวจเลยก็ได้และเขาเองก็เป็นขั้นเทพของมวยจีนเจอนักเลงกระจอกแบบนั้นแต่กลับไม่กล้าสู้ นั่นเพราะกลัวว่าคุณจะรู้อะไรเข้ายังไงล่ะ”
ฉีฉีมึนงงไปหมด ข้อมูลมากมายหลังไหลออกมาทำให้เธอรับมือไม่ทันนิดหน่อย
ในตอนนี้เธอไม่รู้ว่าควรเชื่ออะไร เธอจำเป็นต้องคิดทบทวนด้วยตัวเองให้ดี
ฉีฉีถอยหลังไปสองก้าวแล้วหันหลังเดินจากไปด้วยความหวาดหวั่น
เห็นฉีฉีเดินจากไป มู่ยู่วฉีก็เตรียมจะตามเธอไป
แต่เซี่ยอันน่ากลับรั้งมู่ยู่วฉีไว้แล้วพูดว่า: “ให้เวลาฉีฉีหน่อยละกัน ให้เธอได้คิดเรื่องนี้ดีๆ”
“ไม่อยากให้เธอคิดอยู่คนเดียว ถ้าหากเธอตกหลุมพรางอีกจะทำอย่างไร? ไม่ง่ายเลยนะที่กว่าฉันจะทำให้ฉีฉีพูดออกมาจากใจได้ ถ้าถูกรุ่นนี้พี่คนนั้นฉกไปอีกจะทำอย่างไรล่ะ?”
เย่ชูวเสวียที่ยืนอยู่ข้างๆตบไหล่มู่ยู่วฉีเบาๆแล้วพูดว่า: “วางใจเถอะสบายใจได้ เรามีจุดอ่อนของรุ่นพี่นั่นไว้ในกำมือแล้ว ครั้งนี้ไม่มีทางที่เขาจะพลิกหนีไปได้”
เซี่ยอันน่าพยักหน้าหน่อยๆแล้วพูดว่า: “อีกทั้งฉีฉีต้องเข้าใจได้ด้วยตัวเอง พวกเราไม่อาจเป็นกรอบความคิดของพวกเธอได้ตลอดเวลาหรอกนะ หนทางข้างหน้ายังต้องขึ้นอยู่กับพวกเธอเอง”
คำพูดของทั้งสองนี้ทำให้มู่ยู่วฉีใจเย็นลงไม่หุนหันพลันแล่นอีก
เห็นมู่ยู่วฉียอมฟังคำพูดของทั้งสองคน เย่ชูวเสวียก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจและกล่าวเตือนอีกครั้ง: “ ทั้งหมดนี้ นายอย่าใจร้อนก็พอ มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงฉีฉีก็เป็นของนายอยู่ดี ไปไหนไม่ได้หรอก นายเองก็เถอะ พวกเราอุส่าช่วยนายเรื่องฉีฉีแล้ว นายก็ต้องดีกับเธอ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”
มู่ยู่วฉีพยักหน้าด้วยความเกรงและพูดว่า: “ไม่ต้องห่วงฉันเรื่องนี้หรอก ฉันจะทำให้ฉีฉีมีความสุขแน่นอน”
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง——
ฉีฉีวิ่งโซซัดโซเซออกจากโรงพยาบาลไป เธอตรงไปยังโรงแรมที่อยู่ใกล้กับโรงพยาบาล
ลิฟต์เคลื่อนตัวลงมาช้ามาก ฉีฉีจึงเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้นห้าและเคาะประตูที่ห้องหนึ่ง
เมื่อรุ่นพี่เปิดประตูก็ตกใจ เห็นฉีฉีกำลังยืนหอบหายใจอยู่ จากนั้นก็กลับมามีท่าทีที่นิ่งปกติและถามว่า: “ร่างกายดีขึ้นแล้วเหรอ? หลังจากที่เธอเป็นลมพวกเขาก็ไม่ให้ฉันพบเธออีกเลย ฉันรู้นะว่าพวกเขาเป็นคนที่
ฉีฉีเม้มริมฝีปากและพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างหนักแน่นว่า: “ฉันสบายดี”
“แต่สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยดีเลยนะ เข้ามานั่งข้างในก่อนสักหน่อยเถอะ”
ขณะพูดรุ่นพี่ก็จับที่มือของฉีฉี
แต่ฉีฉีกลับสะบัดมือเขาออกและมีสีหน้าที่ซีดเล็กน้อย
“รุ่นพี่คะฉันมีเรื่องที่อยากจะถามคุณสักหน่อย”
เห็นฉีฉีมีท่าทางเช่นนี้ รุ่นพี่ก็เดาบางอย่างได้เลย
รอยยิ้มที่มุมปากที่เคยมีนั้นหายไปและรุ่นพี่ก็เอ่ยว่า: “อยากถามอะไรก่อนละ พูดมาเลย”
ฉีฉีมีคำถามมากมายที่ต้องการถามแต่เมื่อคำพูดมาถึงปากแล้วเธอกลับพูดไม่ออก
นี่คือรุ่นพี่ที่เธอไว้ใจและพึ่งพามาตลอด ถ้าเขาทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ จะทำให้ฉีฉีทนรับได้อย่างไร?
แววตาของฉีฉีสั่นไหว เธอถามดวยความหวังว่า: “ชูวเสวียบอกฉันมาเรื่องหนึ่ง เธอบอกว่า เรื่องที่รุ่นพี่บาดเจ็บ เป็นเรื่องที่พี่เล่นละครตบตา และมู่ยู่วฉีจริงๆแล้วเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร นี่ ใช่เรื่องจริงไหมคะ?”
รุ่นพี่นิ่งเงียบและไม่พูดจาอะไร
ความเงียบของเขาทำให้ภาพสะท้อนในแววตาฉีฉียิ่งหม่นหมองจนในที่สุดก็มอดสลายลง
“รุ่นพี่ตอบฉันมาเถอะ ที่พวกเขาพูดมันจริงไหม?”
“จริง”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ฉีฉีรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อใจมาโดยตลอดได้พังทลายลง
ฉีฉีแทบจะยอมรับผลของมันไม่ได้เธอขมวดคิ้วแน่นและถามว่า: “ทำไมรุ่นพี่ต้องทำอย่างนี้?”
ไม่มีรุ่นพี่ที่ยิ้มแย้มและแทบไม่น่าเชื่อว่าอีกนิดเดียวจะเป็นใบหน้าที่ร้ายกาจ
เขาเอ่ย: “เพราะมู่ยู่วฉีไม่คู่ควรกับเธอ เขาให้ชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัยกับเธอไม่ได้ เป็นแค่คนที่ทำให้เธอเอาแต่ร้องไห้และสับสนแล้วจะให้เขามายืนเคียงข้างเธอทำไม?”
“แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะมาโกหกฉันนะ! ฉันไว้ใจคุณมาก ตอนที่ฉันกำลังสับสนมากๆ เป็นคุณที่คอยช่วยเหลือฉัน แต่สุดท้ายคุณคือคนที่ทำให้ฉันสับสน มันคืออะไรกัน!”
ฉีฉีร้องแผดเสียง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำอย่างนี้
คนที่เคยสนิทกัน ถอดหน้ากากออกแล้วสวมใบหน้าอีกใบของตัวเองและนี่ทำให้ฉีฉีรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัย
ฉีฉีที่มีท่าทางเช่นนี้ทำให้รุ่นพี่รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มวางแผน เขารู้ว่าตอนที่ความจริงถูกเปิดเผย นั่นจะเป็นตอนที่ฉีฉีจะหนีห่างจากเขาไป
รุ่นพี่คิดว่าวันนี้จะไม่มีวันมาถึงเมื่อเขาได้พาฉีฉีออกจากสถานที่แห่งความผิดถูกนี้ พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
แต่ไม่นึกเลย ความฝันสุดท้ายก็คือความฝัน มันถึงเวลาที่ต้องตื่นแล้ว
รุ่นพี่อยากเอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้าของฉีฉี แต่เขารู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์อีกแล้ว
รุ่นพี่ลดมือลงและเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าว่า: “ฉันแค่ไม่อยากให้เธอเจ็บปวด เชื่อฉัน เธอและมู่ยู่วฉียู่ด้วยกันไม่มีทางมีความสุขหรอก”
ฉีฉียิ้มเยาะและพูดว่า: “จะมีความสุขหรือไม่ ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันกลับมองเห็นความจอมปลอมของคุณ คุณบอกว่าคนอื่นบงการชีวิตของฉัน แต่ไม่ใช่ว่าคุณกำลังบงการชีวิตฉันเหรอ?”
“ฉันแค่ไม่อยากให้เธอเดินทางที่ผิด”
“สำหรับฉันแล้วอะไรคือสิ่งที่ถูกและอะไรคือสิ่งที่ผิดกันล่ะ?”
คำถามของฉีฉีทำให้รุ่นพี่พูดไม่ออกไปชั่วขณะและเริ่มมีสายตาหลบเลี่ยงเมื่อตกอยู่ในที่นั่งลำบากแล้วพูดประโยคเดิมซ้ำๆ: “มู่ยู่วฉีไม่คู่ควรกับเธอ”
“รุ่นพี่คะ คนที่ไม่คู่ควรกับฉันจริงๆคือรุ่นพี่ค่ะ แต่ไหนแต่ไรพี่ไม่เคยเข้าใจฉันเลย”
“ดังนั้น การตัดสินของเธอคือมู่ยู่วฉี แม้จะอยู่ด้วยกันกับเขาแล้วเธอจะบอบช้ำไปทั้งตัว?”
ฉีฉีพยักหน้าเป็นคำตอบ
เธอและมู่ยู่วฉีพลาดโอกาสกันมานานมากแล้ว เพราะการสูญเสียที่เจ็บปวดมากนั้นก็ให้ได้อยู่ด้วยกันอย่างมั่นใจเถอะ
และไม่ใช่ว่าตัวเองตอบรับเขาไปแล้วเหรอ? ถ้ามากลับใจในตอนนี้ต้องโดนเขาพูดจ้อตายแน่เลย
เมื่อนึกได้ว่ามู่ยู่วฉียังคงมีชีวิตที่แข็งแรงดีอยู่ ใบหน้าของฉีฉีก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“จากเรื่องราวที่ผ่านมา ฉันเพิ่งรู้ว่ามู่ยู่วฉีเขาอยู่ส่วนไหนของหัวใจฉัน ฉันไม่อยากเสียเขาไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉีฉีสีหน้าของรุ่นพี่ก็หม่นหมองลง
ในที่สุดเขาก็แพ้แล้ว
สาวน้อยไร้เดียงสาคนนั้นสุดท้ายก็ไม่ได้เป็นของเขา แม้ว่าเขาจะขัดความรู้สึกคิดทำเรื่องที่ไม่ชอบ แต่เขาก็ยังคงเปลี่ยนตอนจบไม่ได้
รุ่นพี่ในตอนนี้ตกอยู่ในความผิดหวัง เขาถอนหายใจเบาๆและพูดว่า: “โอเค ฉันเคารพในการเลือกของเธอ ครั้งนี้ ฉันต้องเปลี่ยนมาพูดแล้วว่า ขอโทษนะ เพราะการที่คิดว่ามันถูกต้องของฉันมันทำให้เธอเจ็บปวด ฉันขอโทษจริงๆ”
คำขอโทษของรุ่นพี่ทำให้ฉีฉีรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
เรื่องทุกอย่างจบลงแล้วแต่รุ่นพี่กลับปล่อยวางได้เพียงนิดเดียว
รอยยิ้มบนใบหน้ายกขึ้นอีกครั้งและรุ่นพี่พูดว่า: “ไม่มีความลับอะไรในใจแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย รู้สึกว่าข้าวเย็นวันนี้คงทานได้เยอะขึ้นแน่เลย”
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ฉีฉีเม้มปากแน่นและไม่มีรอยยิ้มปรากฏออกมา
“ฉีฉี”
“หืม?”
“หลังจากนี้พวกเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหม?”
ฉีฉีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเงยมองรุ่นพี่และพูดว่า: “คุณเป็นรุ่นพี่ของฉันและจะเป็นเช่นนั้นเสมอ”
“เป็นได้แค่รุ่นพี่ ใช่ไหม?”
ฉีฉีได้ยินคำพูดนั้นก็พยักหน้า
รุ่นพี่ยิ้มบางๆแล้วพูดว่า: “ปิดเทอมนี้ เหมือนได้ฝันในเรื่องที่ไม่สมจริง ตอนนี้ได้ตื่นขึ้นแล้วฉันก็ควรกลับไป เธอล่ะจะอยู่ต่อใช่ไหม?”
“ใช่”
“งั้นคุณอากับคุณน้าล่ะ เธอจะบอกความจริงกับพวกเขาไหม?”
“บอกสิ ไม่ช้าหรือเร็วพวกเขาก็ต้องรู้”
“เชื่อว่าในวันนั้นที่พวกเขารู้ต้องมีความวุ่นวายรอเธออยู่แน่นอน”
ไม่ใช่แค่ความวุ่นวายหรอกนะ มันถึงขั้นวิกฤตเลยแหละ!
เมื่อนึกถึงภาพนั้นแล้วฉีฉีก็รู้สึกปวดหัวมาเลยล่ะ
“ไหนจะยังต้องคอยระวังคนเหล่านั้นที่อยู่รอบข้างเธอแล้วเธออย่าเชื่อคำพูดของคนอื่นล่ะ คนที่แสดงเก่งอย่างฉันมีไม่น้อยเลยนะ”
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ฉีฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หมายความว่าอย่างไร?”
สายตารุ่นพี่มองเหม่อไกลออกไป เขามองไปยังที่ไกลๆแล้วพูดว่า: “คนที่โกหกเธอไม่ได้มีแค่ฉัน ยังมีที่เรียกว่าเพื่อนเหล่านั้นของคุณด้วย”
อะไรนะ!?
“มู่ยู่วฉีได้รับบาดเจ็บและเข้ารักษาในโรงพยาบาลจริงๆและไม่ได้โกหกแต่อย่างใด แต่อาการบาดเจ็บของเขาเห็นๆอยู่ว่าไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ทำไมเพื่อนของเธอไม่มีใครบอกอะไรเธอเลยล่ะ? ไม่ใช่แค่ไม่พูด แต่กลับมองดูเธอเสียใจแทบขาดใจเพราะมู่ยู่วฉีแล้วเรื่องนี้มันคืออะไรกัน?”
ฉีฉีก้มหน้าลงและเอ่ยด้วยแววตาสั่นไหว: “พวกเขา…อาจจะลำบากใจที่จะพูดก็ได้’
รุ่นพี่พูดเสียงแข็งและแสยะยิ้ม: “ความลำบากใจของพวกเขาก็คือช่วยมู่ยู่วฉีเคลียร์ปัญหากับคุณ เห็นๆเลยว่าคุณจะมีความสุขหรือไม่มันไม่สำคัญเลยแค่มู่ยู่วฉีมีความสุขก็พอ และแม้ฉันจะปิดบังความจริงเรื่องที่ฉันชกมวยจีนได้ แต่พวกเพื่อนเธอรู้แน่นอน ไม่อย่างนั้นวันนั้นก็คงไม่มีพวกว่างงานมาคอยจับผิดหรอกและฉันก็เลยต่อยไปเพื่อปิดบังความลับ”
สีหน้าฉีฉีค่อยๆกลายเป็นความว่างเปล่าและได้ถามว่า: “รุ่นพี่หมายถึงว่ามีใครบางคนจงใจทำให้เกิดเรื่องในคืนนั้น?”
“ใช่ ถ้าไม่เชื่อคำพูดฉันก็ไปเช็กเองได้เลย ถ้าเธอลงมือเร็วหน่อย อาจเจออะไรบางอย่างก่อนที่พวกเขาจะทำลายหลักฐานก็ได้”
เมื่อสิ้นเสียง ฉีฉีเงียบอยู่นานไม่ได้พูดอะไรออกมา แววตามีความไหววูบไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อจ้องมองไปที่ฉีฉี รุ่นพี่ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นแล้วพูดไปว่า: “ฉีฉี สิ่งที่ฉันพูดไม่ได้หมายความว่าจะยุให้ทะเลาะกันนะ แค่หวังว่าเธอจะไม่ถูกการกระทำและความคิดของคนอื่นมาบังตาเอา เธอบอกว่าเธออยากเลือกด้วยตัวเอง ถ้างั้นก็หนีจากสิ่งเร้ารอบกายแล้วลองคิดดีๆเถอะ”
ฉีฉีพยักหน้าช้าๆด้วยสายตาเหม่อลอยแล้วพูดว่า: “นั่นสิ ฉันควรจะลองคิดดูดีๆ’
……
มู่ยู่วฉีเชื่อว่าฉีฉีจะนึกออกได้ด้วยตัวเองและกลับมาหาตัวเองอย่างว่าง่าย
หลังจากที่เขาไล่มานานในที่สุดก็จะได้รักกับคนที่ชอบเสียที
แต่รอแล้วรออีก มู่ยู่วฉีก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรและภายในใจยิ่งรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่อยากรออีกต่อไปจึงโทรหาฉีฉีแต่กลับพบว่าโทรศัพท์ของเธอปิด
ตอนนี้มู่ยู่วฉีรู้สึกหวาดกลัว
มู่ยู่วฉีลุกขึ้นมาจากเตียงผู้ป่วยและคลุมเสื้อโค้ทเตรียมเดินออกไป
เซี่ยอันน่าและคนอื่นๆกำลังมาเยี่ยมเขาพอดีเห็นมู่ยู่วฉีกำลังจะเดินไปจึงรีบถามขึ้น: “นายกำลังจะทำอะไร?”
มู่ยู่วฉีในตอนนี้บ้าคลั่งมาก เขามองผู้คนด้วยตาแดงกล่ำและเอ่ยถามว่า: “พวกเธอบอกว่าฉีฉีจะไม่ถูกลักพาตัวไม่ใช่เหรอ งั้นแล้วเธอล่ะ!?”
การตั้งคำถามที่ออกมาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ทุกคนมึนงงแต่ไม่นานก็ถามขึ้นว่า: “หมายความว่าอะไร ฉีฉียังไม่กลับมาเหรอ?”
“ใช่ ข่าวคราวอะไรก็ไม่มี!”
คำตอบนี้ทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป เซี่ยอันน่าถึงกับจับคอเสื้อมู่ยู่วฉีไว้แน่นและถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด: “ไม่มีใครมาแล้วทำไมนายไม่ทำอะไรเลยล่ะ พวกเราคิดว่าฉีฉีกับนายอยู่ด้วยกันแล้วซะอีก!”
“จะโทษฉันเรื่องนี้เหรอ? พวกเธอต้องการให้ฉันตั้งสติและรออย่างใจเย็นนะ”
“งั้นนายก็ต้องใช้สมองในการรอหน่อยเถอะ นี่ไม่เห็นฉีฉีมาสองวันแล้ว นายไม่คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกหน่อยเหรอ?”
แน่ล่ะว่ามู่ยู่วฉีรู้สึกแปลกๆแต่เมื่อต้องเจอหน้ากับฉีฉี ไอคิวของเขามักจะแย่ลงเอามากๆ
เห็นสีหน้ามู่ยู่วฉีที่ปัญญาอ่อนแล้วเซี่ยอันน่าก็ไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระกับเขาอีก เธอหันกลับมาพูดกับคนอื่นๆว่า: “ไปกันเถอะ ตอนนี้ต้องไปหารุ่นพี่ของฉีฉี ไปดูหน่อยว่ารู้อะไรบ้างไหม”
มู่ยู่วฉีก็จะตามไปด้วยแต่คุณหมอกลับดึงเขาไว้และบอกว่าสภาพเขาไม่เหมาะที่จะออกจากโรงพยาบาล
ตอนมู่ยู่วฉีและคุณหมอกำลังมีปัญหากัน เซี่ยอันน่าและคนอื่นๆก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ลานจอดรถและมุ่งหน้าไปที่โรงแรมแล้ว
ขณะเดียวกันรุ่นพี่ก็ยังไม่ได้ไปไหน เขากำลังเก็บของทั้งหมดและรอเวลาไปเช็คเอาท์
อยู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าชุลมุนอยู่นอกประตูและมีคนผลักประตูเข้ามาอย่างแรงแล้วเข้ามายืนล้อมรอบตัวรุ่นพี่ให้อยู่ตรงกลางอย่างกับท่าทางของการสอบสวน
รุ่นพี่เงยหน้ามองทุกคนด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยมากและรอให้พวกเขาเริ่มพูดอย่างเงียบๆ
เย่ชูวเสวียเห็นผู้ชายคนนี้ไม่ถูกชะตาด้วยมานานแล้วและในตอนนี้ยิ่งเกลียดที่ไม่อาจใช้บทลงโทษทรมาณกับเขาได้
เย่ชูวเสวียตบลงที่โต๊ะและถามอย่างห้วนๆ: “ฉีฉีล่ะ?”
รุ่นพี่จิบชาอย่างสบายใจและพูดอย่างใจเย็นว่า: “ฉันไม่รู้”
“เฮอะ อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย เธอมาหานายแย่ๆ”
รุ่นพี่วางแก้วลงแล้วพูดว่า: “เธอมาหาฉันจริงๆ แต่คุยแปปเดียวก็ไป ถ้าไม่เชื่อ พวกเธอไปตรวจดูการดูแลของโรงแรมได้เลย’
“นายกับฉีฉีคุยอะไรกัน?”
“ความจริง”
“ความจริงอะไร?”
รุ่นพี่เงยหน้ามองทุกคนและพูดอย่างใจเย็นว่า: “ทุกอย่างที่พวกเธออยากให้เธอรู้และไม่อยากให้รู้”
คำพูดนี้ทำให้เย่ชูวเสวียกัดฟันกราม
“ฉันจะบอกให้นะไอ้บ้านี้มันคือตัวทำลาย มันต้องพูดเรื่องไร้สาระกับฉีฉีแน่!”
“แต่เรื่องทุกอย่างที่ฉันพูดคือเรื่องจริง”
“เรื่องจริงที่มั่วๆน่ะสิ นั่นเพราะนายอยากให้ยิ่งวุ่นยิ่งดีต่างหาก วันนี้ฉันต้องสั่งสอนเขาสักหน่อยแล้ว!”
พูดแล้ว เย่ชูวเสวียก็ง้างหมัดจะต่อยรุ่นพี่
เซี่ยอันน่าดึงเธอไว้ก่อนแล้วพูดอย่างจริงจังว่า: “ช่างเถอะ พวกเราไปหาฉีฉีก่อนเถอะ’
เย่ชูวเสวียระเบิดความโมโหออกมา “หายังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ไหน! แล้วตอนนี้จะกลับไปบอกมู่ยู่วฉีว่ายังไง? โธ่เอ้ย น่ารำคาญชะมัด!”
รุ่นพี่ยกมือขึ้นดูเวลา เขาลุกขึ้นคว้าเอากระเป๋าเดินทางของตัวเอง แล้วพูดว่า: “ก่อนไปเถอะ ฉันจะแนะนำพวกเธอสักหน่อยนะ อย่าไปรบกวนฉีฉีเลยให้เธอได้คิดทบทวนเองดีๆ บางทีเธออาจจะคิดออกได้เองแล้วก็คงกลับมาแหละ’
“แล้วถ้าคิดไม่ออกล่ะ?”
“เชื่อความสามารถของฉีฉีแล้วชีวิตจะมีความสุขสักครั้ง”
เย่ชูวเสวียมองเหยียดรุ่นพี่และพูดว่า: “พูดก็เหมือนกับไม่พูด!”
“อยากฟังหรือไม่ก็อยู่ที่พวกเธอ ฉันต้องไปแล้ว”
“มาทำให้ชีวิตของพวกเราพังแล้วนายก็จะไปงั้นเหรอ?”
“คนที่ทำให้ชีวิตพังจริงๆคือพวกเธอเอง ฉันแค่หมากเล็กๆคนหนึ่งที่เดินผ่านเข้ามาแค่นั้น จะไปมีปัญญาอะไรทำให้ชีวิตพวกเธอพังได้?”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ
รุ่นพี่ฉวยโอกาสในตอนที่ทุกคนกำลังงุนงงผลักประตูเดินออกไป
เสียงปิดประตูทำให้เย่ชูวเสวียตื่นจากภวังค์
“ให้ตายเถอะ เขาต้องรู้ที่อยู่ของฉีฉีแน่!”
เย่ชูวเสวียจะเดินตามไปแต่เซี่ยอันน่ากลับพูดว่า: “ไม่ต้องไปแล้ว เขาไม่รู้หรอก’
“เธอแน่ใจได้ยังไง?”
“ดูจากสถานการณ์ ทั้งสองคงเผยหมดทุกอย่าง แล้วด้วยนิสัยฉีฉีก็คงไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับรุ่นพี่อีกแล้วหรอก”
“เขาไม่รู้แล้วเราจะไปหาฉีฉีได้ที่ไหน? ยัยบ้านั่นก็จริงๆเลย หายตัวไปแบบนี้ได้ยังไ!”
เย่ชู่วเสวียทั้งร้อนใจทั้งโมโห ไม่อยากจะสนอะไรแล้วจริงๆ
เซี่ยอันน่าถอนหายใจยาวและพูดว่า: “กลับไปค่อยว่ากันเถอะ”
เมื่อพากันกลับมาที่โรงพยาบาลกลับพบว่ามู่ยู่วฉีไม่ได้อยู่ในห้องผู้ป่วย
เย่ชูวเสวียจึงคว้าพยาบาลคนหนึ่งไว้ แล้วถามว่า: “คนป่วยในห้องล่ะ?”
“ไม่อยู่เหรอคะ? เมื่อกี้ยังอยู่ในนี้เลย”
เซี่ยอันน่าขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นเธอมองไปเสียวอวี้หลินและหนานกงเจา แล้วถามว่า: “พวกนายใครได้ติดต่อกับมู่ยู่วฉีบ้าง?”
หนานกงเจาส่ายหัวแล้วพูดว่า: “เมื่อเช้านี้ฉันเห็นมู่ยู่วฉีอยู่นะ”
“แล้วนายล่ะ?”
ภายใต้แรงกดดันของเซี่ยอันน่า เสี่ยวอวี้หลินยิ้มแห้งด้วยความรู้สึกผิดแล้วพูดว่า: “ฉันได้รับสายจากมู่ยู่วฉี”
เซี่ยอันน่าอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงสูงและถามว่า: “นายพูดอะไรกันกับเขา?”
“จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีอะไร ก็แค่…..”เสี่ยวอวี้หลินหลับตาปี๋แล้วพูดว่า “เขาให้ฉันบอกทุกอย่างที่ฉันรู้!”
ไอ้บ้านี่…….
เซี่ยอันน่าอดไม่ได้ที่จะเขกหัวเสี่ยวอวี้หลินและรีบพูดว่า: “นายมันบ้า ทำไมนายไม่รู้จักอยู่นิ่งๆ ถ้ามู่ยู่วฉีรู้แล้วจะซวยเอา นายดูตอนนี้สิไม่มีใครเห็นแล้วเนี้ย!”
MANGA DISCUSSION