ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 621 การเรียน (ต้น)
สี่เอ๋อร์ยังไม่มา แต่สะใภ้หนานหย่งกลับมาถึงก่อน
“เกิดอะไรขึ้น” นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่ย้ายออกไปอยู่ลานข้างนอก หากไม่มีเรื่องอันใดสะใภ้หนานหย่งจะไม่เข้ามาหาตน นางจึงประหลาดใจ ไล่สาวใช้ออกไปแล้วถามสะใภ้หนานหย่งเสียงเบา
“เมื่อครู่คุณชายน้อยห้าไปหาบ่าวเจ้าค่ะ ไปถามเรื่องตอนที่เขายังเด็ก…” สะใภ้หนานหย่งพูดด้วยท่าทีที่ไม่สบายใจ
ฮูหยินบอกให้นางคอยสังเกตพฤกรรมของสวีซื่อเจี้ย เพราะกลัวว่าคุณชายน้อยห้าอยู่ลานข้างนอก หากถูกคนรังแกจะได้มีคนมารายงานนาง แต่ไม่ได้ให้นางพูดอะไรเหลวไหล ถึงแม้ว่าคำพูดของนางวันนี้คือเจตนาที่ดี แต่ว่านางทำเกินหน้าที่ หากฮูหยินรู้เข้า ไม่รู้ว่าฮูหยินจะตำหนิตัวเองหรือไม่ แต่เมื่อคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์แม่ลูกของฮูหยินและคุณชายน้อยห้า นางก็กัดฟันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงตกใจ นึกถึงพฤติกรรมผิดปกติของสวีซื่อเจี้ยเมื่อครู่ นางก็รู้สึกเศร้าโศก
นางหาโอกาสเหมาะสมที่จะเล่าเรื่องตอนนั้นให้สวีซื่อเจี้ยฟังไม่ได้สักที คิดไม่ถึงว่าสะใภ้หนานหย่งจะช่วยนางจัดการเรื่องนี้แล้ว
ตอนแรกนางถูกชะตากับสะใภ้หนานหย่ง ไม่ใช่เพราะว่าสะใภ้หนานหย่งเป็นคนซื่อสัตย์และจงรักภักดี แต่เพราะสะใภ้หนานหย่งซื่อสัตย์ต่อผู้คนและเรื่องราวต่างๆ นางหวังว่าสวีซื่อเจี้ยจะได้รับอิทธิพลจากสะใภ้หนานหย่ง ให้เขาได้มีชีวิตที่สงบสุข ตอนนี้ดูเหมือนว่า สิ่งที่นางเลือกคือสิ่งที่ถูกต้อง หากไม่ใช่เพราะว่าสะใภ้หนานหย่งจริงใจกับสวีซื่อเจี้ย สวีซื่อเจี้ยคงไม่มีทางนึกถึงสะใภ้หนานหย่งเป็นคนแรกในตอนที่เขาไม่สบายใจ และสะใภ้หนานหย่งก็ไม่มีทางปลอบใจสวีซื่อเจี้ยเช่นนี้ สวีซื่อเจี้ยก็ไม่มีทางคิดได้เร็วขนาดนี้…
“โชคดีที่มีเจ้าคอยสั่งสอนเขา” สืออีเหนียงเห็นว่าสะใภ้หนานหย่งไม่สบายใจ นางจึงพูดว่า “ข้ากำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน!” พูดจบ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่สวีลิ่งอี๋จะให้สวีซื่อเจี้ยจุดธูปให้ถงซื่อตอนขึ้นปีใหม่ให้สะใภ้หนานหย่งฟัง “เมื่อก่อนข้าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้จู่ๆ จะให้เขายอมรับถงซื่อ ข้ากลัวว่าเขาจะรับไม่ได้ อยากจะบอกเขาก่อน แต่ก็กลัวว่าเขาจะถามเรื่องในอดีต…เจ้าพูดเช่นนี้ เขาจะได้สบายใจ เรื่องบางเรื่อง ข้าจะได้เล่าให้เขาฟังตามความจริง”
สะใภ้หนานหย่งได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มบาง แต่มันกลับมลายหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีความกังวลขึ้นมาแทน
เช่นนี้ แบ่งแยกบุตรอนุภรรยาและบุตรภรรยาเอกอย่างชัดเจน คนในจวนรู้ท่าทีของท่านโหว เรื่องบางเรื่อง เกรงว่าตัวเองและฮูหยินก็คงจะห้ามไม่ได้ ถึงตอนนั้นสถานการณ์ของสวีซื่อเจี้ยคงจะลำบากมากกว่าตอนนี้เสียอีก!
แต่พอคิดๆ ดูแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
คนเราต้องรู้ว่าตัวเองเป็นเช่นไร ถึงจะรู้ว่าตัวเองมีความสามารถมากแค่ไหน แล้วทำอะไรได้บ้าง!
ถ้าอย่างนั้น คุณชายน้อยห้าจะได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขของตัวเอง
สีหน้าของนางผ่อนคลายลง พูดอย่างอ้อมค้อม “ประเดี๋ยวก็จะปีใหม่แล้ว แต่ละสกุลนำของขวัญปีใหม่มาให้ ผู้ดูแลหญิงก็จะมาคารวะท่าน คุณชายน้อยสี่เองก็มีแขกที่ต้องต้อนรับ ถึงตอนนั้นเกรงว่าในจวนคงจะยุ่งจนไม่มีเวลาแม้แต่จะจิบชากระมังเจ้าคะ”
ผู้ดูแลเข้ามาคารวะสืออีเหนียง แน่นอนว่าต้องนำของขวัญที่นำมาให้เด็กๆ เพราะว่าสวีซื่อเจี้ยอยู่ที่เรือนของสืออีเหนียง ของที่เขาได้รับก็เหมือนสวีซื่อจุนตลอด และขึ้นปีใหม่ หากสวีซื่อจุนจัดงานเลี้ยงที่เรือน แน่นอนว่าต้องเชิญพี่น้องของตัวเองไปร่วมงานด้วย สวีซื่ออวี้โตแล้ว เขาไม่ค่อยชื่นชอบงานเลี้ยงพวกนี้อยู่แล้ว เขาไม่ไปแน่นอน หากไม่พูดกับสวีซื่อเจี้ยให้ชัดเจน หากสวีซื่อเจี้ยไปร่วมงานโดยที่ไม่รู้อะไร เกิดเรื่องที่เหมือนเรื่องของโต้วจิ้งขึ้นอีก ไม่ต้องบอกว่าทำให้สกุลสวีอับอายขายขี้หน้า แต่มันคือการทำร้ายสวีซื่อเจี้ย เพราะทุกคนล้วนแต่หวังว่าตัวเองจะเป็นที่รักของคนอื่น
สืออีเหนียงครุ่นคิด
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมา นางก็ปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ “หรือว่า ข้าเล่าให้เขาฟังดีหรือไม่เจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋คิดว่าสืออีเหนียงคิดมากเกินไป เขาพูดว่า “ได้สิ” แบบส่งๆ จากนั้นก็ถามถึงเรื่องงานเลี้ยงนายหญิงเซี่ยงในวันพรุ่งนี้ “มาทั้งหมดกี่คน”
“โต๊ะของแขกผู้ชายสองโต๊ะ โต๊ะของแขกผู้หญิงหนึ่งโต๊ะเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินมาว่าท่านลุงที่มอบน้ำแร่ให้เซี่ยงซื่อก็จะมาด้วย!”
“เช่นนั้นข้าต้องเตรียมชาดีๆ เอาไว้ให้เขา” สวีลิ่งอี๋พูด จากนั้นเซี่ยงซื่อก็มารับใช้สืออีเหนียงทานอาหารเย็น
“ไม่จำเป็นต้องรับใช้ข้าทานอาหารเย็น” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปเจ้าทานอาหารเย็นที่เรือนของเจ้าเถิด ไปคารวะไท่ฮูหยินกับข้าก็พอแล้ว”
เซี่ยงซื่อฟังแล้วก็แปลกใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไปเถิด! ฤดูหนาวข้ามักจะไปยามโหย่วสามเค่อ ฤดูร้อนมักจะไปยามโหย่วพอดี เจ้ามาหาข้ายามนั้นก็ได้!”
เซี่ยงซื่อเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร นางจึงย่อเข่าคำนับแล้วขอตัวออกไป
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “แม้แต่ลูกสะใภ้ก็ไม่ให้มารับใช้เช่นนั้นหรือ!”
“พูดคุยอะไรกันก็ไม่ค่อยสะดวกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ไม่อยากทำให้ทุกคนอึดอัด”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร สืออีเหนียงบอกให้คนนำจิ่นเกอที่กำลังเล่นกับเซินเกอที่สวนดอกไม้หลังจวนกลับมา จากนั้นก็บอกให้สาวใช้จัดอาหาร
จิ่นเกอทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวไปสองชาม แล้วยังบอกให้ตักชามที่สาม สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะถามเขา “ยามเที่ยงเจ้าทานอะไรมา”
“ทานนกกระทาทอดขอรับ” จิ่นเกอพูด แล้วยังทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวไปอีก
สวีลิ่งอี๋หันไปมองไปสืออีเหนียง
สืออีเหนียงคีบถั่วงอกในน้ำแกงถั่วงอกหมูลงในชามจิ่นเกอ พลางพูดอย่างเอือมระอา “ยามเที่ยงทำตับเป็ดผัดขี้เมา ไข่ตุ๋นและปลาจวดผัดซอสแดง…แต่เขาทานแค่นกกระทาทอดเจ้าค่ะ”
ในขณะที่นางกำลังพูด จิ่นเกอก็ใช้ตะเกียบซ่อนถั่วงอกไว้ใต้ข้าว จากนั้นก็ทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวที่อยู่บนข้าวต่อ
สวีลิ่งอี๋กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาพูด “ต้องทานอย่างละนิดอย่างละหน่อย”
“ใช่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูด จากนั้นก็คีบเต้าหู้ให้จิ่นเกอ
จิ่นเกอยิ้มแล้วพูดขึ้น “ท่านพ่อ ท่านย่าบอกว่าตอนทานข้าวห้ามพูดขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
สวีซื่ออวี้และเซี่ยงซื่อมาคารวะพวกเขา
สืออีเหนียงเชิญพวกเขามานั่งในห้องโถง หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็เรียกพวกเขาไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
สวีลิ่งอี๋ถามแผนการของสวีซื่ออวี้
สวีซื่ออวี้พูด “ต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบครั้งต่อไปขอรับ ข้าจะออกเดินทางกลับเล่ออานต้นเดือนสิบเอ็ด”
พึ่งแต่งงานก็จะกลับทันที?
เร็วขนาดนี้!
ไม่อยู่ฉลองขึ้นปีใหม่ที่จวนเช่นนั้นหรือ
สืออีเหนียงมองไปที่เซี่ยงซื่อ เซี่ยงซื่อสีหน้าเรียบนิ่ง เห็นได้ชัดว่านางรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว
สวีลิ่งอี๋ก็คิดว่ามันเร็วเกินไป เขาพูด “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเช่นนี้ หลังเทศกาลโคมไฟค่อยออกเดินทางก็ได้!”
สวีซื่ออวี้ลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายเขาก็โค้งคำนับแล้วขานรับ “ขอรับ”
เหวินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงมาคารวะ
“คุณนายน้อยสองก็อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ!” เหวินอี๋เหนียงยังคงเป็นมิตรเหมือนเดิม “กำไลข้อมือสวยจริงๆ เจ้าค่ะ!”
เซี่ยงซื่อรีบย่อเข่าคำนับเหวินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝัง จากนั้นก็เรียก “อี๋เหนียง”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยมาคารวะ
สืออีเหนียงสังเกตสวีซื่อเจี้ย
เขายืนอยู่ข้างหลังสวีซื่อจุนเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะกำลังยิ้ม แต่มันกลับไม่มีความสดใสเหมือนเมื่อก่อน
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจ พูดคุยกับพวกเขาสองสามประโยค จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งควนก็พาฮูหยินห้าและลูกๆ มาคารวะไท่ฮูหยินพอดี เรือนของไท่ฮูหยินจึงครึกครื้นขึ้นมาทันที
สวีซื่อจุนหาโอกาสถามเรื่องบันทึกบทเพลงกับสืออีเหนียง
“ท่านลุงบอกว่ากำลังหาให้พวกเจ้าอยู่” สืออีเหนียงพูดกับเขาเบาๆ “ทางฝั่งของหวังอวิ่น เจ้าสัญญาว่าจะคืนให้เขาเมื่อไร”
“ไม่ได้สัญญาเอาไว้ขอรับ!” สวีซื่อจุนกระซิบ “แต่ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าเลยเขียนจดหมายไปให้หวังอวิ่น บอกว่าข้าไม่ระวังทำบันทึกบทเพลงตกน้ำ ขอเวลาเขาสองสามวัน ข้าจะคิดหาวิธีคัดลอกส่งไปให้เขา หวังอวิ่นได้ยินเช่นนี้ก็บอกว่าไม่ต้องคืน บอกว่าถึงตอนนั้นค่อยไปยืมของบัณฑิตหันที่สำนักศึกษาฮั่นหลินมาคัดลอกก็ได้ แต่ว่าเราทำของของเขาเสียหาย ถึงแม้ว่าหวังอวิ่นจะพูดเช่นนี้ แต่เราก็ควรนำไปคืนเขาขอรับ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า “เช่นนั้นก็หมายความว่าสกุลบัณฑิตหันที่สำนักศึกษาฮั่นหลินก็มีเช่นนั้นหรือ”
สวีซื่อจุนพยักหน้า “หรือว่าให้ท่านลุงไปถามเขา เรายืมของเขามาคัดลอกดีหรือไม่!”
“ไม่รู้ว่าท่านลุงของเจ้าสนิทสนมกับพวกเขาหรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะบอกให้ท่านลุงของเจ้าลองไปสอบถามดู!” สืออีเหนียงยิ้ม จากนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นและอ่อนโยนของสวีลิ่งอี๋ดังเข้ามาข้างหู “…ไม่จำเป็น เราสองสกุลสนิทสนมกัน ให้จุนเกอไปกับข้าก็ได้ จะได้สอนเรื่องเข้าสังคมให้เขาด้วย” พูดจบ เขาก็พูดกับสวีซื่อจุน “พรุ่งนี้ข้าจะไปเตรียมของขวัญปีใหม่ที่จะส่งไปให้จวนหย่งชังโหวที่ฝ่ายรายงาน อีกสองวันเราจะไปจวนหย่งชังโหว”
พอได้ยินว่าจะได้ออกไปข้างนอก สวีซื่อจุนก็ขานรับ “ขอรับ” ด้วยความตื่นเต้น วันต่อมาเขาก็ไปถามรายการของขวัญที่ฝ่ายรายงาน หลังจากส่งคนสกุลเซี่ยงกลับไปแล้ว เขาก็หยิบรายการของขวัญไปรายงานสวีลิ่งอี๋
ของขวัญขึ้นใหม่ของสองสกุลก็คือใบชา ผลไม้ รวมแล้วไม่เกินห้าสิบตำลึง
สวีซื่อจุนกับสวีลิ่งอี๋ไปที่จวนหย่งชังโหว
ในเวลาเดียวกัน สืออีเหนียงได้รับของขวัญปีใหม่จากซังโจว
เหมือนกับทุกปี สกุลเซ่าส่งคนนำของประจำท้องถิ่นซังโจวมาให้
คนที่เข้ามาคารวะสืออีเหนียง นอกจากผู้ดูแลหญิงที่นำของขวัญมาส่งให้สืออีเหนียงทุกปีแล้ว ยังมีซิ่วหลานอีกด้วย
นางม้วนผมเป็นมวย สวมเครื่องประดับเงิน สีหน้าดูตื่นเต้น เข้ามาก็ก้มหัวให้สืออีเหนียงสามครั้ง
สืออีเหนียงหัวเราะ “เจ้าแต่งงานกับใครหรือ”
ซิ่วหลานหน้าแดง “ผู้ติดตามของคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
คุณชายใหญ่ก็คือเซ่าจ้งหราน
ให้ผู้ติดตามของภรรยาตัวเองแต่งงานกับผู้ติดตามของตัวเอง ดูเหมือนว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ากับสกุลเซ่าได้ไม่เลว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า มอบปิ่นปักผมและกำไลข้อมือคู่หนึ่งให้ซิ่วหลาน “ถือว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดี!”
ซิ่วหลานรีบเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็นำคำพูดที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ฝากมาบอกให้สืออีเหนียงฟัง “…ได้ยินคุณชายใหญ่กลับมาบอกว่า คุณชายน้อยหกอยากหาอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ ซังโจวมีอาจารย์แซ่ผังคนหนึ่ง เป็นสกุลญาติกับสกุลเซ่า ถึงแม้ว่าเท้าซ้ายของเขาจะมีปัญหา แต่เขาขี่ม้าและยิงธนูได้เก่งมากเจ้าค่ะ คนในสกุลเซ่าคารวะเขาเป็นอาจารย์ตั้งมากมาย เขาจึงเปิดหอสอนศิลปะการต่อสู้ สองสามวันก่อน คนในครอบครัวของเขาเสียชีวิต แล้วเขาก็ไม่มีบุตร อาจารย์ผังไม่อยากสอนศิลปะการต่อสู้ต่อแล้ว จึงปิดหอศิลปะการต่อสู้ไป ไม่รู้ว่าท่านโหวหาอาจารย์ให้คุณชายน้อยหกได้แล้วหรือยังเจ้าคะ หากยังหาไม่ได้ คุณนายใหญ่เลยอยากจะแนะนำอาจารย์อาจารย์ผังคนนี้มาสอนศิลปะการต่อสู้ให้คุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงแปลกใจ นางยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายใหญ่ของพวกเจ้าว่าเช่นไรบ้าง”
ผู้ดูแลหญิงที่มาด้วยกันได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายใหญ่ของเราก็เคยเรียนขี่ม้ายิงธนูกับอาจารย์ผังท่านนี้ถึงสองปีเจ้าค่ะ เขานับถืออาจารย์ผังเป็นอย่างมาก ตอนที่ท่านโหวพูดถึงเรื่องนี้ คุณชายใหญ่ก็นึกถึงอาจารย์ผัง แต่กลัวว่าท่านโหวจะไม่ชอบคนชนบท แล้วอาจารย์ผังก็ยังเปิดหอศิลปะการต่อสู้อยู่ที่ซังโจว ไม่รู้ว่าเขาจะยอมเดินทางมาทางตอนเหนือหรือไม่ จึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ ต่อมารู้ว่าอาจารย์ผังสูญเสียคนในครอบครัวไป จึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เลยบอกให้บ่าวมาถามฮูหยินก่อนเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “คุณนายใหญ่ของเราเป็นคนกำชับ บอกว่าให้ถามฮูหยินก่อน หากฮูหยินอนุญาติ ค่อยนำจดหมายแนะนำของคุณชายใหญ่ออกมาเจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็ยิ้มหน้าบาน
หลักการอะไรกัน!
นางไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้
“นำจดหมายมาให้ข้าเถิด!” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าไปถามความคิดเห็นของท่านโหวก่อน แล้วค่อยตอบกลับพวกเจ้า!”
พวกนางสองคนขานรับด้วยความเคารพ ของขวัญปีใหม่ของสกุลเจียงก็มาถึงแล้ว สี่เอ๋อร์ยังไม่มา แต่สะใภ้หนานหย่งกลับมาถึงก่อน
“เกิดอะไรขึ้น” นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่ย้ายออกไปอยู่ลานข้างนอก หากไม่มีเรื่องอันใดสะใภ้หนานหย่งจะไม่เข้ามาหาตน นางจึงประหลาดใจ ไล่สาวใช้ออกไปแล้วถามสะใภ้หนานหย่งเสียงเบา
“เมื่อครู่คุณชายน้อยห้าไปหาบ่าวเจ้าค่ะ ไปถามเรื่องตอนที่เขายังเด็ก…” สะใภ้หนานหย่งพูดด้วยท่าทีที่ไม่สบายใจ
ฮูหยินบอกให้นางคอยสังเกตพฤกรรมของสวีซื่อเจี้ย เพราะกลัวว่าคุณชายน้อยห้าอยู่ลานข้างนอก หากถูกคนรังแกจะได้มีคนมารายงานนาง แต่ไม่ได้ให้นางพูดอะไรเหลวไหล ถึงแม้ว่าคำพูดของนางวันนี้คือเจตนาที่ดี แต่ว่านางทำเกินหน้าที่ หากฮูหยินรู้เข้า ไม่รู้ว่าฮูหยินจะตำหนิตัวเองหรือไม่ แต่เมื่อคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์แม่ลูกของฮูหยินและคุณชายน้อยห้า นางก็กัดฟันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงตกใจ นึกถึงพฤติกรรมผิดปกติของสวีซื่อเจี้ยเมื่อครู่ นางก็รู้สึกเศร้าโศก
นางหาโอกาสเหมาะสมที่จะเล่าเรื่องตอนนั้นให้สวีซื่อเจี้ยฟังไม่ได้สักที คิดไม่ถึงว่าสะใภ้หนานหย่งจะช่วยนางจัดการเรื่องนี้แล้ว
ตอนแรกนางถูกชะตากับสะใภ้หนานหย่ง ไม่ใช่เพราะว่าสะใภ้หนานหย่งเป็นคนซื่อสัตย์และจงรักภักดี แต่เพราะสะใภ้หนานหย่งซื่อสัตย์ต่อผู้คนและเรื่องราวต่างๆ นางหวังว่าสวีซื่อเจี้ยจะได้รับอิทธิพลจากสะใภ้หนานหย่ง ให้เขาได้มีชีวิตที่สงบสุข ตอนนี้ดูเหมือนว่า สิ่งที่นางเลือกคือสิ่งที่ถูกต้อง หากไม่ใช่เพราะว่าสะใภ้หนานหย่งจริงใจกับสวีซื่อเจี้ย สวีซื่อเจี้ยคงไม่มีทางนึกถึงสะใภ้หนานหย่งเป็นคนแรกในตอนที่เขาไม่สบายใจ และสะใภ้หนานหย่งก็ไม่มีทางปลอบใจสวีซื่อเจี้ยเช่นนี้ สวีซื่อเจี้ยก็ไม่มีทางคิดได้เร็วขนาดนี้…
“โชคดีที่มีเจ้าคอยสั่งสอนเขา” สืออีเหนียงเห็นว่าสะใภ้หนานหย่งไม่สบายใจ นางจึงพูดว่า “ข้ากำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน!” พูดจบ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่สวีลิ่งอี๋จะให้สวีซื่อเจี้ยจุดธูปให้ถงซื่อตอนขึ้นปีใหม่ให้สะใภ้หนานหย่งฟัง “เมื่อก่อนข้าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้จู่ๆ จะให้เขายอมรับถงซื่อ ข้ากลัวว่าเขาจะรับไม่ได้ อยากจะบอกเขาก่อน แต่ก็กลัวว่าเขาจะถามเรื่องในอดีต…เจ้าพูดเช่นนี้ เขาจะได้สบายใจ เรื่องบางเรื่อง ข้าจะได้เล่าให้เขาฟังตามความจริง”
สะใภ้หนานหย่งได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มบาง แต่มันกลับมลายหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีความกังวลขึ้นมาแทน
เช่นนี้ แบ่งแยกบุตรอนุภรรยาและบุตรภรรยาเอกอย่างชัดเจน คนในจวนรู้ท่าทีของท่านโหว เรื่องบางเรื่อง เกรงว่าตัวเองและฮูหยินก็คงจะห้ามไม่ได้ ถึงตอนนั้นสถานการณ์ของสวีซื่อเจี้ยคงจะลำบากมากกว่าตอนนี้เสียอีก!
แต่พอคิดๆ ดูแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
คนเราต้องรู้ว่าตัวเองเป็นเช่นไร ถึงจะรู้ว่าตัวเองมีความสามารถมากแค่ไหน แล้วทำอะไรได้บ้าง!
ถ้าอย่างนั้น คุณชายน้อยห้าจะได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขของตัวเอง
สีหน้าของนางผ่อนคลายลง พูดอย่างอ้อมค้อม “ประเดี๋ยวก็จะปีใหม่แล้ว แต่ละสกุลนำของขวัญปีใหม่มาให้ ผู้ดูแลหญิงก็จะมาคารวะท่าน คุณชายน้อยสี่เองก็มีแขกที่ต้องต้อนรับ ถึงตอนนั้นเกรงว่าในจวนคงจะยุ่งจนไม่มีเวลาแม้แต่จะจิบชากระมังเจ้าคะ”
ผู้ดูแลเข้ามาคารวะสืออีเหนียง แน่นอนว่าต้องนำของขวัญที่นำมาให้เด็กๆ เพราะว่าสวีซื่อเจี้ยอยู่ที่เรือนของสืออีเหนียง ของที่เขาได้รับก็เหมือนสวีซื่อจุนตลอด และขึ้นปีใหม่ หากสวีซื่อจุนจัดงานเลี้ยงที่เรือน แน่นอนว่าต้องเชิญพี่น้องของตัวเองไปร่วมงานด้วย สวีซื่ออวี้โตแล้ว เขาไม่ค่อยชื่นชอบงานเลี้ยงพวกนี้อยู่แล้ว เขาไม่ไปแน่นอน หากไม่พูดกับสวีซื่อเจี้ยให้ชัดเจน หากสวีซื่อเจี้ยไปร่วมงานโดยที่ไม่รู้อะไร เกิดเรื่องที่เหมือนเรื่องของโต้วจิ้งขึ้นอีก ไม่ต้องบอกว่าทำให้สกุลสวีอับอายขายขี้หน้า แต่มันคือการทำร้ายสวีซื่อเจี้ย เพราะทุกคนล้วนแต่หวังว่าตัวเองจะเป็นที่รักของคนอื่น
สืออีเหนียงครุ่นคิด
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมา นางก็ปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ “หรือว่า ข้าเล่าให้เขาฟังดีหรือไม่เจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋คิดว่าสืออีเหนียงคิดมากเกินไป เขาพูดว่า “ได้สิ” แบบส่งๆ จากนั้นก็ถามถึงเรื่องงานเลี้ยงนายหญิงเซี่ยงในวันพรุ่งนี้ “มาทั้งหมดกี่คน”
“โต๊ะของแขกผู้ชายสองโต๊ะ โต๊ะของแขกผู้หญิงหนึ่งโต๊ะเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินมาว่าท่านลุงที่มอบน้ำแร่ให้เซี่ยงซื่อก็จะมาด้วย!”
“เช่นนั้นข้าต้องเตรียมชาดีๆ เอาไว้ให้เขา” สวีลิ่งอี๋พูด จากนั้นเซี่ยงซื่อก็มารับใช้สืออีเหนียงทานอาหารเย็น
“ไม่จำเป็นต้องรับใช้ข้าทานอาหารเย็น” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปเจ้าทานอาหารเย็นที่เรือนของเจ้าเถิด ไปคารวะไท่ฮูหยินกับข้าก็พอแล้ว”
เซี่ยงซื่อฟังแล้วก็แปลกใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไปเถิด! ฤดูหนาวข้ามักจะไปยามโหย่วสามเค่อ ฤดูร้อนมักจะไปยามโหย่วพอดี เจ้ามาหาข้ายามนั้นก็ได้!”
เซี่ยงซื่อเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร นางจึงย่อเข่าคำนับแล้วขอตัวออกไป
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “แม้แต่ลูกสะใภ้ก็ไม่ให้มารับใช้เช่นนั้นหรือ!”
“พูดคุยอะไรกันก็ไม่ค่อยสะดวกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ไม่อยากทำให้ทุกคนอึดอัด”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร สืออีเหนียงบอกให้คนนำจิ่นเกอที่กำลังเล่นกับเซินเกอที่สวนดอกไม้หลังจวนกลับมา จากนั้นก็บอกให้สาวใช้จัดอาหาร
จิ่นเกอทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวไปสองชาม แล้วยังบอกให้ตักชามที่สาม สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะถามเขา “ยามเที่ยงเจ้าทานอะไรมา”
“ทานนกกระทาทอดขอรับ” จิ่นเกอพูด แล้วยังทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวไปอีก
สวีลิ่งอี๋หันไปมองไปสืออีเหนียง
สืออีเหนียงคีบถั่วงอกในน้ำแกงถั่วงอกหมูลงในชามจิ่นเกอ พลางพูดอย่างเอือมระอา “ยามเที่ยงทำตับเป็ดผัดขี้เมา ไข่ตุ๋นและปลาจวดผัดซอสแดง…แต่เขาทานแค่นกกระทาทอดเจ้าค่ะ”
ในขณะที่นางกำลังพูด จิ่นเกอก็ใช้ตะเกียบซ่อนถั่วงอกไว้ใต้ข้าว จากนั้นก็ทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวที่อยู่บนข้าวต่อ
สวีลิ่งอี๋กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาพูด “ต้องทานอย่างละนิดอย่างละหน่อย”
“ใช่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูด จากนั้นก็คีบเต้าหู้ให้จิ่นเกอ
จิ่นเกอยิ้มแล้วพูดขึ้น “ท่านพ่อ ท่านย่าบอกว่าตอนทานข้าวห้ามพูดขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
สวีซื่ออวี้และเซี่ยงซื่อมาคารวะพวกเขา
สืออีเหนียงเชิญพวกเขามานั่งในห้องโถง หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็เรียกพวกเขาไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
สวีลิ่งอี๋ถามแผนการของสวีซื่ออวี้
สวีซื่ออวี้พูด “ต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบครั้งต่อไปขอรับ ข้าจะออกเดินทางกลับเล่ออานต้นเดือนสิบเอ็ด”
พึ่งแต่งงานก็จะกลับทันที?
เร็วขนาดนี้!
ไม่อยู่ฉลองขึ้นปีใหม่ที่จวนเช่นนั้นหรือ
สืออีเหนียงมองไปที่เซี่ยงซื่อ เซี่ยงซื่อสีหน้าเรียบนิ่ง เห็นได้ชัดว่านางรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว
สวีลิ่งอี๋ก็คิดว่ามันเร็วเกินไป เขาพูด “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเช่นนี้ หลังเทศกาลโคมไฟค่อยออกเดินทางก็ได้!”
สวีซื่ออวี้ลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายเขาก็โค้งคำนับแล้วขานรับ “ขอรับ”
เหวินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงมาคารวะ
“คุณนายน้อยสองก็อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ!” เหวินอี๋เหนียงยังคงเป็นมิตรเหมือนเดิม “กำไลข้อมือสวยจริงๆ เจ้าค่ะ!”
เซี่ยงซื่อรีบย่อเข่าคำนับเหวินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝัง จากนั้นก็เรียก “อี๋เหนียง”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยมาคารวะ
สืออีเหนียงสังเกตสวีซื่อเจี้ย
เขายืนอยู่ข้างหลังสวีซื่อจุนเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะกำลังยิ้ม แต่มันกลับไม่มีความสดใสเหมือนเมื่อก่อน
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจ พูดคุยกับพวกเขาสองสามประโยค จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งควนก็พาฮูหยินห้าและลูกๆ มาคารวะไท่ฮูหยินพอดี เรือนของไท่ฮูหยินจึงครึกครื้นขึ้นมาทันที
สวีซื่อจุนหาโอกาสถามเรื่องบันทึกบทเพลงกับสืออีเหนียง
“ท่านลุงบอกว่ากำลังหาให้พวกเจ้าอยู่” สืออีเหนียงพูดกับเขาเบาๆ “ทางฝั่งของหวังอวิ่น เจ้าสัญญาว่าจะคืนให้เขาเมื่อไร”
“ไม่ได้สัญญาเอาไว้ขอรับ!” สวีซื่อจุนกระซิบ “แต่ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าเลยเขียนจดหมายไปให้หวังอวิ่น บอกว่าข้าไม่ระวังทำบันทึกบทเพลงตกน้ำ ขอเวลาเขาสองสามวัน ข้าจะคิดหาวิธีคัดลอกส่งไปให้เขา หวังอวิ่นได้ยินเช่นนี้ก็บอกว่าไม่ต้องคืน บอกว่าถึงตอนนั้นค่อยไปยืมของบัณฑิตหันที่สำนักศึกษาฮั่นหลินมาคัดลอกก็ได้ แต่ว่าเราทำของของเขาเสียหาย ถึงแม้ว่าหวังอวิ่นจะพูดเช่นนี้ แต่เราก็ควรนำไปคืนเขาขอรับ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า “เช่นนั้นก็หมายความว่าสกุลบัณฑิตหันที่สำนักศึกษาฮั่นหลินก็มีเช่นนั้นหรือ”
สวีซื่อจุนพยักหน้า “หรือว่าให้ท่านลุงไปถามเขา เรายืมของเขามาคัดลอกดีหรือไม่!”
“ไม่รู้ว่าท่านลุงของเจ้าสนิทสนมกับพวกเขาหรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะบอกให้ท่านลุงของเจ้าลองไปสอบถามดู!” สืออีเหนียงยิ้ม จากนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นและอ่อนโยนของสวีลิ่งอี๋ดังเข้ามาข้างหู “…ไม่จำเป็น เราสองสกุลสนิทสนมกัน ให้จุนเกอไปกับข้าก็ได้ จะได้สอนเรื่องเข้าสังคมให้เขาด้วย” พูดจบ เขาก็พูดกับสวีซื่อจุน “พรุ่งนี้ข้าจะไปเตรียมของขวัญปีใหม่ที่จะส่งไปให้จวนหย่งชังโหวที่ฝ่ายรายงาน อีกสองวันเราจะไปจวนหย่งชังโหว”
พอได้ยินว่าจะได้ออกไปข้างนอก สวีซื่อจุนก็ขานรับ “ขอรับ” ด้วยความตื่นเต้น วันต่อมาเขาก็ไปถามรายการของขวัญที่ฝ่ายรายงาน หลังจากส่งคนสกุลเซี่ยงกลับไปแล้ว เขาก็หยิบรายการของขวัญไปรายงานสวีลิ่งอี๋
ของขวัญขึ้นใหม่ของสองสกุลก็คือใบชา ผลไม้ รวมแล้วไม่เกินห้าสิบตำลึง
สวีซื่อจุนกับสวีลิ่งอี๋ไปที่จวนหย่งชังโหว
ในเวลาเดียวกัน สืออีเหนียงได้รับของขวัญปีใหม่จากซังโจว
เหมือนกับทุกปี สกุลเซ่าส่งคนนำของประจำท้องถิ่นซังโจวมาให้
คนที่เข้ามาคารวะสืออีเหนียง นอกจากผู้ดูแลหญิงที่นำของขวัญมาส่งให้สืออีเหนียงทุกปีแล้ว ยังมีซิ่วหลานอีกด้วย
นางม้วนผมเป็นมวย สวมเครื่องประดับเงิน สีหน้าดูตื่นเต้น เข้ามาก็ก้มหัวให้สืออีเหนียงสามครั้ง
สืออีเหนียงหัวเราะ “เจ้าแต่งงานกับใครหรือ”
ซิ่วหลานหน้าแดง “ผู้ติดตามของคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
คุณชายใหญ่ก็คือเซ่าจ้งหราน
ให้ผู้ติดตามของภรรยาตัวเองแต่งงานกับผู้ติดตามของตัวเอง ดูเหมือนว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ากับสกุลเซ่าได้ไม่เลว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า มอบปิ่นปักผมและกำไลข้อมือคู่หนึ่งให้ซิ่วหลาน “ถือว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดี!”
ซิ่วหลานรีบเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็นำคำพูดที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ฝากมาบอกให้สืออีเหนียงฟัง “…ได้ยินคุณชายใหญ่กลับมาบอกว่า คุณชายน้อยหกอยากหาอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ ซังโจวมีอาจารย์แซ่ผังคนหนึ่ง เป็นสกุลญาติกับสกุลเซ่า ถึงแม้ว่าเท้าซ้ายของเขาจะมีปัญหา แต่เขาขี่ม้าและยิงธนูได้เก่งมากเจ้าค่ะ คนในสกุลเซ่าคารวะเขาเป็นอาจารย์ตั้งมากมาย เขาจึงเปิดหอสอนศิลปะการต่อสู้ สองสามวันก่อน คนในครอบครัวของเขาเสียชีวิต แล้วเขาก็ไม่มีบุตร อาจารย์ผังไม่อยากสอนศิลปะการต่อสู้ต่อแล้ว จึงปิดหอศิลปะการต่อสู้ไป ไม่รู้ว่าท่านโหวหาอาจารย์ให้คุณชายน้อยหกได้แล้วหรือยังเจ้าคะ หากยังหาไม่ได้ คุณนายใหญ่เลยอยากจะแนะนำอาจารย์อาจารย์ผังคนนี้มาสอนศิลปะการต่อสู้ให้คุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงแปลกใจ นางยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายใหญ่ของพวกเจ้าว่าเช่นไรบ้าง”
ผู้ดูแลหญิงที่มาด้วยกันได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายใหญ่ของเราก็เคยเรียนขี่ม้ายิงธนูกับอาจารย์ผังท่านนี้ถึงสองปีเจ้าค่ะ เขานับถืออาจารย์ผังเป็นอย่างมาก ตอนที่ท่านโหวพูดถึงเรื่องนี้ คุณชายใหญ่ก็นึกถึงอาจารย์ผัง แต่กลัวว่าท่านโหวจะไม่ชอบคนชนบท แล้วอาจารย์ผังก็ยังเปิดหอศิลปะการต่อสู้อยู่ที่ซังโจว ไม่รู้ว่าเขาจะยอมเดินทางมาทางตอนเหนือหรือไม่ จึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ ต่อมารู้ว่าอาจารย์ผังสูญเสียคนในครอบครัวไป จึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เลยบอกให้บ่าวมาถามฮูหยินก่อนเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “คุณนายใหญ่ของเราเป็นคนกำชับ บอกว่าให้ถามฮูหยินก่อน หากฮูหยินอนุญาติ ค่อยนำจดหมายแนะนำของคุณชายใหญ่ออกมาเจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็ยิ้มหน้าบาน
หลักการอะไรกัน!
นางไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้
“นำจดหมายมาให้ข้าเถิด!” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าไปถามความคิดเห็นของท่านโหวก่อน แล้วค่อยตอบกลับพวกเจ้า!”
พวกนางสองคนขานรับด้วยความเคารพ ของขวัญปีใหม่ของสกุลเจียงก็มาถึงแล้ว