ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 183 งบปลายปี(ปลาย)
คำพูดหวานๆ ที่ออกมาจากปากของสืออีเหนียง มันช่างมีเหตุผลและหนักแน่น ทำให้สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วรู้สึกเยือกเย็น
เขาอดไม่ได้ที่จะมองคนที่อยู่ตรงหน้า
รูปร่างที่ผอมเพรียว ผมดำที่ปลิวไสว ใบหน้าที่ขาวราวกับหิมะ ดวงตาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า มันช่างลึกลับคาดเดายาก มีความซับซ้อนที่อธิบายไม่ได้ เขาตกใจอยู่ตรงนั้น
นี่คือสตรีที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองเมื่อคืน…?
เขารู้สึกไม่มั่นใจ
เมื่อสืออีเหนียงเห็นเขามองมาที่ตัวเองแต่กลับไม่ตอบคำถามของนาง นางคิดว่าเขาไม่อยากตอบ นางก็ไม่อยากบังคับเขา จึงยิ้มแล้วรับชามาจากสาวใช้ “ท่านโหวดื่มชาร้อนสักถ้วยสิเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ตอบ “อืม” จากนั้นก็ได้สติกลับมา รับชามาจิบ
สาวใช้จัดโต๊ะที่อยู่บนเตียงเตา มีท่านป้ายกอาหารเช้าเข้ามา
ทุกอย่างทำตามที่สวีลิ่งอี๋ชอบทาน
สืออีเหนียงค่อยๆ ขยับซุปเปรี้ยวเผ็ดในถ้วยกระเบื้องสีขาวไปที่มือข้างขวาของสวีลิ่งอี๋ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋มองดูรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสุภาพของนาง เขาพลันนึกถึงเสียงหัวเราะที่ราวกับเสียงระฆังเมื่อคืนนี้
เขาก้มหน้าทานซุปเปรี้ยวเผ็ด สืออีเหนียงคีบซาลาเปาใส้เห็ดใส่ชามดินเผาสีทองให้สวีลิ่งอี๋
“เปลี่ยนผ้าม่านผืนนั้นเถิด!” จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นบอกนาง “เดิมทีก็เผาสมุนไพรอยู่แล้ว แล้วยังนอนอยู่บนเตียงไม้เซียงหนาน ข้างนอกก็แขวนผ้าม่าน มันอึดอัดเกินไป”
สืออีเหนียงมองไปตามสายตาของเขา เห็นม่านสีแดงผืนใหญ่แขวนอยู่บนเตียง
ข้าวของเครื่องใช้ในเรือนล้วนแต่มีกำหนด แต่สวีลิ่งอี๋เป็นนายท่านของจวนหลังนี้ เขาสามารถตัดสินใจได้ ถึงแม้จะมีคนคิดว่าไม่เหมาะสม แต่เขาก็สามารถตอบกลับไปได้อย่างมีเหตุผล
สืออีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ปรึกษาเขา “ท่านโหวคิดว่าแขวนผ้าม่านแบบไหนดีเจ้าคะ”
ตอนนี้สวีลิ่งอี๋ก็ยังไม่มีความคิดที่ดี เขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “แขวนม่านมุ้งก็ได้”
สืออีเหนียงไม่ว่าอะไร นางรับใช้เขาทานอาหารเช้า จากนั้นก็ไปหาม่านจิ่นซาสีขาวพระจันทร์ ม่านเจียวปู้สีแดงและม่านเถียวซาสีเงินในห้องเก็บของ
“ท่านโหวคิดว่าผืนไหนดีเจ้าคะ”
ดูเหมือนว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ชอบสักแบบ
อี๋เหนียงสามคนมาคารวะพอดี พวกนางเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วอธิบาย “ท่านโหวบอกว่าในห้องร้อนเกินไป ให้ข้าเปลี่ยนผ้าม่าน”
ฉินอี๋เหนียงพยักหน้า “ท่านโหวเป็นคนไม่ชอบร้อนอยู่แล้ว”
แต่เหวินอี๋เหนียงกลับพูดว่า “ให้ห้องเย็บปักถักร้อยทำม่านเก๋อปู้ชั้นดีมาให้ดีหรือไม่เจ้าคะ มันสวยงามกว่าม่านจิ่นซา ม่านเจียวปู้และม่านเถียวซาสีเงินอีกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงแต่งเข้ามาเมื่อเดือนเก้า สินเดิมมีแค่ม่านจิ่นซาที่เอาไว้ใช้ตอนฤดูใบไม้ร่วงและม่านเจียวซา ส่วนผ้าเก๋อซาและผ้าเซียวซาที่มักจะเอามาทำผ้าม่านในฤดูร้อน เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างปีหน้าสกุลหลัวถึงจะส่งมาให้ ในห้องเก็บของของนางก็ไม่มีผ้าเก๋อซา เหวินอี๋เหนียงรู้ดีอยู่แล้ว นางยิ้มแล้วพูดว่า “พอดีเรือนข้ายังมีผ้าเก๋อซาชั้นดีอยู่ หากพี่หญิงคิดว่าดี ข้าก็จะบอกชิวหงนำมาให้ท่านดู”
เตียงของตัวเองแขวนม่านของเหวินอี๋เหนียง…สืออีเหนียงไม่ได้จะปฏิเสธ แต่นางยังไม่ทันได้พูดอะไร เฉียวเหลียนฝังที่เอาแต่เงียบอยู่ข้างๆ ก็พูดออกมาว่า “ผ้าเก๋อซาข้างนอกทั้งหนักทั้งไม่ระบายอากาศ จะเทียบกับของกรมพระราชวังได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อท่านโหวรู้สึกว่ามันอึดอัด ไม่สู้ไปเอาผ้าเก๋อซาของกรมพระราชวังมาทำม่านดีกว่า” พูดจบนางก็หยุดพูด ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียง “ฮูหยินเจ้าคะ ผ้าเก๋อซามีสีเหลือง เหมาะกับโต๊ะเก้าอี้สีดำในเรือนของท่านมากเจ้าค่ะ ข้าคิดว่า ใช้ม่านเก๋อซาดีกว่าเจ้าค่ะ”
บอกให้ตัวเองไปขอผ้าม่านจากกรมพระราชวัง คงมีแค่นางที่คิดได้ คิดว่านางเป็นเด็กน้อยเช่นนี้หรือ แต่นางไม่ได้จะโต้ตอบเฉียวเหลียนฝัง เพราะสถานะของพวกนางสองคนไม่เหมือนกัน นางชนะอยู่แล้ว!
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ นางแค่ยิ้มอย่างแผ่วเบาให้เฉียวเหลียนฝัง
เหวินอี๋เหนียงที่ถูกเฉียวเหลียนฝังขัดจังหวะก็ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ต่อมาเห็นว่าสืออีเหนียงไม่พูดอะไร นางจึงรีบเดินเข้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “เฉียวอี๋เหนียงช่างมีความรู้ คนบ้านๆ อย่างข้า รู้แค่ว่าผ้าเก๋อซาแพงกว่าทองเสียอีก คิดว่ามันเหมาะสมกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
“สิ่งของจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่แพงหรือว่าถูก” เฉียวเหลียนฝังยิ้ม “แค่ใช้ให้มันเหมาะสมก็พอ”
สืออีเหนียงแอบอมยิ้ม
คนที่บอกว่าในห้องอึดอัดคือสวีลิ่งอี๋ คนที่จะเปลี่ยนม่านก็คือสวีลิ่งอี๋ จะใช้ผ้าม่านแบบใดก็ต้องให้เขาเห็นด้วย
นางโน้มตัวแล้วพึมพำ “ท่านโหว ท่านคิดว่าเช่นไรเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ทำม่านเก๋อซาชั้นดีเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ แต่สืออีเหนียงกลับเห็นสายตาที่ดีอกดีใจของเฉียวเหลียนฝัง “เรื่องนี้ ข้าบอกให้พ่อบ้านไป๋เป็นคนจัดการ”
เขาพูดเช่นนี้ ใครจะกล้าคัดค้าน
สืออีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็มาคารวะสวีลิ่งอี๋ พึ่งคารวะเสร็จ สวีซื่ออวี้และจุนเกอก็มาพอดี หลังจากนั้นสวีลิ่งอี๋จึงจะพาภรรยาไปคารวะไท่ฮูหยินที่เรือน สืออีเหนียงเชิญอี๋เหนียงทั้งสามคนมาพูดคุยกันตอนยามเซินเป็นครั้งแรก “…วันนี้เป็นวันตรุษจีนเล็ก ทุกคนมาอยู่ด้วยกันเถิด”
อี๋เหนียงทั้งสามคนย่อเข่าแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” สวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงและเด็กๆ ทั้งสามคนออกไป
ระหว่างทาง สืออีเหนียงอธิบายให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “เงินเดือนของเรือนเรา จ่ายเงินของปีใหม่ไปหมดแล้วเจ้าค่ะ เสื้อผ้าปีใหม่ของสาวใช้และท่านป้าก็ทำเสร็จแล้ว อีกสองวันก็คงจะยุ่ง ข้าอยากจะถือโอกาสจัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อย”
สวีลิ่งอี๋เฉยเมย “เจ้าตัดสินใจเองเถิด”
พวกเขาไปถึงเรือนของไท่ฮูหยิน คุณชายสามและฮูหยินสาม คุณชายห้า ฮูหยินห้า สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนก็อยู่ที่นั่น ทุกคนกำลังคุยเรื่องขึ้นปีใหม่
ทุกคนคำนับกัน คุณชายห้าก็ยิ้มแล้วพาสวีลิ่งอี๋ไปนั่งข้างๆ ไท่ฮูหยิน “พี่สี่ ปีนี้ท่านอยู่ขึ้นปีใหม่ที่จวน เราซื้อประทัดมาเยอะหน่อยดีหรือไม่”
“พูดว่าข้าอยู่ขึ้นปีใหม่ที่จวนเช่นนี้” สวีลิ่งอี๋เอ่ยด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน “หรือว่าปีที่ผ่านมาข้าไม่ได้อยู่ที่จวนเช่นนั้นหรือ”
คุณชายห้าเห็นว่าพี่ชายตัวเองดูอ่อนโยน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ปีที่ผ่านมาท่านก็อยู่ที่จวน แต่ว่าต้องไปราชสำนัก ไปสังสรรค์ ไม่เหมือนปีนี้ ท่านจะได้อยู่กับพวกเรามากขึ้น”
สวีลิ่งอี๋ประทับใจในสิ่งที่เขาพูด
ต้นฤดูใบไม้ผลิพี่สามก็ต้องออกไปรับตำแหน่งแล้ว ต่อไปเขาคงจะไม่ได้ขึ้นปีใหม่ที่จวน วันที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนปีนี้ ต่อไปคงจะมีไม่บ่อยแล้ว
“ได้สิ!” เขายิ้ม “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ให้เจ้าเป็นคนจัดการ”
คุณชายห้ามองสวีลิ่งอี๋ด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจะรับปากอย่างง่ายดายเช่นนี้ พลันดีใจขึ้นมาทันที
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็พูดว่า “แต่ว่า ในเมื่อเจ้าเป็นคนพูดเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องประทัด”
“ได้เลย!” คุณชายห้ายิ้ม “ข้าถนัดเรื่องนี้ที่สุด”
“ไม่เพียงแต่ต้องรับผิดชอบเรื่องประทัด” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดเสริม “แล้วยังต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของคนในจวน ประการแรก อย่าจุดประทัดแล้วเกิดไฟไหม้ ประการสอง อย่าจุดประทัดแล้วทำให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บ เจ้าทำได้หรือไม่”
“ไม่ต้องเป็นห่วง” คุณชายห้าตบหน้าอกตัวเอง “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง!” เขาพูดเสียงดังกว่าปกติ
แต่ไท่ฮูหยินกลับไม่ค่อยโล่งใจ นางรีบกำชับให้เขาระวัง แล้วยังบอกให้ดูว่าถังน้ำของแต่ละเรือนเติมน้ำไว้แล้วหรือยัง ที่ใดที่เกิดอุบัติเหตุง่ายก็ให้คนไปเฝ้าอย่างระมัดระวัง…
“ท่านแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร” คุณชายห้าเห็นว่าท่านแม่มีท่าทีเช่นนี้ เขาก็รู้สึกท้อแท้ใจ
ไท่ฮูหยินได้สติกลับมา นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าแก่แล้ว ชอบจู้จี้จุกจิก”
คุณชายห้าได้ยินเช่นนี้ก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ชี้ไปที่สวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้ “พวกเจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”
ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนท่าทางจะดูสงบ แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพียงเด็ก จึงพยักหน้าด้วยความสนใจ
สวีซื่อเจี่ยนเห็นเช่นนี้ก็อยากไปด้วย จุนเกอเห็นว่าเขาจะไปด้วยก็อยากไปด้วย ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คึกคักเป็นอย่างมาก
สวีซื่อฉินหัวเราะเยาะน้องชาย “เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆ อย่าไปยุ่ง เจ้าอยู่เล่นเป็นเพื่อนจุนเกอที่เรือนก็พอ”
สวีซื่อเจี่ยนไม่พอใจ เขาตะโกนเสียงดัง “ปีใหม่ปีนี้เจ้าต้องไปเยี่ยมสกุลพ่อตาแม่ยาย เจ้าจะเอาเวลาที่ไหนไปจัดการเรื่องประทัดกับท่านลุงห้า”
ประโยคเดียวทำเอาคนทั้งห้องตกใจ สวีซื่อฉินเขินอายจนหน้าแดง สวีซื่ออวี้ทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม กะพริบตาให้สวีซื่อฉิน เจินเจี่ยเอ๋อร์ก้มหน้าก้มตา ทำท่าทีราวกับกว่าไม่ได้ยิน สวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอรู้สึกว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป คนหนึ่งกำลังสับสน อีกคนกำลังมองซ้ายมองขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดูซื่อบื้อราวกับห่านที่กำลังเหม่อลอย ช่างน่ารักน่าเอ็นดู
ไท่ฮูหยินหัวเราะเบาๆ แล้วพูดกับสวีซื่อฉิน “พวกเจ้าไปเล่นเถิด ประเดี๋ยวพวกข้าพูดคุยกัน พวกเจ้าจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดราวกับนั่งบนเข็ม” เห็นได้ชัดว่านางอยากจะไล่เด็กๆ ออกไป
พวกเด็กๆ พากันไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
ไท่ฮูหยินก็ยิ้มแล้วมองไปที่ฮูหยินสาม “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ฮูหยินสามหน้าซีด ทันใดนั้นก็ได้สติกลับมาแล้วรีบพูดว่า “ท่านแม่ ก็แค่พูดกันไว้เจ้าค่ะ ยังไม่แน่นอน จึงไม่ได้บอกท่าน”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเป็นบิดามารดา ถึงแม้ว่าข้าจะสนิทกับเขามากแค่ไหนแต่ข้าก็เป็นแค่ท่านย่า เดิมทีก็ต้องให้พวกเจ้าตัดสินใจอยู่แล้ว ข้าแค่พึ่งเคยได้ยิน จึงถามพวกเจ้า ข้าจะได้เตรียมของขวัญให้หลานสะใภ้”
ประโยคนี้ฟังดูแล้วไม่มีอะไร แต่คิดดูแล้วเหมือนมีอะไร
ฮูหยินสามมองไปขอความช่วยเหลือจากคุณชายสาม
“ท่านแม่ อย่าไปฟังเด็กๆ พูดจาเหลวไหลขอรับ” คุณชายสามเห็นเช่นนี้ก็รีบยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “เราเห็นว่าเสียนเจี่ยเอ๋อร์ของท่านลุงอายุเท่ากับฉินเกอ หน้าตาก็ดี นิสัยก็อ่อนโยน จึงคิดว่า หากฉินเกอของเราได้แต่งกับภรรยาเช่นนี้คงจะดี ท่านก็รู้ว่า ท่านลุงเป็นทายาท เสียนเจี่ยเอ๋อร์ก็เป็นบุตรสาวคนโต…เราจึงแค่คิดไว้เช่นนี้ขอรับ”
ฮูหยินสามอยากให้สวีซื่อฉินแต่งงานกับหลานสาวของตัวเอง?
นี่มันคือการแต่งงานระหว่างครอบครัว วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ห้ามเอาไว้อย่างชัดเจน!
สืออีเหนียงมองไปที่ไท่ฮูหยินด้วยความกังวล
แต่ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้กลับยิ้มแล้วพยักหน้า “เสียนเจี่ยเอ๋อร์หน้าตาดีจริงๆ ข้าก็เห็นว่านางเป็นเด็กที่ดี” ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ แต่ใครจะรู้ว่าไท่ฮูหยินเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “แต่ว่า เรื่องแต่งงาน เป็นเรื่องที่ต้องยินยอมทั้งสองฝ่าย พวกเจ้าก็ต้องฟังท่านลุงของพวกเจ้าด้วย พูดไปทั่วเช่นนี้ คนอื่นจะคิดว่าพวกเจ้าตกลงกันแล้ว หากคนสกุลกานมาได้ยินเช้า พวกเขาจะคิดเช่นไร!”
“เราไม่ได้พูดไปทั่วเจ้าค่ะ…” ฮูหยินสามกำลังจะแก้ตัว แต่คุณชายสามก็ดึงแขนเสื้อของนางแล้วคุกเข่าลง “ท่านแม่พูดถูกขอรับ เรื่องนี้เป็นความผิดของเรา ต่อไปเราจะระมัดระวังให้มากขึ้นขอรับ” ฮูหยินสามเห็นว่าสามีคุกเข่าลงแล้ว นางจึงต้องคุกเข่าตาม
“ลุกขึ้นเถิด!” นางยิ้ม “แค่เตือนพวกเจ้าเอาไว้ ต่อไปพวกเจ้าต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง หากยังไม่ระวังเช่นนี้ ข้าจะวางใจได้เช่นไร!”
คุณชายสามได้ยินไท่ฮูหยินพูดเป็นนัย เขาก็ได้สติขึ้นมา แต่ฮูหยินสามกลับดีใจ สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงรู้อยู่แก่ใจ พวกเขานั่งอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ คุณชายห้าไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว เขานั่งฟังอย่างเงียบๆ มีแค่ฮูหยินห้าตานหยางที่เลิกคิ้วอย่างครุ่นคิด