ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 210 เทศกาล(ปลาย)
ไท่ฮูหยินถอนหายใจในใจ จากนั้นก็มองสวีลิ่งควนด้วยสายตาที่เย็นชา “พี่สะใภ้สี่ของเจ้ายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ทั้งวัน”
สวีลิ่งควนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกละอายใจ เขาพึมพำ “พี่สะใภ้สี่”
ไท่ฮูหยินพูดกับสืออีเหนียง “เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เจ้ายังต้องเหนื่อยอีก”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋ ดูว่าเขาจะทำเช่นไร
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านแม่ก็รีบพักผ่อนเถิดขอรับ ข้าพูดคุยกับน้องห้าสักประเดี๋ยวก็จะแยกย้ายกันแล้ว”
ไท่ฮูหยินรู้ว่าเขาจะตักเตือนสวีลิ่งควน ปกตินางจะให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน หากมีเรื่องอะไร นางก็เป็นคนช่วยไกล่เกลี่ย แต่ครั้งนี้นางรู้ว่าตัวเองจะทำตามความรู้สึกไม่ได้อีกแล้ว จึงพยักหน้า “พวกเจ้าสองพี่น้องต้องพูดคุยกันบ้าง”
ให้จุนเกออยู่เป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควนและสืออีเหนียงที่อุ้มสวีซื่อเจี้ยก็เดินออกมาด้วยกัน
หู่พั่วรออยู่นอกประตู
เมื่อเห็นทุกคนเดินออกมา นางก็รีบเดินเข้าไปหา “ท่านโหว คุณชายห้า ฮูหยิน คุณชายน้อยเฟิ่งชิง” นางพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เมื่อครู่นี้ป้าตู้ไม่พูดไม่จา พาคนมานำตัวเฟิ่งชิงออกจากเรือนปั้นเย่ว์พั่น พวกนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตงชิงออกมาไม่ได้เพราะว่าฮูหยินห้า นางจึงพาปินจวี๋มาด้วย
สืออีเหนียงเหลือบมองปินจวี๋ ลี่ว์อวิ๋นและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังหู่พั่ว นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้จะเรียกเขาว่าคุณชายน้อยเฟิ่งชิงไม่ได้แล้ว ท่านโหวตั้งชื่อให้เขาว่าสวีซื่อเจี้ย นับจากนี้ไป พวกเจ้าต้องเรียกเขาว่าคุณชายน้อยห้า”
เช่นนี้ แสดงว่ายอมรับแล้ว…
หู่พั่วและคนอื่นๆ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ซ่อนไว้เช่นนี้ ใครเล่าจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น ในที่สุดก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว
พวกนางย่อเข่าแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรียกเขาว่า “คุณชายน้อยห้า”
สวีลิ่งอี๋พาสวีลิ่งควนกลับไปที่เรือนของตัวเอง สืออีเหนียงมักจะรู้สึกว่าเรือนปั้นเย่ว์พั่นถึงแม้ว่าจะปลอดภัย แต่มันตั้งอยู่ห่างไกล อีกทั้งยังว่างเปล่า นางบอกให้คนไปที่เรือนของฉินอี๋เหนียง ไปตรวจดูว่าเรือนเดิมของสวีซื่ออวี้เผาเตาแล้วหรือยัง บอกให้ปินจวี๋อุ้มเด็กไปส่งให้ตงชิง ไล่บ่าวรับใช้ของสวีลิ่งอี๋ออกไปจากห้องหนังสือ ตัวเองยกชาเข้าไปข้างใน
เดินเข้าไปนางก็ได้ยินสวีลิ่งอี๋ถามอย่างไม่เกรงใจ “…เจ้ารับผิดชอบ? ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่าเจ้าจะรับผิดชอบเช่นไร”
“แต่ว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนก่อ ข้าจะหาวิธีอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ…” สวีลิ่งควนหน้าแดง เขาเบิกตามองสวีลิ่งอี๋
“เจ้าคิดว่าเรื่องมันยังไม่ใหญ่พอเช่นนั้นหรือ!” สวีลิ่งอี๋เห็นท่าทีไม่ยอมรับผิดของสวีลิ่งควน เขาก็โมโหจนเห็นเส้นเลือดใหญ่ “เจ้าจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ? เจ้าจะพูดอะไร พูดอย่างไร บอกว่าเด็กคนนี้คือบุตรของเจ้าเช่นนั้นหรือ ให้คนอื่นคิดว่าเจ้ากำลังออกหน้ารับผิดแทนข้าเช่นนั้นหรือ หรือจะบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่บุตรของสกุลสวี ปัดความรับผิดชอบของตัวเอง…”
สืออีเหนียงกระแอมเบาๆ
สองพี่น้องก็มองออกไป
สวีลิ่งอี๋เอ่ยเรียก “พี่สะใภ้สี่” ด้วยสีหน้าที่รู้สึกละอายใจ
แต่สวีลิ่งอี๋กลับยังมีสีหน้าโมโห “จัดการเรียบร้อยหมดแล้วหรือ”
“ข้าจะให้เขาอยู่ที่เรือนเดิมของสวีซื่ออวี้…” สืออีเหนียงยกชาเข้ามา เล่าเรื่องของสวีซื่อเจี้ยสั้นๆ แล้วขยิบตาให้สวีลิ่งอี๋ “แต่ว่าจะบอกกล่าวกับอี๋เหนียงสองสามคนเช่นไรนั้น ต้องขอคำปรึกษาจากท่านโหวก่อนเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋หันหน้าเดินเข้าไปในห้องหนังสือของเรือนหน่วนเก๋อกับสืออีเหนียง
“มีเรื่องอันใดหรือ”
แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อว่าสืออีเหนียงจะปรึกษาเขาเรื่องของบรรดาอี๋เหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเห็นว่าท่านโหวตำหนิคุณชายห้าจนเขาตกใจกลัวเช่นนั้น หรือว่าปกติท่านโหวก็พูดเช่นนี้กับทุกคนหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
“ไม่ใช่…” ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดเสริมอีกว่า “แต่เพราะเขาเป็นน้องชายของข้า!”
คนเรามันจะเข้มงวดกับคนที่สนิทสนมกับตัวเอง มากกว่าคนแปลกหน้าเมื่อพวกเขาทำผิดพลาด
สวีลิ่งอี๋ตระหนักขึ้นมาได้ สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ให้ข้าอุ่นสุรามาให้ดีหรือไม่เจ้าคะ อากาศหนาวๆ เช่นนี้ จะได้อบอุ่น”
“ก็ดี…” สวีลิ่งอี๋ตอบอย่างลังเล
นิสัยของคนเราไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่การยอมเปลี่ยนคือเรื่องที่ดี!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วออกไปบอกกล่าวกับสาวใช้ บอกให้ห้องครัวทำอาหารมาสองสามอย่าง รวมถึงอุ่นสุราจินหวามาให้ด้วย จากนั้นก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
หู่พั่วกำลังรอนางกลับมา
“ฉินอี๋เหนียงไม่ได้เผาเตาไว้เจ้าค่ะ ได้ยินว่าคุณชายน้อยห้าจะย้ายไปที่นั่น จึงให้สาวใช้ไปทำความสะอาดเจ้าค่ะ”
“อืม!” สืออีเหนียงแปลกใจกับการเชื่อฟังของฉินอี๋เหนียง “นางได้ยินว่าท่านโหวรับเด็กมาเลี้ยงแล้วไม่ได้พูดอะไรหรือ”
เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ หู่พั่วพลันรู้สึกว่ามันแปลกๆ เช่นกัน
ตอนที่ตนเห็นเด็กคนนั้นตัวเองยังตกใจ ตอนที่ป้าตู้อุ้มเด็กไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน นางก็ยิ่งตกใจมากขึ้นกว่าเดิม กลัวว่าไท่ฮูหยินจะโทษว่าสืออีเหนียงช่วยท่านโหวปิดบังไท่ฮูหยิน ต่อมาได้ยินว่าท่านโหวรับเด็กคนนั้นไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เลี้ยงดูแลอยู่ในจวน แล้วยังให้สืออีเหนียงเป็นคนดูแล นางคิดว่ามันเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ สั่งสอนเขาดีเป็นเรื่องที่สมควร แต่หากเกิดอะไรขึ้นมันก็จะกลายเป็นความผิดของสืออีเหนียงทั้งหมด…ตัวเองยังรู้สึกขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินอี๋เหนียงที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของนาง
“ดูเหมือนตอนนั้นนางจะตกใจเจ้าค่ะ…” หู่พั่วพูด “จากนั้นก็ยิ้มแล้วบอกให้สาวใช้ไปทำความสะอาดเรือน…แล้วยังถามบ่าวอีกว่าอยากได้เสื้อผ้าเก่าๆ ที่คุณชายน้อยสองเคยสวมใส่ตอนเด็กหรือไม่…”
“ถามว่าอยากได้เสื้อผ้าเก่าๆ ที่คุณชายน้อยสองเคยสวมใส่ตอนเด็กหรือไม่?” สืออีเหนียงพึมพำ “ราวกับว่านางจะรู้ที่มาของคุณชายน้อยห้า”
ประโยคคำถามนี้มันกว้างเกินไป หู่พั่วไม่กล้าตอบ จึงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ฮูหยินเจ้าคะ ตอนนี้คุณชายน้อยห้ามีเรือนของตัวเองแล้ว ท่านคิดว่า เราควรจะเพิ่มบ่าวรับใช้ในเรือนดีหรือไม่เจ้าคะ ตงชิงก็ไม่เด็กแล้ว นางออกเรือนได้ตลอดเวลา เราต้องวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าค่ะ!”
หากไม่มีเรื่องของสวีซื่อเจี้ย นางคงจะได้แต่งงานออกเรือนไปตั้งนานแล้ว
“จะปีใหม่แล้ว ตอนนี้ยังไม่มีคนที่เหมาะสม” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “รอให้ผ่านเทศกาลโคมไฟไปก่อนแล้วค่อยเลือกคนที่เหมาะสม ตัดสินใจก่อนนางแต่งงาน”
หู่พั่วตอบรับ มีสาวใช้เข้ามารายงาน “อี๋เหนียงทั้งสามท่านมาคารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วบอกหู่พั่ว “ไปอุ้มคุณชายน้อยห้ามาให้บรรดาอี๋เหนียงทำความรู้จัก”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป สืออีเหนียงบอกสาวใช้คนนั้น “เชิญอี๋เหนียงทั้งสามเข้ามาเถิด” จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องโถง
คนที่เดินเข้ามาคนแรกคือเหวินอี๋เหนียง นางยิ้มหน้าบานด้วยความชอบอกชอบใจ ฉินอี๋เหนียงเดินก้มหน้าก้มตาตามนางเข้ามา ทำให้นางดูสงบเสงี่ยมเจียมตัว ส่วนเฉียวเหลียนฝังเหมือนกับปกติ อกผายไหล่ผึ่ง เชิดหน้าเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่เย่อหยิ่ง
พวกนางสามคนทำความเคารพ สืออีเหนียงบอกให้พวกนางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
เมื่อสาวใช้ยกชาเข้ามา เหวินอี๋เหนียงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิง ข้าได้ยินมาว่าท่านโหวรับเด็กมาเลี้ยงในนามของถงอี๋เหนียง เรื่องจริงหรือเจ้าคะ”
นางช่างเป็นคนตรงไปตรงมา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ถงอี๋เหนียงมาเข้าฝันท่านโหว ท่านโหวจึงรับเด็กมาเลี้ยงในนามของนาง ตั้งชื่อให้ว่าซื่อเจี้ย อยู่อันดับที่ห้า พรุ่งนี้ในพิธีบูชาบรรพบุรุษก็จะเขียนชื่อของเขาไว้ในสมุดรายชื่อของวงศ์สกุลด้วย”
นางพูดพร้อมกับมองดูสีหน้าของฉินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝัง
ฉินอี๋เหนียงยิ้มแต่กลับกำนิ้วมือของตัวเอง ท่าทางดูไม่ค่อยสบายใจ
เฉียวเหลียนฝังมีสีหน้าตกใจ จากนั้นนางก็เอียงหูเข้ามาฟังด้วยท่าทีสนใจ
“ไอ๊หยา!” เหวินอี๋เหนียงทำท่าทีมีความสุข ราวกับเลี้ยงเด็กคนนี้ในนามของตัวเอง “ถงอี๋เหนียงช่างมีวาสนาเสียจริง เสียชีวิตไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว แต่ท่านโหวยังคิดถึงอยู่เสมอ แต่จะว่าไปแล้วพี่หญิงเป็นคนใจกว้าง นางถึงได้มีวาสนาเช่นนี้…”
สืออีเหนียงยิ้มรับคำชมของเหวินอี๋เหนียง แต่สายตากลับไม่ละจากอี๋เหนียงอีกสองคนในห้อง
รอยยิ้มของฉินอี๋เหนียงเริ่มไม่เป็นธรรมชาติ แต่เฉียวเหลียนฝังกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป นางก้มหน้าครุ่นคิด
ข่าวของเหวินอี๋เหนียงรวดเร็วเสมอ นางรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เฉียวเหลียนฝังดูเหมือนว่าจะพึ่งรู้ เช่นนั้น ฉินอี๋เหนียงรู้ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดนางถึงดูไม่สบายใจ จะว่าไปแล้ว ถงอี๋เหนียงคือน้องสาวเรือนเดียวกันกับนาง…
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วตอบกลับเหวินอี๋เหนียง “…รับใช้กันมาตั้งแต่เด็ก ก็ต้องมีความสัมพันธ์กันมากเป็นธรรมดา เมื่อตอนที่ยังเยาว์วัย ท่านโหวก็เอาแต่ยุ่งกับงานจึงไม่ได้สนใจ สองสามวันมานี้ได้มีโอกาสพักผ่อน จึงนึกถึงความอบอุ่นของเมื่อก่อนขึ้นมา แล้วนางยังหน้าตาสะสวยงดงามเช่นนั้น ท่านโหวจะลืมลงได้เช่นไรกัน…”
ฉินอี๋เหนียงฝืนยิ้ม เฉียวเหลียนฝังกำหมัดแน่น
บรรยากาศในห้องค่อยๆ หดหู่ลง ทำให้ผู้คนรู้สึกหงุดหงิดใจ
โชคดีที่การมาถึงของหู่พั่วได้ทำลายบรรยากาศนี้ไป
“ฮูหยิน คุณชายน้อยห้ามาแล้วเจ้าค่ะ!” นางยิ้มแล้วอุ้มสวีซื่อเจี้ยเดินเข้ามา
สายตาของทุกคนในห้องจับจ้องไปที่เขา
แต่เขากลับเบิกตามองไปรอบๆ ราวกลับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“ไอ๊หยา หน้าตาหล่อเหลาเสียจริง” เหวินอี๋เหนียงเดินเข้าไปจับมือเล็กๆ ของเขา จากนั้นก็หยิบกำไลทองออกมาจากแขนเสื้อ “มาเร็ว คุณชายน้อยห้า ข้ามอบของชิ้นนี้ให้เจ้า”
สวีซื่อเจี้ยมองเหวินอี๋เหนียงด้วยสายตาที่หวาดระแวง
หู่พั่วรีบพูด “คุณชายน้อยห้า ท่านนี้คือเหวินอี๋เหนียงเจ้าค่ะ นางมอบของขวัญให้ท่าน ท่านต้องพูดว่า ‘ขอบพระคุณขอรับ’ นะเจ้าคะ”
สวีซื่อเจี้ยไม่พูดไม่จา เขากะพริบตามองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกเขาว่า “เจ้าต้องพูดว่า ‘ขอบพระคุณขอรับเหวินอี๋เหนียง’”
“ขอบพระคุณขอรับ!” เขาเอ่ยขอบคุณเหวินอี๋เหนียงเบาๆ น้ำเสียงนั้นคมชัดและไพเราะ
เหวินอี๋เหนียงตกอยู่ในภวังค์ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “น้ำเสียงช่างไพเราะเสียจริง”
หู่พั่วอุ้มสวีซื่อเจี้ยมาคารวะฉินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝัง
ฉินอี๋เหนียงมอบสร้อยคอเงินให้เขา แต่เฉียวเหลียนฝังกลับไม่ได้เตรียมของอะไรมา นางมองไปที่ดวงตาของเด็กคนนั้นอย่างตกอยู่ในภวังค์แล้วพูดว่า “…ประเดี๋ยวให้ซิ่วหยวนส่งมาให้”
เจอกันแล้ว เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว สืออีเหนียงจึงบอกให้หู่พั่วอุ้มสวีซื่อเจี้ยออกไป จากนั้นก็พูดคุยกับอี๋เหนียงทั้งสามคนที่มีสีหน้าแตกต่างกันไปอีกสองสามประโยค ยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วเดินไปยังห้องหนังสือ
เพราะว่าสองพี่น้องกำลังพูดคุยกัน จึงไล่บ่าวรับใช้ในห้องออกไปจนหมด เหลือไว้เพียงเด็กรับใช้ชายหนึ่งคนเฝ้าอยู่ใต้ชายคา
อากาศหนาว เด็กรับใช้ชายคนนั้นกำลังยืนกำมือหนาวอยู่ตรงนั้น เห็นสืออีเหนียงเดินมา ก็รีบยืนตัวตรง กำลังจะรายงาน แต่สืออีเหนียงทำท่าทางบอกให้เขาเงียบ จากนั้นก็ให้ลี่ว์อวิ๋นมอบเงินให้เขาสองสามอีแปะ เปิดม่านแล้วเดินเข้าไปเงียบๆ
เตียงเตาข้างหน้าต่างมีแค่โคมไฟที่จุดไฟอยู่ มองผ่านห้องที่แสงไฟสลัว จึงมองไม่ค่อยชัด ได้ยินแค่เสียงของสวีลิ่งอี๋ “…หากไม่ใช่เพราะว่าพี่สะใภ้สี่ของเจ้าเป็นคนมีเมตตา เรื่องราวจะผ่านไปอย่างราบรื่นขนาดนี้ได้เช่นไร”
สวีลิ่งอี๋กำลังพูดถึงนางอยู่?
สืออีเหนียงตกใจ
นางคิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะพูดถึงนางเช่นนี้ต่อหน้าน้องชายตัวเอง…