ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 160 การหลอมรวมความคิด
เธอรีบลงไปที่ชั้นล่างและเห็นเขายืนอยู่ที่ล็อบบี้ในชุดสูทสีขาว แสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าฉายมากระทบจากทางเบื้องหลังจนทำให้ผู้ชายคนนี้เหมือนก้าวออกมาจากรัศมีที่โชติช่วง เธอไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมผู้ชาย แต่ต้องพูดตามตรงว่าผู้ชายตระกูลเฉินมีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามกันทุกคน
“คุณมาได้ยังไงคะ”
เธอหันไปมองเพื่อนร่วมงานที่มุงดูอยู่รอบๆ อย่างสนใจด้วยสายตาที่อึดอัดเล็กน้อย ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีหัวข้อซุบซิบนินทาหัวข้อใหม่จากคนพวกนี้อีกหรือเปล่า
“ผมมาสร้างความยุ่งยากให้คุณหรือเปล่าครับ พอดีผมผ่านมาทางนี้ก็เลยอยากจะมาดูว่าคุณแก้ไขเอกสารไปถึงไหนแล้ว พรุ่งนี้คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งไปวิ่งมาอีก”
คำพูดที่อ่อนโยนกว่าปกติและรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากของเฉินจิ้นถงทำให้ความอึดอัดของเฉียวชูเฉี่ยนมลายหายไปอย่างรวดเร็ว เขามาเพราะเรื่องงาน ถ้าเธอคิดว่ามีเหตุผลอื่นซ่อนเร้น คนอื่นก็คงจะคิดแบบนั้นได้เหมือนกัน
เธอยืดหลังตรงและพูดอย่างเป็นทางการว่า “แก้ใกล้เสร็จแล้วค่ะ งั้นไปที่ห้องทำงานของฉันไหมคะ หรือว่าจะให้ฉันเอาลงมาให้ดี”
“คุณสะดวกหรือเปล่า”
เฉินจิ้นถงยิ้มน้อยๆ พลางมองผู้คนที่อยู่รอบๆ ดูเหมือนเขาจะใส่ใจเธอเป็นพิเศษ
“ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมนี่คะ แล้วตอนนี้ก็ยังอยู่ในเวลางานด้วย”
พูดจบเธอก็ผายมือเชิญให้เขาขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน
“ฉันแก้ไขเนื้อหาในเอกสารตามที่ได้หารือกับรองประธานเฉินไปครั้งก่อนแล้วค่ะ คุณลองอ่านดูนะคะว่ามีจุดไหนที่ยังไม่โอเคหรือเปล่า ฉันจะแก้ไขให้ทันที”
เฉียวชูเฉี่ยนส่งสำเนาเอกสารที่เธอแก้ไขตลอดช่วงเช้าให้และนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขา เธอไม่ได้ตั้งใจจะรักษาระยะห่าง แต่จิตใต้สำนึกทำให้เธอเหลือที่ว่างระหว่างกันไว้โดยอัตโนมัติ
เฉินจิ้นถงฉีกยิ้มแล้วก้มหน้าอ่านเอกสารในมือ สีหน้าแววตาค่อยๆ ปรากฏความพึงพอใจ “เยี่ยมมากเลยครับ ผมคิดว่าการร่วมงานของพวกเราจะต้องไปได้สวยมากแน่ๆ”
“เฟิงฉิงกำลังเริ่มถ่ายละครฟอร์มยัก ตอนนี้พี่ไม่อยู่ ผมเลยวางแผนว่าจะไปดูงานที่โรงถ่ายละครสักสองสามวัน หากไม่มีอะไรผิดพลาดโครงการนี้คงเป็นโครงการแรกที่เฟิงฉิงกับ Q&C ได้ร่วมมือกัน ผมหวังว่าคุณจะไปดูงานที่โรงถ่ายด้วยกันได้นะครับ ถึงตอนนั้นผู้กำกับกับทีมงานหลักคงจะอยู่ที่นั่นแล้ว คุณจะได้ลองฟังความคิดเห็นของพวกเขาด้วย”
“…”
“คุณลำบากใจหรือเปล่าครับ ผมก็แค่อยากเสนอมาให้พิจารณาเพราะเห็นว่าถ้าทำได้ก็จะเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย การทำงานร่วมกันจริงๆ หลังจากนี้จะได้เป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้นเพราะเรามีการหลอมรวมกันทางความคิด”
เมื่อเห็นว่าเธอลังเลที่จะตัดสินใจ นอกจากจะไม่เซ้าซี้เขายังเอ่ยต่อไปด้วยท่าทีเกรงใจว่า “แต่ว่าถ้าคุณไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ ยังไงคราวหน้าก็ยังโทรติดต่อได้เสมอ”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ ขอเวลาฉันคิดก่อนแล้วค่อยให้คำตอบคุณได้ไหมคะ”
ตอนนี้เธอเป็นเหมือนแม่ไก่ที่อยากดูแลลูกเจี๊ยบตัวน้อยๆ ของเธอ ถ้ามีทางเลือกเธอก็ไม่อยากจะไปที่อื่นนานสองสามวันเลยจริงๆ แต่เขาพูดมาขนาดนี้แล้ว ถ้าเธอบอกไปตามความจริงก็จะดูไม่เป็นมืออาชีพนัก
“ไม่มีปัญหาครับ ความจริงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร ถึงอย่างไรก็ต้องรอให้ถึงต้นเดือนหน้าก่อนอยู่ดี คุณค่อยๆ คิดก็ได้ ถึงตอนนั้นค่อยโทรมาบอกผม แล้วผมจะให้เลขาจัดการเรื่องการเดินทางให้”
“โอเคค่ะ ถ้าตัดสินใจได้แล้วฉันจะรีบให้คำตอบคุณนะคะ”
“เอ้อ จริงด้วย
เฉินจิ้นถงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เฉียวชูเฉี่ยนเพิ่งนึกได้ว่าเธอสัญญาว่าสัปดาห์นี้จะพาจิ่งเหยียนไปเยี่ยมท่านผู้หญิงที่คฤหาสน์หลังเก่า
“ไม่มีปัญหาค่ะ วันเสาร์นี้ฉันจะพาลูกไปเยี่ยมคุณย่า”
โชคดีที่เฉินเป่ยชวนยังไม่กลับมาจากต่างประเทศ เวลาเธอพาจิ่งเหยียนไปที่คฤหาสน์เก่าจะได้ไม่ต้องอึดอัดมากนัก
“แล้วเราจะรอพวกคุณนะครับ นี่ก็ใกล้เลิกงานแล้ว คุณสนใจไปทานอาหารเย็นด้วยกันไหม”
เฉินจิ้นถงชี้นิ้วไปที่นาฬิกาข้อมือพลางถามด้วยรอยยิ้ม เฉียวชูเฉี่ยนพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองปฏิเสธเขาเร็วเกินไป “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต้องไปรับลูก”
“งั้นผมไปก่อนนะ”
เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าคำตอบจะต้องออกมามาในรูปนี้ แต่เขาก็เชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะไม่ได้ยินคำปฏิเสธเช่นนี้อีกต่อไป
หลังจากเดินไปส่งเฉินจิ้นถง เฉียวชูเฉี่ยนก็เก็บกระเป๋าเตรียมเลิกงาน พอออกไปจากห้องก็ได้ยินเรื่องซุบซิบเรื่องใหม่ คราวนี้เธอกลายเป็นหญิงสาวที่ไปยั่วยวนทั้งพี่ทั้งน้อง เธอยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าในหัวของคนพวกนี้มีอะไรอยู่บ้าง เธอกับเฉินจิ้นถงไม่ใช่คนที่อยู่ในระดับเดียวกันเลยด้วยซ้ำ
เธอไปรับจิ่งเหยียนที่โรงเรียนและตั้งใจมองไปยังบริเวณที่จอดรถใกล้ๆ พอเห็นรถสีดำคันนั้น ใจที่ผ่อนคลายก็กลับเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง “จิ่งเหยียน ถ้าหนูรู้สึกว่ามีใครสะกดรอยตาม หนูต้องรีบบอกหม่ามี๊ทันทีเลยนะ”
เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เธอไม่อยากให้มันเกิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง
“ผมรู้แล้วฮะหม่ามี๊ ยิ่งโตความกล้าของหม๊ามี๊ยิ่งน้อยลงนะฮะ”
เฉียวจิ่งเหยียนพูดแล้วแบะปาก แต่เขากลับกอดแขนของเธอไว้อย่างแนบชิด ทำให้เธอรับรู้ถึงตัวตนของเขาอย่างชัดเจน
“จิ่งเหยียนของหม่ามี๊ยิ่งโตก็ยิ่งรู้จักคิด”
เธอสตาร์ทรถด้วยรอยยิ้ม หางตาเหลือบมองไปที่รถคันนั้นโดยอัตโนมัติ รอจนรถของเธอใกล้จะเลี้ยวรถคันนั้นจึงจะเคลื่อนตัวออกมา
เมื่อกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ เหยียนสือเซี่ยก็หลุดจากการจำศีลเรียบร้อย ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังลุกขึ้นมาทำอาหารรอให้สองแม่ลูกกลับมากินด้วยกันอย่างเพลิดเพลินซึ่งนานๆ ทีจะได้เห็นอะไรแบบนี้ อาหารอร่อยๆ ทำให้คนกินรู้สึกเจริญอาหาร เจ้าตัวน้อยกินอิ่มจนเรอแล้วก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอกับถังอี้…”
เฉียวชูเฉี่ยนที่กินข้าวจนอิ่มแปล้ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วถามอย่างอยากรู้ หลังจากกลับมาเมื่อคืนเพื่อนของเธอก็ดูไม่ค่อยปกติ มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับถังอี้แน่ๆ
“ฉันกับเขาไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยจริงๆ”
เหยียนสือเซี่ยพูดจบก็รู้ตัวว่าตนเองปฏิเสธออกไปอย่างค่อนข้างจะร้อนตัว เธอกังวลเล็กน้อยที่โกหก แล้วใบหน้าก็แดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอยังหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เธอก็เสียจูบแรกไปแล้ว
จูบแรกของสาววัยสามสิบมีค่ามากกว่าจูบของเด็กสาวอายุสิบแปดปีเพราะเธอเสียเวลาไปมากกับการรอคอยคนที่คู่ควร แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าคนที่เธอรอกลับกลายเป็นไอ้คนกากเดนนั่น
ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงวันนี้มีเพียงคำเดียวที่สามารถอธิบายความรู้สึกของเธอได้ นั่นก็คำว่าเลวร้าย!
ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าสุดท้ายคนที่จะได้จูบแรกของเธอไปคือถังอี้ ทำไมเธอถึงไม่หาเด็กหนุ่มสักคนสองคนมาจูบเธอตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นสาวน้อยวัยใสนะ
เลวร้ายสุดๆ!
“ที่จริงถังอี้เขาก็ดูโอเคดีนะ”
ก่อนหน้านี้เธอยังคิดว่าถังอี้เป็นเพลย์บอยที่เชื่อถือไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนประเภทที่ผู้หญิงจะไว้ใจได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับจิ่งเหยียนทำให้เธอมองเขาเปลี่ยนไปมาก
ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีใครบอกได้ด้วยว่าโชคชะตาในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
“เลิกพูดถึงเขาได้ไหม คุยเรื่องอื่นดีกว่า”
เหยียนสือเซี่ยแทบจะยื่นมือออกไปปิดปากของเธอไว้ สิ่งสุดท้ายที่เธออยากได้ยินตอนนี้ก็คือชื่อของถังอี้
“ก็ได้… ไม่พูดก็ไม่พูด เอ้อ วันนี้ตอนที่ไปรับไปส่งจิ่งเหยียน ฉันเห็นว่ามีรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ โรงเรียนตลอดเลย ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยเห็น เธอคิดว่า…”