ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 614 สงสัย (ปลาย
เจ้าสาวกลับสกุลเดิม ฝ่ายชายต้องเริ่มรื้อซุ้ม ที่นั่งและเตา บรรดาผู้ดูแลและบ่าวรับใช้ลานข้างนอกล้วนแต่กำลังยุ่ง บรรดาผู้ดูแลลานข้างในก็ไม่ว่างเหมือนกัน ทำความสะอาดลาน เก็บของตกแต่ง นับข้าวของ ชำระค่าอาหารและสุรา และทุกเรื่องต้องไปรายงานให้สืออีเหนียงฟัง ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สืออีเหนียงก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ นางเรียกหงเหวินมาถามถึงสถานการณ์ของจิ่นเกอ“สองวันนี้เขาทำอะไร”
นิสัยของบุตรชายตัวเอง หากเขาหิว เขาจะไปขออาหารจากบ่าวรับใช้ หากเขาหนาว เขาก็จะไปขอเสื้อคลุม แต่สิ่งที่นางกลัวก็คือ นางกลัวว่าเขาจะก่อเรื่องแล้วทุกคนยังช่วยเขาปิดบัง
โชคดีที่หงเหวินก็มีความกังวลของตัวเองเหมือนกัน ครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดเรื่องอันใด แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าครั้งหน้ายังจะโชคดีเช่นนี้ ท่านโหวเห็นคุณชายน้อยหกเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า ทุกๆ วันส่งท้ายปีเก่าเขาจะให้เงินบ่าวรับใช้ของคุณชายน้อยหกคนละห้าสิบตำลึงเป็นรางวัล เทียบเท่ากับผู้ดูแลลานข้างนอกเลยทีเดียว เพื่อเงินรางวัลนี้ แม่นมกู้เลยไม่อยากออกไปจากจวน ตอนนี้แม้จะออกไปแล้ว แต่ก็ยังคิดหาวิธีให้คนพาน้องสาวของตัวเองเข้ามารับใช้คุณชายน้อยหก แต่หากคุณชายน้อยหกเป็นอะไรไป พวกนางคือบ่าวรับใช้ที่ได้เงินรางวัลมากกว่าบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ห้าสิบตำลึง…
คิดเช่นนี้ นางก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในหัวใจ
อยู่กับสืออีเหนียงตั้งสองสามวัน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้พูดกับสืออีเหนียงสักคำ
ตอนนี้สืออีเหนียงถามนาง นางจะกล้าลังเลได้เช่นไร รีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นให้สืออีเหนียงฟังอย่างละเอียด
“…คุณชายน้อยทั้งสองท่าน ประเดี๋ยวก็ไปลานข้างใน ประเดี๋ยวก็ไปลานข้างนอก บางที่พวกบ่าวไปด้วยไม่ได้ จึงขอร้องให้หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ช่วยดูแลเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย แต่เมื่อถึงวันรับสินเดิม ท่านซุนโหวผู้เฒ่าบอกให้คนมาเรียกคุณชายน้อยหกและคุณชายน้อยเจ็ดออกไปพูดคุยด้วย หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ไม่กล้าเข้าไป สุดท้ายบ่าวรับใช้และสาวใช้ที่อยู่ในโถงบุปผาพากันหัวเราะ แต่ไม่ยอมบอกว่าคุณชายน้อยสองไปไหนเจ้าค่ะ พวกเขาสองคนไปถามคนนั้นทีคนนี้ที จึงมีสาวใช้คนหนึ่งแอบชี้ไปที่เรือนหน่วนเก๋อ แล้วยังบอกอีกว่า คุณชายน้อยหกบอกว่าไม่ให้บอกพวกเขาสองคนเจ้าค่ะ
พวกเขาสองคนรีบเข้าไปหา แต่กลับไม่เห็นใครสักคน ทันใดนั้นคนที่อยู่ในห้องก็ตื่นตระหนก หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ คนหนึ่งตามหาคุณชายน้อยที่โถงบุปผา อีกคนหนึ่งไปรายงานลานข้างใน…ตอนที่บ่าวหาคุณชายน้อยหกเจอ คุณชายน้อยหกและคุณชายน้อยเจ็ดกำลังถือธูปจุดประทัดเจ้าค่ะ…บ่าวเห็นบ่าวรับใช้สองสามคนนั้นเสียมารยาทกับคุณชายน้อยห้า บ่าวจึงเดินเข้าไปตำหนิ…การลงโทษบ่าวรับใช้คือหน้าที่ของป้ารับใช้ผู้ดูแล บ่าวเป็นแค่สาวใช้ในเรือนของคุณชายน้อยหก ใช้อำนาจของคุณชายนน้อยหก แต่ไม่กล้าทำให้ชื่อเสียงของคุณชายน้อยหกเสียหาย บ่าวบอกให้คนพวกนั้นแยกย้ายกันไป แล้วก็กลัวว่าระหว่างทางที่คุณชายน้อยหกไปหาผู้ดูแล อาจจะไปเจอกับคนที่รู้จักแต่ประจบสอพลอเจ้านาย ไล่หมาป่าออกไปเสือก็เข้ามา บ่าวจึงพาคุณชายน้อยหกไปหาผู้ดูแลด้วยตัวเองเจ้าค่ะ…ต่อมาคุณชายน้อยหกไปหาท่านโหว…บ่าวถึงได้มีเวลาส่งคนไปบอกหวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ บอกพวกเขาว่าหาคุณชายน้อยหกและคุณชายน้อยเจ็ดเจอแล้ว แต่บ่าวไม่กล้าออกไป เลยอยู่กับคุณชายน้อยหกตลอดเวลาเจ้าค่ะ…”
ไม่ว่าอย่างไร สวีซื่อเจี้ยคือเจ้านาย เอาแต่ประจบสอพลอจิ่นเกอ แม้แต่สวีซื่อเจี้ยก็ไม่เห็นหัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาช่างกล้าแค่ไหน!
สืออีเหนียงเกลียดชังคนที่หลอกลวงเด็กที่ไม่รู้ความเพียงเพราะผลประโยชน์ของตัวเองมากที่สุด ชาติก่อน ไม่รู้ว่านางเคยเห็นตัวอย่างเช่นนี้มามากแค่ไหน เด็กดีๆ กลับต้องกลายเป็นภัยต่อสังคม
นางตบโต๊ะเตียงเตาด้วยความโมโห ถ้วยชาบนโต๊ะเตียงเตาสั่นจนเกิดเสียง ทำเอาหงเหวินตกใจจนหน้าซีด นางเหงื่อออกเต็มหน้าผาก
“วันนั้นป้ารับใช้คนใดเป็นคนเฝ้ายาม” สืออีเหนียงเรียกจู๋เซียงเข้ามาสอบถาม “เรียกพวกนางมาหาข้า!”
สืออีเหนียงไม่เคยมีสีหน้าเดือดดาลเช่นนี้มาก่อน จู๋เซียงมีสีหน้าไม่สบายใจ นางขานรับ “เจ้าค่ะ” เสียงเบา จากนั้นก็พาป้ารับใช้สองคนเข้ามา
“วันนั้นบ่าวรับใช้คนไหนเป็นคนรับใช้คุณชายน้อยหก” สืออีเหนียงมองป้ารับใช้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าตัวเองอย่างเย็นชา นางไม่บอกให้พวกนางลุกขึ้นอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน “ข้าให้พวกเจ้าเฝ้ายาม แต่พวกเจ้ากลับปล่อยให้พวกเขาเข้ามาโดยที่ไม่สนใจอะไรเช่นนี้ เรือนหลักของจวนหย่งผิงโหวกลายเป็นห้องโถงที่ใครอยากจะเข้ามาตามอำเภอใจก็ได้ตั้งแต่เมื่อไร ข้าให้เวลาพวกเจ้าไปเรียกบ่าวรับใช้สองสามคนนั้นมาที่ประตูฉุยฮวาภายในเวลาหนึ่งเค่อ ข้าจะดูว่า ผู้ดูแลคนไหนเป็นคนสั่งสอนพวกเขา ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้!”
จวนหย่งผิงโหวมีอายุมากกว่าร้อยปี คนและเรื่องราวในจวนซับซ้อน พวกนางสนิทสนมกับบิดามารดาของบ่าวรับใช้สองสามคนนั้น ก็แค่อยากให้คุณชายน้อยหกเห็นหน้าพวกเขา จะได้มีข้าวทาน พวกนางสองคนแสร้งทำเป็นไม่เห็น หงเหวินบอกให้พวกนางไปบอกให้ผู้ดูแลจับพวกเขาไว้ พวกนางแอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว และผัดวันประกันพรุ่งรอดูสถานการณ์ เห็นหงเหวินไปหาพ่อบ้านไป๋กับจิ่นเกอพวกนางก็อยากเป็นคนดี จึงรีบไปรายงานคนที่สนิทสนมกัน บอกให้พวกเขาคิดหาวิธี แต่ใครจะรู้ว่าหงเหวินทำตัวฟ้าร้องเสียงดังแต่เม็ดฝนกลับตกแค่นิดเดียว สุดท้ายเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ พวกนางสองคนพึ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็ถูกสืออีเหนียงเรียกมาตำหนิ
พวกนางเป็นคนเก่าคนแก่ของจวน แม้พวกนางไม่เคยทานเนื้อหมูแต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง[1] เรื่องนี้หากมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ก็เพราะว่าบ่าวรับใช้สองสามคนนั้นยังเด็ก ไม่รู้ความ พาเจ้านายก่อเรื่องไปทั่ว ทำให้เกิดปัญหา หากมองให้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอันตรายต่อเจ้านายแต่ก็ยังไม่ยอมห้ามปราม ปล่อยให้เจ้านายเล่นสนุก ตีให้ตายก็ไม่มีใครกล้าขอร้องให้พวกเขา ตอนนี้ดูเหมือนว่า สืออีเหนียงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จะจัดการบ่าวรับใช้สองสามคนนั้นอย่างเข้มงวด
พวกนางสองคนหันมามองหน้ากัน
ฮูหยินบอกให้พวกนางไปเรียกพวกเขามา ไม่ได้ตำหนิพวกนางเสียหน่อย…ฮูหยินต้องโมโหบ่าวรับใช้สองสามคนนั้นแน่นอน
พวกนางแอบดีใจ หวังว่าหลังจากสืออีเหนียงได้ระบายความโมโหแล้วนางจะลงโทษพวกตนเบาๆ
แต่หากทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดี ถึงตอนนั้นฮูหยินอาจจะโมโหใส่พวกนางก็ได้!
พวกนางรีบขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินออกไปด้วยความตื่นตระหนก
สืออีเหนียงพูดกับจู๋เซียง “เจ้าพาหงเหวินไปที่ประตูฉุยฮวา หากคนมาครบแล้วก็มาเรียกข้า”
จู๋เซียงและหงเหวินตอบรับอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ไปที่ประตูฉุยฮวา
สืออีเหนียงเดินไปรอบห้องด้วยความโมโห จากนั้นนางก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงแล้วไปหาจิ่นเกอ
แสงแดดยามต้นฤดูหนาวสาดส่องเข้ามา พลอยทำให้ในห้องสว่างไสวและอบอุ่น
จิ่นเกอที่สวมเสื้อสีแดงถือพู่กันอยู่ในมือด้วยสีหน้าที่จริงจัง เขากำลังเอนตัวเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะเตียงเตา กระดาษเฉิงซินสีขาวที่ราวกับหิมะถูกทับด้วยหยกเหอเถียน อาจินยิ้มพลางยืนฝนหมึกให้จิ่นเกออยู่ข้างๆ
เมื่อได้ยินเสียง พวกเขาสองคนก็มองออกมา
อาจินรีบย่อเข่าคำนับ จิ่นเกอพลันยิ้มอย่างสดใสทันที
“ท่านแม่ขอรับ!” เขาวางพู่กันลงบนที่วางพู่กัน กางแขนแล้วกระโดดอยู่บนเตียงเตา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปอุ้มเขา “ทำอะไรอยู่” นางถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับสายลมยามเดือนสาม
จิ่นเกอพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาแล้วยิ้มหน้าบาน
“ข้ากำลังวาดภาพ!” เขาพูด จากนั้นก็หยิบกระดาษเฉิงซินขึ้นมา “ท่านแม่ดูสิขอรับ!”
บนกระดาษเต็มไปด้วยรอยหมึกสีเข้มสีอ่อน มองไม่ออกว่าเขาวาดอะไร
สืออีเหนียงยังไม่ทันได้ถาม จิ่นเกอก็พูดว่า “นี่คือต้นไผ่ที่ข้าวาด”
“ตรงไหนคือต้นไผ่ ตรงไหนคือใบไผ่” สืออีเหนียงนั่งลงบนเตียงเตาแล้วถามเขา
จิ่นเกอชี้ไปที่รอยหมึกแนวตั้งหนาๆ สองสามรอย “นี่คือต้นไผ่” จากนั้นก็ชี้ไปที่รอยหมึกที่สั้นและยุ่งเหยิงกว่าสองสามรอย “นี่คือใบไม้ขอรับ!”
สืออีเหนียงมองดูแล้วพูดว่า “ไม่แปลกที่ข้าดูไม่ออกว่าอะไรคือต้นไผ่อะไรคือใบไผ่ ต้นไผ่ของจิ่นเกอไม่มีปม” พูดจบ นางก็หยิบพู่กันขึ้นมาวาดบนกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง แล้ววาดโครงร่างของต้นไผ่ที่ชัดเจน
จิ่นเกอเอียงหน้ามองอยู่นาน “ท่านแม่วาดผิดขอรับ ข้าไปดูที่เรือนของท่านป้าสองแล้ว ต้นไผ่ในลานของท่านป้าสองอยู่รวมกันเป็นกองใหญ่”
นั่นคือความสมจริง นี่คือศิลปะในการวาดภาพต่างหาก
แต่สำหรับเด็กอายุห้าขวบ พูดเช่นนี้คงฟังไม่เข้าใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวจิ่นเกออย่างเอือมระอา “แต่ว่าจิ่นเกอก็วาดผิดเช่นกัน หรือว่า เจ้าจะไปถามอาจารย์ของพี่สี่และพี่ห้า ถามว่าต้นไผ่ควรวาดเช่นไรดี!”
จิ่นเกอพยักหน้าแล้วกำลังจะสวมรองเท้า
อาจินรีบห้ามเขาเอาไว้ “คุณชายน้อยหกเจ้าคะ เกรงว่าตอนนี้อาจารย์จ้าวคงจะกำลังสอนอยู่ เราไปหาเขายามบ่ายก็ไม่สายเจ้าค่ะ”
“ยามบ่ายอาจารย์จ้าวไม่สอนหรือ” เขาถามจนอาจินตื่นตระหนก
แต่สืออีเหนียงสนับสนุนเขา นางยิ้มแล้วบอกให้อาจินสวมรองเท้าให้เขา
จู๋เซียงเดินเข้ามา “ฮูหยิน บ่าวรับใช้สองสามคนนั้นมาที่ประตูฉุยฮวาแล้วเจ้าค่ะ”
“บอกให้พวกเขารออยู่ที่นั่น” สืออีเหนียงพูด “เจ้าไปเรียกพ่อบ้านไป๋มา”
จู๋เซียงตอบรับแล้วเดินออกไป
จิ่นเกอมองสืออีเหนียงด้วยความแปลกใจ
สืออีเหนียงพูดอย่างนิ่งสงบ “ท่านแม่จะลงโทษบ่าวรับใช้ที่นำประทัดมาให้เจ้า!”
“แต่ว่า” จิ่นเกอไม่เข้าใจ “ข้าเป็นคนบอกให้พวกเขานำประทัดมาเองขอรับ! พวกเขาไม่ควรฟังคำสั่งของข้าอย่างนั้นหรือ”
“ท่านแม่เคยสอนเจ้าเรื่องความอกตัญญูสามประการ เจ้ายังจำได้อยู่หรือไม่” สืออีเหนียงถามเขาอย่างอ่อนโยน
จิ่นเกอครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วเม้มปากมองมารดา “ประการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการไม่มีทายาทขอรับ!”
สืออีเหนียงหัวเราะ
ให้เขาจำความอกตัญญูสามประการนี้ ด้วยอายุของเขาคงไม่ใช่เรื่องง่าย
“อยู่ในโอวาทของบุพการีอย่างไร้สติตรึกตรอง สักแต่จะเชื่อฟังอย่างไม่ลืมหูลืมตา เห็นบุพการีกระทำผิดครรลองคลองธรรมกลับนิ่งเฉยไม่ทักท้วงหรือแนะนำชักชวนไปในทางที่ถูก ถือเป็นความอกตัญญูประการที่หนึ่ง ครอบครัวอดอยากข้นแค้น บุพการีก็แก่เฒ่า แต่ตัวเองกลับไม่ยอมออกไปทำการทำงานเพื่อเลี้ยงดูบุพการีถือเป็นความอกตัญญูประการที่สอง ไม่มีทายาทไว้สืบสกุล ถือเป็นความอกตัญญูประการที่สาม” สืออีเหนียงอธิบายให้เขาฟัง “…เจ้าคิดว่า แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ทำความผิดยังต้องตักเตือนถึงจะถือว่ากตัญญู ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจ้าทำผิด แต่เพื่อทำให้เจ้าสนุกสนาน ยังช่วยเจ้านำประทัดมาเล่น แล้วอีกอย่าง พี่ห้าของเจ้าห้ามปรามเจ้า แต่บ่าวรับใช้พวกนั้นกลับเถียงเขา” สืออีเหนียงพูดต่ออีก “คนคนหนึ่งนิสัยเป็นเช่นไร แค่มองจากจุดนี้ก็มองออก!”
จิ่นเกอพยักหน้า
สืออีเหนียงพลันรู้สึกโล่งใจ “ไป เราไปรอพ่อบ้านไป๋ที่ห้องโถงกันเถิด!”
จิ่นเกอกระโดดโลดเต้นไปที่ห้องโถงกับมารดา
ผ่านไปไม่นาน พ่อบ้านไป๋ก็มาถึง
“ไปสืบมาว่าบ่าวรับใช้สองสามคนนั้นคือคนของใคร พวกเขากล้าเถียงคุณชายน้อยห้า ยุยงคุณชายน้อยหกให้ทำเรื่องไม่ถูกต้องได้เช่นไร” สืออีเหนียงพูดอย่างเคร่งขรึม “แล้วก็จับบ่าวรับใช้พวกนั้นไว้ เฆี่ยนผู้ดูแลของพวกเขาคนละสิบที หักเงินเดือนหนึ่งเดือน เฆี่ยนบ่าวรับใช้คนละสามสิบที จากนั้นก็ให้บิดามารดาของพวกเขามารับกลับไป” นางพูดต่อไปว่า “เฆี่ยนช้าๆ ให้ทุกคนในจวนรู้เหตุผลที่พวกเขาถูกเฆี่ยน”
เช่นนี้ บรรดาบ่าวรับใช้จะได้ทำอะไรรอบคอบมากขึ้น
คนอย่างพ่อบ้านไป๋ เขารู้จุดประสงค์ที่สืออีเหนียงเรียกตัวเองมาหาก่อนที่จะมาหาสืออีเหนียงอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินสืออีเหนียงบอกว่า แม้แต่ผู้ดูแลของบ่าวรับใช้พวกนั้นก็เฆี่ยนตี จึงตกใจ “จับผู้ดูแลด้วย…เช่นนี้ เช่นนี้…มัน…”
ไม่ถามท่านโหวก่อนแล้วจัดการผู้ดูแลลานข้างนอกเช่นนี้…สกุลสวีไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน!
[1]ไม่เคยทานเนื้อหมูแต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง เป็นสำนวนหมายถึง แม้ตัวเองจะไม่ได้มีประสบการณ์โดยตรงจากเรื่องหรือเหตุการณ์นั้นๆ แต่ก็เคยพบเห็นหรือรับรู้ด้วยวิธีอื่น