รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] - บทที่ 1161 ปัจเจกชน หลี่จิ่วเต้าเป็นที่พรั่นพรึง!
- Home
- รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]
- บทที่ 1161 ปัจเจกชน หลี่จิ่วเต้าเป็นที่พรั่นพรึง!
บทที่ 1161 ปัจเจกชน หลี่จิ่วเต้าเป็นที่พรั่นพรึง!
…………….
บทที่ 1161 ปัจเจกชน หลี่จิ่วเต้าเป็นที่พรั่นพรึง!
ขณะที่จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียรู้สึกอัปยศยังรู้สึกใจหาย เปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง
จบแล้ว พวกเขาจบเห่แล้วจริง ๆ ความห่างชั้นนั้นไม่ใช่น้อย ๆ มองไม่เห็นโอกาสชนะเลย!
“ไปเถิด หาที่ซ่อน หวังว่าพวกเราจะผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้!”
พวกเขาถอนหายใจกันระนาว ไม่เหลือความคิดอยากต่อสู้อีก ฝากความหวังไว้กับการหลบหนี
ทว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่าการหลบหนีก็ไร้ประโยชน์
เพราะวิหารโบราณลึกลับนั้นเลี้ยงกู่ พวกเขาต่างเป็น ‘แมลงกู่’ ท้ายที่สุดมีเพียงผู้ทรงพลังที่สุดจึงจะอยู่รอด ผู้ทรงพลังที่สุดจำต้องฆ่า ‘แมลงกู่’ ทั้งหมด
เพราะเหตุนี้ พวกเขาหลบอย่างไรก็ไร้ผล ถึงเวลาพวกเขาต้องถูกล่าตัวออกมาสังหารอยู่ดี
แต่ไม่ว่าอย่างไร หากพวกเขาซ่อนตัวก็ยังอยู่ต่อไปได้อีกสักระยะ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อ พวกเขาต้องตายในตอนนี้
พวกเขาไปจากในกระดาน คิดหาที่ซ่อนตัว ทว่าทันทีที่พวกเขาออกจากกระดานก็ถูกโจมตี!
มีสิ่งมีชีวิตหมายหัวพวกเขา!
“ผู้ใดกัน!”
พวกเขาตระหนก หัวใจหนักอึ้งเหลือแสน การโจมตีเมื่อครู่กะทันหันยิ่ง พวกเขาไหวตัวไม่ทัน ถูกโจมตีกันถ้วนหน้า เลือดเนื้อเละรวมกัน บาดเจ็บสาหัส!
เป็นผลให้พวกเขาหวาดหวั่นอย่างยิ่ง สิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงเช่นนี้มาจากไหนกัน!
พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่านอกจากพวกเขาแล้ว อาจยังมี ‘แมลงกู่’ อื่นอยู่ บัดนี้ได้เผยตัวออกจากความมืดทั้งหมดเพราะการจุติของวิหารโบราณลึกลับ
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้า”
สิ่งมีชีวิตตนนั้นก้าวออกจากที่มืด เป็นเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีขาว
เขามีดวงหน้าสะอาดสะอ้าน ดูคล้ายบัณฑิตสุภาพชน ในมือมีขลุ่ยหยก บุคลิกสูงส่งไร้มลทิน ไม่ได้ดูมีแรงกดดันแผ่ซ่านอะไร
“ข้ามีนามว่าเย่คง”
เขาบอกชื่อแซ่และภูมิหลังของตน “ข้ามีหนึ่งในสมาชิกแดนฝังศพ ที่มาหาพวกเจ้าครานี้ไม่ใช่เพื่อฆ่าพวกเจ้า หากแต่เพื่อเชิญพวกเจ้าเข้าร่วมแดนฝังศพ”
เอ่ยจบ เขาอธิบายเกี่ยวกับแดนฝังศพเพิ่มเติม
แดนฝังศพเป็นกองกำลังแห่งหนึ่ง สมาชิกล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิหารโบราณลึกลับส่งมา
“เป้าหมายการมีชีวิตอยู่ของพวกเราก็เพื่อต่อกรกับวิหารโบราณลึกลับ!”
เย่คงเอ่ย “พวกเขาส่งเรามา เพาะเลี้ยงเราเป็นกู่ แล้วเราต้องปล่อยให้พวกเขาสมปรารถนาหรือ ฆ่ากันไปฆ่ากันมาจนกลายเป็นผู้ทรงพลังที่สุดแล้วอย่างไร ต้องถูกพวกเขาควบคุม ไร้ซึ่งเสรีภาพอยู่ดี!”
เขาเอ่ยว่า แดนฝังศพนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยสาเหตุนี้ ต้องการต่อกรกับวิหารโบราณลึกลับ ฝ่าฟันเพื่อได้มาซึ่งอนาคต ช่วงชิงอิสรภาพของพวกตนคืน!
ที่ตั้งชื่อแดนฝังศพก็เป็นการสื่อความหมายว่าหากไม่สำเร็จ จักต้องอุทิศตน หากล้มเหลวจักต้องกลบดินฝังร่าง
จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียฟังแล้วสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ตื่นตระหนกเหลือแสน
ต่อกรกับวิหารโบราณลึกลับหรือ
ใจกล้าเกินไปแล้ว!
พวกเขาไม่เคยมีความคิดเช่นนี้มาก่อน!
ขณะเดียวกัน พวกเขายังตะลึงเหลือแสน ก่อนหน้าพวกเขายังมีสิ่งมีชีวิตอีกคณานับถูกวิหารโบราณลึกลับส่งมาที่นี่หรือ
พวกเขารู้สึกหนาวเหน็บ หวาดกลัวขึ้นมาเป็นที่สุด ก่อนนี้พวกเขาไม่รู้เรื่องเลย ยังคิดอยู่ว่าสิ่งมีชีวิตที่วิหารโบราณลึกลับส่งมามีเพียงพวกเขา!
“พวกเจ้าควรรู้สึกโชคดีที่ข้าเป็นผู้เจอตัวพวกเจ้าก่อน ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตนอื่น”
เย่คงกล่าว “หากสิ่งมีชีวิตตนอื่นเป็นผู้เจอตัวพวกเจ้าก่อน พวกเจ้าจักต้องตายไร้ที่ฝัง”
จากนั้น เขาเว้นจังหวะ “อันที่จริง ข้าบอกพวกเจ้าได้ด้วยว่าพวกเจ้าถูกหมายหัวไว้นานแล้ว สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเห็นพวกเจ้าเป็นเหยื่อไว้ตกสิ่งมีชีวิตตนอื่น”
เขาแถลงเหตุผลที่จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียรอดมาได้ถึงป่านนี้
“พวกเจ้าคือสิ่งมีชีวิตกลุ่มสุดท้ายที่ถูกส่งมา และเป็นกลุ่มที่คึกคะนองที่สุด ขณะเดียวกันยังเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดอีกด้วย”
เย่คงเอ่ย “บัดนี้ ในมุมมืดที่พวกเจ้ามองไม่เห็น มีสิ่งมีชีวิตจับตาดูพวกเจ้าอยู่ เพียงแต่ผู้ที่มาหาคือข้า พวกเขาถึงไม่กล้าวู่วามเท่านั้น”
เขาเอ่ยว่ายังมีสิ่งมีชีวิตที่คอยจับตาดูเหล่าจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียอยู่ในมุมมืด เพื่อใช้พวกเขาตก ‘ปัจเจกชน’
“ปัจเจกชน?!”
“หมายความว่าอย่างไร!”
จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียฟังแล้วสับสน ไม่เข้าใจว่าเย่คงหมายถึงอะไร
“เรื่องที่พวกเจ้าไม่รู้ยังมีอีกมาก”
เย่คงส่ายหัว “นอกจากแดนฝังศพ ยังมีกองกำลังอื่นอยู่ เป็นกองกำลังที่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รวมตัวกันก่อตั้ง เป้าหมายของพวกเขาไม่เหมือนแดนฝังศพ เป้าหมายที่พวกเขาดำรงอยู่คือเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตตนอื่น!”
บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังคือ ‘ปัจเจกชน’ เป็นเป้าหมายที่กองกำลังเหล่านี้ต้องการกำจัด
“เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน กำจัด ‘ปัจเจกชน’ ก่อน แล้วค่อยตัดสินครั้งสุดท้ายระหว่างกองกำลัง”
เย่คงกล่าว
จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียฟังแล้วรู้สึกแย่เป็นหนักหนา
เป็นถึงจ้าวแดนพิสุทธิ์ อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตนับล้าน สุดท้ายแล้วกลับไร้ค่าเสียยิ่งกว่า ‘ปัจเจกชน’ เป็นเพียงเหยื่อเท่านั้น!
“พวกเจ้าไม่ต้องรู้สึกเช่นนั้น ผู้ที่ไม่รู้ความจริงยังมีอีกมาก”
เย่คงเอ่ย “แม้แต่ ‘ปัจเจกชน’ จำนวนหนึ่งยังตกปลาไปเรื่อย มองไม่เห็นความจริงทั้งหมด”
พูดมาถึงนี่ เขาถอนหายใจ “ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าวิหารโบราณลึกลับคิดการใดอยู่ วางแผนจะทำสิ่งใด จำนวนสิ่งมีชีวิตที่ส่งมาเยอะจนน่าหวาดหวั่น มิหนำซ้ำสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนเป็นตัวตนระดับชูโรงในใต้หล้า แต่ละคนล้วนเปี่ยมไปด้วยศักยภาพ!”
ลงท้าย เขาสั่นศีรษะและเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะไม่ยอมปล่อยให้วิหารโบราณลึกลับสมดังใจหวัง พวกเราจะยอมให้พวกเขาบงการไม่ได้!”
เขาหันมองจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวีย “เอาละ พวกเจ้าจะตามเราไปหรือไม่”
“ไป!”
“พวกเรายินดีเข้าร่วมแดนฝังศพ!”
จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียตอบโดยไม่ลังเล
เห็นได้ชัดว่าการเข้าร่วมแดนฝังศพเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขา ตัวเลือกอื่นล้วนดีไม่สู้การเข้าร่วมแดนฝังศพ
“เช่นนี้ก็ดี ไปกันเถิด”
เย่คงคลี่ยิ้ม ทำท่าจะพาจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียไปจากที่นี่ทันที
ทว่าเวลานั้นเอง สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวออกมาเงียบเชียบ เข้ามาขวางพวกเย่คง
พวกเขามีกันหลายตน อยู่ในทิศทางแตกต่าง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างระแวงกันและกัน
“สนทนากันชั่วครู่นั้นได้ ครั้นเรื่องจะพาพวกเขาไปด้วยเลิกคิดเถิด!”
สิ่งมีชีวิตหนึ่งในนั้นกล่าว
นางคือสตรีผมสีทอง คิ้วก็เป็นสีทอง มิหนำซ้ำนัยน์ตายังเป็นสีทอง แรงกดดันน่าพรั่นพรึงแผ่ซ่านออกจากตัว จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียเห็นแล้วต้องอกสั่นขวัญแขวน
“จินหลี่แห่งไท่เยวียน”
เย่คงเรียกขานด้วยนามและฐานะของสตรีผมทอง
นอกจากนี้เขายังเรียกขานนามและฐานะของสิ่งมีชีวิตตนอื่นด้วย “ผีปรางค์แห่งสำนักหยิน วิญญาณหลงแห่งตำหนักสูญหาย หลัวเสวียนแห่งซากสุสาน จิ่งหย่าแห่งวังปี้อวี่”
มีกองกำลังมากมายเพียงนี้เชียวหรือ
จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียล้วนตกตะลึง ผิดคาดอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน พวกเขายังกลัวไม่หาย นี่กองกำลังทั้งห้าหมายหัวพวกเขาหมดเลยหรือ
พวกเขาหนาวไปทั้งสันหลัง ยังดีที่เย่คงมาหา มิฉะนั้นพวกเขาต้องลงเอยด้วยความตายแน่ ๆ!
เย่คงไม่ได้หลอกพวกเขา!
พวกเขากลัวจนไปหลบหลังเย่คงกันหมด สิ่งมีชีวิตห้าตนนี้ล้วนเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขามหันต์ พลังของสิ่งมีชีวิตทั้งห้าเหนือกว่าพวกเขามากนัก!
เทียบกับความตระหนกของพวกเขา เย่คงนั้นมีท่าทีราบเรียบ
ก่อนมาเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จึงเตรียมการเผื่อไว้แล้ว มีไพ่ตายในมือ ไม่ต้องกลัวว่าจินหลี่และคนอื่น ๆ จะเอาเรื่องเขา
“ทุกท่าน อย่าขวางทางเลย ข้ากล้ามาย่อมหมายความว่าข้ามีความมั่นใจ ทุกท่านคงทราบเรื่องนี้ดี”
เย่คงเอ่ยเสียงเรียบ “นอกจากนี้ พวกเราต่างจากทุกท่าน จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงของทุกท่าน เป้าหมายของพวกเรามีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือโค่นอำนาจวิหารโบราณลึกลับ!”
เขาเอ่ยต่อ “แม้นข้ารู้ว่าไม่มีทาง กระนั้นยังอยากเอ่ยสักประโยค ทุกท่านไม่คิดร่วมล้มล้างวิหารโบราณลึกลับกับพวกเราจริงหรือ”
เขารู้จักพวกจินหลี่ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ข้องแวะ ในอดีต แดนฝังศพเคยออกปากเชิญกองกำลังทั้งห้า ทว่าถูกปฏิเสธ
“พูดได้น่าฟัง แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
จินหลี่แค่นยิ้ม “พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ใช่หมาป่าในคราบแกะ มือถือสากปากถือศีล เบื้องหน้าเอ่ยว่าต้องการโค่นล้มวิหารโบราณลึกลับ แท้จริงแล้วเพื่อปกปิดความจริงที่ว่าต้องการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตตนอื่นเช่นเดิม เพื่อเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย!”
“ใช่แล้ว!”
ผีปรางค์ส่งเสียงหัวเราะชวนขนลุก “พวกเจ้าหลอกล่อสิ่งมีชีวิตตนอื่นมาเข้าร่วมด้วยเหตุผลนี้ เพื่อสร้างกองกำลังพวกตนให้แข็งแกร่ง ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้ากล้าต่อกรกับวิหารโบราณลึกลับจริง ๆ!”
มันเอ่ยต่ออีกว่า “หรือก็คือ พวกเจ้ากล้าหาญ แต่ใช่ว่าจ้าวแดนฝังศพของพวกเจ้ากล้าหาญด้วย พวกเจ้าเป็นเพียงเครื่องมือของจ้าวแดนฝังศพเท่านั้น”
“ถกเถียงกับพวกเจ้าไปก็ไร้ความหมาย”
เย่คงส่ายหน้าด้วยอารมณ์นิ่งเฉย “พวกเจ้าอย่าขวางทางข้าดีกว่า ข้านำพระบัญชาของจ้าวแดนฝังศพมาด้วย”
เอ่ยจบ เขาก็นำโองการออกมาฉบับหนึ่ง บนนั้นมีเพียงตัวอักษร ‘ฆ่า’ จิตสังหารพลุ่งพล่าน จนจินหลี่และคนอื่น ๆ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง
“นอกจากนี้ ข้าไม่ได้ทำอันใดร้ายแรง เพียงแต่พาพวกเขาไปด้วยเท่านั้น ในกระดานยังมีสิ่งมีชีวิตอีกตนไม่ใช่หรือ พวกเจ้าใช้เขาเป็นเหยื่อล่อก็ได้”
เย่คงเอ่ย
“เจ้าหลอกผู้ใดอยู่”
จิ่งหย่าแห่งวังปี้อวี่ โฉมสะคราญผิวขาวดวงหน้าเพริศพริ้ง ผู้มีขาเรียวยาวดึงดูดสายตาเป็นพิเศษเอ่ยขึ้น “ในกระดานมีสิ่งมีชีวิตเหลือที่ไหน เป็นเพียงพลังมวลหนึ่งเท่านั้น เป็นเหยื่อล่อได้อย่างไร”
“อะไรนะ!”
“ปิตาจารย์หลี่ไม่ได้อยู่ในกระดานหรือ?!”
หลังจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียได้ยินคำกล่าวของจิ่งหย่าแล้วต่างมีสีหน้าเหลือเชื่อ
“ไม่อยู่!”
จิ่งหย่าตอบ “ในนั้นมีเพียงพลังมวลหนึ่ง นับเป็นร่างแยกยังไม่ได้!”
พวกเขาควบคุมสถานการณ์ในกระดานไว้หมดแล้ว ปิตาจารย์หลี่ไม่ได้อยู่ในกระดาน ที่อยู่ในกระดานเป็นเพียงพลังมวลหนึ่งที่ปิตาจารย์หลี่ทิ้งไว้เท่านั้น
หลังได้ยินคำตอบของจิ่งหย่า จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียต่างมีสีหน้าไม่สู้ดี
เดิมพวกเขาคิดว่าร่างต้นหลี่จิ่วเต้าอยู่ในกระดาน ที่แท้ไม่ใช่เลย นี่พวกเขาถูกปิตาจารย์หลี่ปั่นหัวบงการตั้งแต่แรกแล้วหรือ
ขณะเดียวกัน พวกเขาเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเย่คงถึงไม่ไปหาปิตาจารย์หลี่ ถึงอย่างไร หากเย่คงชวนพวเขาเข้าร่วมได้ ไม่มีเหตุผลไม่ชวนปิตาจารย์หลี่เข้าร่วม บัดนี้คำตอบเผยออกมาแล้ว เย่คงรู้แต่แรกว่าในกระดานนั้นไม่ใช่ร่างต้นปิตาจารย์หลี่ เป็นเพียงพลังมวลหนึ่งของปิตาจารย์หลี่เท่านั้น
พวกเขาอกสั่นขวัญแขวน เห็นได้ชัดว่าปิตาจารย์หลี่นั้นน่าพรั่นพรึงกว่าที่พวกเขาคิด นอกจากนี้ ปิตาจารย์หลี่ยังรู้เรื่องมากกว่าพวกเขาอีกด้วย!
นับแต่แรกเริ่มก็เป็นการวางหมากของปิตาจารย์หลี่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นภาพมายาที่ปิตาจารย์หลี่สร้างขึ้นเท่านั้น!
“ไปละ”
เย่คงไม่ได้เอ่ยอันใดอีก พาจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียไปจากที่นี่
จินหลี่และคนอื่น ๆ ไม่ได้หยุดยั้ง พระบัญชาที่เย่คงนำมาสยดสยองเกินไป พวกเขาหยุดยั้งไปรังแต่จะสร้างความอัปยศให้ตนเอง ไม่อาจรั้งเย่คงไว้ได้เลย
จากนั้น พวกเขาแยกย้ายกันไปจากที่นี่
“ในหมู่สิ่งมีชีวิตกลุ่มสุดท้าย มีผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้อยู่ด้วยเชียวหรือ น่าทึ่งจริง ๆ!”
ระหว่างทาง เย่คงเอ่ยด้วยท่าทางสะท้อนใจ
จ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียต่างรู้ว่าเย่คงกล่าวถึงผู้ใด เย่คงกล่าวถึงปิตาจารย์หลี่!
“เขาลึกล้ำเกินหยั่งยิ่งนัก มองไม่ออกเลย บัดนี้ ทุกกองกำลังล้วนจับตามองเขาอยู่ ไม่กล้าผลีผลามลงมือ”
เย่คงส่ายหัว “น่าเสียดาย หากเขายอมเข้าร่วมแดนฝังศพย่อมต้องเป็นกำลังสำคัญได้แน่ ทว่ากองกำลังอื่นคงไม่ยอม”
แม้นแดนฝังศพเอ่ยว่าไม่เข้าร่วมการต่อสู้ กระนั้นกองกำลังอื่นก็ไม่ได้คิดเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างคอยระแวงแดนฝังศพ หากแดนฝังศพทรงพลังเกินไป กองกำลังอื่นย่อมไม่ยินยอม
พวกเขาไม่สามารถช่วงชิงตัวปิตาจารย์หลี่
หาไม่แล้วพวกเขาคงรีบไปทันที ไม่รอจนถึงป่านนี้ยังไม่เคลื่อนไหว
กองกำลังอื่นก็เช่นกัน มองตื้นลึกหนาบางของปิตาจารย์หลี่ไม่ออก จึงไม่ต้องการสุ่มสี่สุ่มห้าลงมือกับปิตาจารย์หลี่ กลัวว่าจะเป็นผลเสียต่อกองกำลังของตน ส่งผลกระทบต่อศึกตัดสินสุดท้าย
ปิตาจารย์หลี่ถือเป็น ‘ปัจเจกชน’ ที่พิเศษที่สุด บัดนี้ไม่ได้อยู่ในเป้าหมายที่ต้องกำจัด แต่ถูกจัดอยู่ในลำดับสุดท้าย
แน่นอนว่าความพรั่นพรึงที่พวกเขามีต่อปิตาจารย์หลี่ล้วนมาจากการต่อสู้ที่หลี่จิ่วเต้าช่วยจวินอีไว้ พวกเขามองตื้นลึกหนาบางของหลี่จิ่วเต้าไม่ออกจากการต่อสู้นั้น และจากการต่อสู้นั้น พวกเขาเริ่มให้ความสำคัญกับหลี่จิ่วเต้า ไม่กล้าวู่วาม
บัดนี้ ในแดนพิสุทธิ์ยังมีสิ่งมีชีวิตจากห้ากองกำลังใหญ่ลอบจับตาดูหลี่จิ่วเต้า
แต่เดิมฝ่ายแดนฝังศพก็มี ทว่าต่อมาถอนกำลัง พวกเขารู้ดีว่าห้ากองกำลังใหญ่ไม่ยอมให้หลี่จิ่วเต้าเข้าร่วมพวกเขา จึงถอดใจ
“นำพระบัญชาออกมาด้วยแล้ว คงกลับไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ ไปเถิด พวกเราไปชักนำสิ่งมีชีวิตอีกตนเข้าแดนฝังศพ”
เย่คงเอ่ย พาจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียมายังสถานที่หนึ่ง จนเจอตัวทรี
“เป็นปัจเจกชนอย่า ‘ตกปลา’ เลย รังแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น”
เย่คงมองทรีเอ่ยเสียงราบเรียบ
ก่อนนี้เขาบอกจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียว่ามีปัจเจกชนที่กำลังตกปลา นั่นหมายถึงทรี
พูดให้ถูกคือ หินแก่ชั่วช้าเบื้องหลังทรี!
วาจาที่เขาเอ่ยในยามนี้ต้องการสื่อไปถึงหินแก่ชั่วช้าผู้อยู่เบื้องหลังทรี ที่เขามานี่ก็ไม่ใช่เพื่อหว่านล้อมทรีมาเป็นพวก หากแต่เพื่อดึงหินแก่ชั่วช้ามาเป็นพวก
ต้องยอมรับว่า หินแก่ชั่วช้านั้นไม่ธรรมดา เรื่องอื่นยังไม่กล่าวถึง ลำพังฝีมือซ่อนตัวของหินแก่ชั่วช้าน่าทึ่งมากจริง ๆ แม้แต่เขายังไม่รู้พิกัดของมัน
เพราะเหตุนี้ เขาจึงได้แต่มาหาทรี เพื่อสนทนากับหินแก่ชั่วช้า
ทรีนั้นหาง่ายยิ่ง ไม่อาจปกปิดพลังปราณของตน เขาจับนางได้นานแล้ว หากไม่ใช่เขากลัวจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียทำเรื่องโง่ ๆ ออกไปสู้กับหลี่จิ่วเต้าต่อและรนหาที่ตาย เขาคงมาหาทรีก่อนแล้วค่อยไปหาจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวีย
…………….