รุ่นพี่สาวสวยที่ผมตกหลุมรักดันเป็นสาย S ตัวแม่ซะงั้น ! - ตอนที่ 2
ภาพที่ผมเห็นคือห้องเรียนที่ตอนนี้กลายเป็นห้องชมรม โต๊ะเรียนและเก้าอี้ส่วนใหญ่ถูกยกไปเรียงกันไว้ที่มุมห้องผ้าม่านสีขาดที่ยังดูสะอาดแม้จะไม่ได้ปัดฝุ่นหรือทำความสะอาดมานานโบกปลิวตามสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง ห้องเรียนที่ถูกย้อมไปด้วยแสงจากธรรมชาติที่สว่างสีขาวนวล ๆ เพราะยังเป็นตอนกลางวัน ในสถานที่ดังกล่าวที่เพียงผมและรุ่นพี่ฮิเมมิยะอยู่
ผมถูกรุ่นพี่ฮิเมมิยะเรียกมาที่ห้องชมรมตอนเที่ยงโดยที่ยังไม่รู้ว่าทำไม กำลังจ้องมองตัวตนของนักเรียนหญิงผู้ที่สวยจนทุกคนในโรงเรียนยอมรับ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นไอดอลประจำโรงเรียน เจ้าหญิงหิมะ ‘ฮิเมมิยะ ยูกิ’ กำลังอยู่ต่อหน้าผมในห้องที่ถูกล็อกเอาไว้
” ทาคายูกิคุง ”
รุ่นพี่เอ่ยเรียกชื่อของผมพร้อมทั้งหันหน้าอันแสนงดงามจนผมละสายตาไม่ได้ ภาพที่เห็นตอนนี้อย่างกับภาพวาดของศิลปินระดับโลกที่ต่อให้ทุ่มเงินซื้อแค่ไหนก็คงไม่พอ
” คะ-ครับ ”
ผมตอบกลับรุ่นพี่ฮิเมมิยะด้วยเสียงที่สั่นเพราะยังเขินอายอยู่ ตัวตนที่ทุกคนต่างคิดว่าสูงเกินเอื้อมแม้แต่ตัวผมเองกำลังส่งยิ้มอย่างเย้ายวนที่แฝงไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลที่ทำให้ชายหนุ่มทุกคนต้องสั่นสะท้าน
” คือว่านะ.. ”
รุ่นพี่ฮิเมมิยะที่พูดค้างเอาไว้ค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ เรียวขาที่สวยไร้ที่ติที่สวมถุงน่องยาวสีดำค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ผมทีละก้าว ใบ้หน้าของรุ่นพี่ที่เดิมจะแดงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับลูกพีชสีชมพูอวบอิ่ม ริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่ดูสุขภาพดีจากการไหลเวียนของเลือดในร่างกายกำลังสูบฉีด
ในระหว่างที่รุ่นพี่กำลังจะใกล้ถึงตัวผม ก็ค่อย ๆ เอามือถอดโบสีน้ำเงินที่เป็นเครื่องแบบของชุดนักเรียนออก เผยให้เห็นซอกคอที่ดูเย้ายวน ผิวสีขาวที่ได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดีกำลังถูกเผยให้เห็นเป็นครั้งแรกต่อหน้าผม เสื้อนอกสีเทาที่เป็นเครื่องแบบของชุดนักเรียนเองก็ค่อย ๆ ถูกปลดกระดุมออกและถูกปล่อยให้ร่วงลงบนพื้น
” อะ-เอ๊ะ! ระ-รุ่นพี่ จะทำอะไรน่ะครับ ”
” ทาคายูกิคุง~ คือว่าฉันน่ะทนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ ”
รุ่นพี่ที่ใบหน้ากำลังเป็นสีแดงราวกับคนเป็นไข้กำลังขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อย ๆ ชุดนักเรียนที่ตอนนี้ไม่มีเสื้อนอกสีเทาปิดเอาไว้อีกต่อไปทำให้เห็นถึงเสื้อนักเรียนแขนยาวสีขาวที่เผยให้เห็นถึงสัดส่วนรูปร่างของรุ่นพี่อย่างชัดเจนโดยเฉพาะบริเวณหน้าอกที่ใหญ่จนเรียกว่าเด่นสะดุดตา
” รุ่นพี่แบบนี้มัน!- ”
” ทาคายูกิคุง~… ”
มือทั้งสองข้างของรุ่นพี่เอื้อมมาจับใบหน้าของผมไว้ ใบหน้าที่สวยงามที่ตอนนี้กำลังแดงเหมือนลูกพีชกำลังค่อย ๆ เขยิบเข้ามาใกล้หน้าผมอย่างช้า ๆ ทีละนิด ๆ นี่หรือว่ารุ่นพี่กำลังจะ…
” พี่ชายยยยย!!!!!!~ ตื่นได้แล้วว “
” อั่ก!!! ”
จู่ ๆ ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ผมกำลังเห็นอยู่ดี ๆ ก็เป็นกลายมาเป็นเพดานห้องนอนของตัวเองพร้อมกับแรงกระแทกที่ท้องที่คาดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกระโดดใส่ จนเกือบจะทำให้ข้าวเย็นของเมื่อคืนไหลย้อนกลับมาในทางที่มันเข้าไป
” พี่ชายตื่นได้แล้ว! เดี๋ยวนะไปโรงเรียนสายเอานะ! ”
เสียงเรียกสดใสร่าเริงของยัยน้องสาวตัวแสบของผมกำลังเรียกพร้อมทั้งเขย่าตัวผมที่ตอนนี้นอนขดตัวเพราะยังได้รับผลกระทบจากท่าน้องสาวกระโดดปลุกนั่นเอง
” บะ-บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าปลุกแบบนี้น่ะ ”
” ก็พี่ชายเป็นคนปลุกยากนี่นา ถ้าปลุกแบบนี้ล่ะก็จะปลุกได้ง่ายกว่า ”
นั่นมันใช่วิธีแก้ปัญหาซะที่ไหนกันเล่า! ถ้าเผลอเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังได้ไปทัวร์โลกหน้าก่อนที่จะเรียนจบแน่ ๆ ตั้งแต่ที่คานนะเริ่มจะเข้าเรียนชั้นประถม ก็มักจะเริ่มปลุกผมด้วยวิธีแปลก ๆ แบบนี้มาโดยตลอด เรียกได้ว่าพลังงานของน้องสาวตัวแสบคนนี้มันเหลือล้นสุด ๆ ไปเลย
” รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปกินข้าวกันเถอะ ”
” เข้าใจแล้ว เดี๋ยวตามลงไป ”
พอพูดเสร็จคานนะก็รีบวิ่งลงบันไดไปรออยู่ที่ชั้นล่าง ผมที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังทำความเข้าใจเรื่องที่เห็นเมื่อสักครู่และในที่สุดก็รู้แล้วว่ามันคือความฝัน แต่เป็นความฝันที่ชวนให้หลับไปตลอดกาลเสียจริง ๆ พอคิดแบบนั้นแล้วยิ่งแค้นยัยน้องสาวตัวแสบที่มาปลุกในจังหวะสำคัญแบบนั้นซะได้
เฮ้อ…แต่ว่าก็ว่าเถอะ อย่างรุ่นพี่ฮิเมมิยะที่เป็นถึงไอดอลของโรงเรียนผู้ที่สมบูรณ์แบบทั้งการเรียนและกีฬาในจะเรื่องฐานะทางครอบครัวแล้ว จะเข้ามาจูบคนอย่างผมมันเป็นไปไม่ได้สุด ๆ ใช่ คนอย่างรุ่นพี่ไม่มีทางจะมาชอบคนอย่างผมได้หรอก
แน่นอนว่าผมมักจะเจียมตัวเสมอ มันก็แน่ล่ะ ผมที่เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มมอปลายธรรมดาที่มีดีแค่เรื่องการเรียนที่ติดท็อป 15 ของชั้นปีแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเทียบกับรุ่นพี่ฮิเมมิยะที่ได้อันดับ 1 ของชั้นปีไม่ได้ ไหนจะเรื่องกีฬาที่เรียกว่าต่ำกว่ามาตรฐานอีก ให้วิ่งรอบสนามรอบเดียวผมก็หอบขึ้นแล้วไม่ต้องพูดถึงกีฬาหนัก ๆ อย่างพวกฟุตบอลหรือเบสบอลเลย ไม่ไหวแหง ๆ
ผมเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันแล้วจึงกลับมาแต่งตัวเป็นชุดนักเรียนที่ห้อง เสร็จแล้วก็สะพายกระเป๋าลงไปกินข้าวเช้าที่คุณแม่เตรียมไว้ให้ ปกติแล้วคุณแม่จะออกจากช้าสายที่สุดประมาณ 9 โมงเช้า ทำให้คุณแม่มีเวลาที่จะเตรียมข้าวเช้าให้กับทุกคนในบ้าน แน่นอนว่าส่วนมากคนที่กินข้าวเช้าจะมีเพียงผมกับคานนะเท่านั้น ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่จะกินพร้อมกันและออกจากบ้านพร้อมกัน
” ทัคคุง~ ข้าวเช้าเสร็จแล้วนะ ”
เมื่อเห็นผมเดินลงบันไดมาคุณแม่ก็เรียกให้กินข้าวทันที โดยที่ยัยน้องสาวตัวแสบคานนะนั่งกินจนใกล้จะหมดแล้วนั่นเอง
” ทานแล้วนะครับ ”
ข้าวเช้าวันนี้เป็นหมูผัดหน่อไม้กับซุปมิโซะ เป็นเมนูง่าย ๆ แต่ก็อร่อยแล้วก็อิ่มท้องดี แน่นอนว่ามื้อเช้าแบบนี้ไม่มีหัวไชเท้าดองของโปรดของผมเพราะเคยกินในมื้อเช้าแล้วผลคือท้องเสียทั้งวันจนต้องนอนห้องพยาบาล ก็นะของชอบก็ต้องเก็บเอาไว้กินทีหลังสิถึงจะถูก
” ทัคคุงชมรมเป็นยังไงบ้าง สนุกหรือเปล่า ? ”
กินข้าวอยู่ดี ๆ คุณแม่ก็ถามถึงเรื่องชมรมขึ้นมาซะอย่างงั้น แต่ถ้าจะถามก็ไม่แปลกผมที่ปกติเลิกเรียนก็ต้องรีบกลับบ้านมาเล่นเกมดันเข้าชมรมแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใจสำหรับคนที่บ้านเลยก็ว่าได้
” ก็เฉย ๆ น่ะครับ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ”
ใครมันจะไปกล้าบอกล่ะว่าอยู่ชมรมกับรุ่นพี่สุดสวยที่เป็นถึงไอดอลประจำโรงเรียนกันแค่สองคนน่ะ ขืนบอกไปแบบนั้นมีหวังโดนคำถามตามมาอีกเป็นพรวนแน่ คุณแม่ของผมเป็นพวกที่จะชอบตื่นเต้นเวลามีเรื่องแบบนี้ตลอด เพราะงั้นจะให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด เผลอ ๆ จะโดนล้อด้วยรอยยิ้มที่น่าหงุดหงิดของคุณแม่อีก
” ถ้าไม่มีอะไรพิเศษทัคคุงไม่ยอมเข้าชมรมนั่นหรอก ถ้าหน่อยสินะ ”
อึก! นี่ขนาดยังไม่บอกแต่ทำไมถึงเดาได้ตรงจุดแบบนี้กันฟะ! หรือแม่เรามีพลังจิตอ่านใจคนหรือไง พลังตื่นขึ้นแล้วงั้นเหรอ ? ถ้าหากยังเอ้อระเหยอยู่ล่ะก็มีหวังเรื่องที่ชมรมมีรุ่นพี่ฮิเมมิยะกับผมแค่สองคนได้แตกแน่
” อิ่มแล้วขอไปโรงเรียนก่อนนะครับ ”
ไม่รอช้าผมสะพายกระเป๋าและเดินออกไปใส่รองเท้าที่หน้าประตูทันทีทั้งที่ยังกินข้าวไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
” อ๊ะ! รอเดี๋ยวก่อนสิทัคคุง! ”
” พี่ชายยังกินข้าวไม่หมดเลยนะ! “
แน่นอนว่าไม่สนใจเสียงเรียกของคุณแม่และคานนะผมเปิดประตูออกจากบ้านไปทันที ที่เขาว่ากันว่าพ่อแม่มักจะมีเซนส์เกี่ยวกับเรื่องของลูกเนี่ยคงจะจริงสินะ
เฮ้อ..ยังกินข้าวไม่หมดเลยแท้ ๆ มีหวังได้หิวก่อนถึงช่วงพักเที่ยงแน่ ๆ ปกติแล้วผมเป็นคนที่กินข้าวไม่เคยเหลือเลยสักเม็ดเดียว ไม่ใช่คนกินเยอะอะไรหรอก แต่คุณแม่จะรู้ปริมาณที่ผมจะกินหมดพอดีต่างหาก เวลาไปกินร้านอาหารข้างนอกบ้านผมก็มักจะกินเหลือนิดหน่อยเสมอ หรือถ้าร้านไหนให้น้อยก็หมดจาน
แต่เอาเถอะ ตอนเที่ยงคงต้องรีบไปซื้อขนมปังที่โรงอาหารแล้วรีบไปหารุ่นพี่ฮิเมมิยะแล้วสิ ผมได้แต่บ่นในใจพลางถอนหายใจออกมาระหว่างเดินไปโรงเรียนคนเดียว แน่นอนว่ารอบข้างมีนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผมที่เดินไปโรงเรียนเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่ส่วนใหญ่จะเดินกันเป็นกลุ่ม ไม่ก็คู่รัก
” ไงพวก! ”
” เหวอ! ”
จู่ ๆ ก็โดนแรงกระแทกจากบริเวณหลังจากฝ่ามือที่คุ้นเคยเป็นประจำ ไอ้เพื่อนยากเจ้าปัญหา นากาชิมะ ไคโตะ เพื่อนสนิทของผมที่ร่าเริงและพลังงานเต็มเปี่ยมจนอยากจะถามว่ามันไปเอาพลังงานพวกนี้มาจากไหน หรือพวกที่เก่งด้านกีฬาส่วนใหญ่เป็นแบบนี้กันหมดเลยงั้นเหรอ
” ฮ่า ๆ ยังทำเสียงตลก ๆ เหมือนเดิมเลยนะแกเนี่ย ”
มาถึงก็ทำตัวกวนฝ่าเท้าเช่นเคย
” ก็เพราะแกนั่นแหละ จู่ ๆ ก็เข้ามาตบหลังใครจะไม่ตกใจบ้างฟะ! ”
การทักทายด้วยการตบหลังแบบนี้ผมโดนไปไม่รู้กี่ครั้ง และไม่อยากบอกว่าตั้งแต่ที่รู้จักกับหมอนี่ก็โดนอะไรแบบนี้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าหรือในระหว่างวันก็ตาม
” เอาน่า ๆ แกควรจะชินได้แล้วนะ อีกอย่างฉันมีเรื่องอยากขอร้องแกหน่อย ”
” ชินก็บ้าแล้วเฟ้ย! แล้วก็ขอปฏิเสธไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ”
” เห้ย เดี๋ยวดิยังไม่ทันบอกเนื้อหาเลยนะ ”
” อย่างแกคงไม่พ้นเรื่องขอยืมลอกการบ้านไม่ก็ชวนติวให้ก่อนจะสอบหรอกใช่ไหมล่ะ ”
เรื่องที่นากาชิมะของมันคงไม่พ้นสิ่งที่ผมพูดไปอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่คบกับหมอนี่มามันไม่เคยขอร้องเรื่องอื่นเลยยังไงล่ะ นอกจากการยืมการบ้านลอกหรือไม่ก็ชวนติวก่อนสอบ แต่ไม่รู้ติวเท่าไหร่มันก็ยังตกอยู่ดี จนได้ชื่อว่าขาประจำเรียนเสริม
” แกรู้ได้ไง! นี่แกอ่านใจคนได้ด้วยงั้นเหรอวะ ”
ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าหมอนี่มันแกล้งโง่หรือโง่จริงกันแน่ ตัวเองขอร้องอยู่เรื่องเดียวแท้ ๆ ยังจะมาทำหน้าเหวอเหมือนเวลาโดนหมอดูทายแม่นอีก เอาเถอะยังไงก็คงเหมือนเดิม
” เมล่อนปัง นมรสช็อกโกแลต และก็โยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รี ”
แน่นอน กฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ใครมันจะยอมให้ลอกฟรี ๆ ล่ะ อย่างน้อยก็ต้องมีค่าตอบแทนกันบ้างและครั้งนี้ผมค่อนข้างหิวเลยเรียกไปเยอะ ๆ ไว้ก่อนเลยแล้วกัน
” อ้าวเฮ้ย!? ไหงครั้งนี้มันมี นมรสช็อกโกแลต และก็โยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รี งอกขึ้นมาด้วยฟะ ปกติแล้วแค่เมล่อนปังอย่างเดียวไม่ใช่หรือไง ? ”
” หนวกหู! ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีของขึ้นราคา อีกอย่างตอนเช้ากินข้าวไม่อิ่มด้วยเฟ้ย ! ”
” เดี๋ยว ๆ นี่แกกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่วะ ? ”
หลังจากพูดต่อรองกันอยู่นานสุดท้ายก็ตกลงกันที่ เมล่อนปังกับโยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รี ชิ! เอาเถอะถึงยังไงก็ยังได้กำไรอยู่ดีเพราะปกติแล้วจะได้แค่เมล่อนปังชิ้นเดียวก็เถอะ
ผมเดินคุยเรื่องเกม มังงะ ไม่ก็เรื่องของสาวมอปลาย ในระหว่างไปโรงเรียนด้วยกันกับนากาชิมะจนมาถึงใกล้จะถึงหน้าประตูโรงเรียนที่เด็กนักเรียนคนอื่นเดินเข้าไปไม่ขาดสาย แต่จู่ ๆ ก็มีเกิดฮือฮาที่เรียกความสนใจของพวกผมทั้งสองคนให้หันไปมองตาม
ในคือภาพของสาวสวยผมสีดำเงางาม ผู้ที่ทุกคนในโรงเรียนต่างรู้จักและคนที่ผมคุ้นเคยรุ่นพี่ฮิเมมิยะ ยูกิ นั่นเอง ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ทุกคนจะมองเป็นสายตาเดียวกัน ความสง่างามตั้งแต่ท่วงท่าการเดินที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบทำให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างหลงใหลกับภาพที่เห็น
แต่อยู่ ๆ เหมือนรุ่นพี่จะสังเกตเห็นผมเลยหันมายิ้มและโบกมือให้ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงเรียน ทำให้สายตาทุกคู่ต่างสงสัยและจ้องมองมายังพวกผมสองคน
” เฮ้ย! เมื่อกี้รุ่นพี่ฮิเมมิยะมองมาทางพวกเราด้วยใช่เปล่า! แถมยังโบกมือให้ด้วย! ”
อยากจะตอบว่าใช่อยู่หรอก ถ้าหากบอกไปว่าโบกมือให้ผมขึ้นมาล่ะก็ความลับที่อยู่ชมรมกับรุ่นพี่แค่สองคนได้แตกแน่ ไม่ใช่แค่นั้นข่าวนี้จะกระจายไปทั่วโรงเรียนแล้วทำให้เหล่านักเรียนแห่กันมาขอเข้าชมรมกันยกใหญ่
” เมื่อกี้รุ่นพี่โบกมือให้ใครน่ะ! ฉันใช่เปล่า! ”
นากาชิมะที่เข้าใจว่ารุ่นพี่ฮิเมมิยะโบกมือให้ตัวเองร้องเต้นด้วยความตื่นเต้น ขอโทษทีนะเพื่อน แต่รุ่นพี่โบกมือให้ฉันต่างหากเฟ้ย แต่เหมือนจะคิดไปเองหรือเปล่าที่รอบข้างแอบ ๆ มีเสียงกระซิบพูดถึงพวกผมสองคนว่า ‘คุณฮิเมมิยะโบกมือให้สองคนนั้นด้วยล่ะ’ อะไรแบบนั้น แต่ก็ช่างเถอะ ทุกคนคงคิดว่าโบกมือให้นากาชิมะนั่นล่ะ
เพราะถ้าให้เทียบระหว่างนากาชิมะกับผมแล้วต้องเรียกว่าต่างกันพอสมควร นากาชิมะที่มีออร่าของนักกีฬาโรงเรียนบวกกับความสดใสร่าเริงคอยสร้างสีสันให้กับเพื่อนในห้องเรียน กับผมที่เป็นคนออกจะเงียบ ๆ จะพูดต่อเมื่ออยู่กับคนที่รู้จักเท่านั้นก็คงจะดูจืดจางกว่าเห็น ๆ
สุดท้ายผมก็เลิกสนใจแล้วเดินเข้าโรงเรียนไปตามปกติ การเรียนช่วงเช้าก็แรกได้ว่าเป็นวันที่ทรมานสำหรับผมก็ว่าได้ เพราะกินข้าวเช้าไม่อิ่มนี่แหละ ทำให้ระหว่างเรียนน้ำย่อยก็เริ่มทำงานจนรู้สึกหิวสุด ๆ ไม่เคยที่จะต้องรอพักเที่ยงเพื่อจะได้กินข้าวมากขนาดนี้มาก่อน
แถมคาบเช้ายังเป็นวิชาคำนวณทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ฟิสิกส์ หรือ คณิตศาสตร์ ใครมันจะไปมีสมาธิเรียนในขณะที่ท้องหิวแบบนี้กันได้เล่า ถึงมันจะไม่ใช่ความผิดของวิชาเรียนก็เถอะ ผมได้แต่บ่นอิดออดอยู่ในใจ โดยที่มีเจ้านากาชิมะนั่งหลับอย่างสบายใจอยู่ข้างหลัง ทำไมเจ้าหมอนี้มันถึงได้สุขสบายขนาดนี้ฟะเนี่ย!
ในที่สุดก็ถึงเวลาพักเที่ยง แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเท่าไหร่เพราะผมดันถูกอาจารย์ใช้ให้เก็บแบบทดสอบของทุกคนในห้องเพื่อรวบรวมไปให้กับอาจารย์ที่อยู่หน้าชั้นเรียน ทั้งที่วันนี้มีนัดกับรุ่นพี่ฮิเมมิยะเลยอยากจะไปให้เร็วหน่อยแท้ ๆ แต่แบบนี้คงได้ไปสายชัว ไหนจะเจ้านากาชิมะที่บอกให้รอเพื่อที่จะไปซื้อเมล่อนปังให้ผมอีก
” เฮ้ ได้มาแล้ว ”
หลังจากรอได้ประมาณ 15 นาที นากาชิมะก็มาถึงพร้อมกับสภาพหอบขึ้นเพราะการต่อสู้แย่งชิงเมล่อนปังที่โรงอาหารนั่นเอง ก็อยากถามอยู่นะว่าไปออกรบที่ไหนมาเพราะตอนนี้เสื้อผ้าหน้าผมของนากาชิมะอย่างกับคนรีบแต่งตัวออกจากบ้านไม่มีผิด แต่ในระหว่างที่ผมยังไม่ทันได้รับของจากเจ้าเพื่อนยากที่อุตส่าห์ลำบากซื้อของมาให้ก็มีเสียงฮือฮาอีกครั้งเหมือนกับเมื่อเช้า
‘รุ่นพี่ฮิเมมิยะคนนั้นนี่นา’
‘เอาจริงดิ! รุ่นพี่มาทำอะไรที่ห้องของปี1 กันล่ะ’
เสียงต่าง ๆ ที่แสดงถึงความตกใจกับการมาถึงของบุคคลที่ทุกคนไม่คาดคิด ไอดอลประจำโรงเรียนผู้ได้ชื่อว่าเจ้าหญิงหิมะ รุ่นพี่ฮิเมมิยะได้มาที่ห้องเรียนของผมนั่นเอง แน่นอนว่าทุกคนต่างตกใจรวมถึงผมด้วย ใครจะคิดว่ารุ่นพี่จะมาที่ห้องเรียนของเด็กปี 1 กัน
” ฉันมาหาทาคายูกิคุงน่ะค่ะ ”
รุ่นพี่ฮิเมมิยะบอกจุดประสงค์ที่มากับทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น ทันทีที่รุ่นพี่พูดจบสายตาทุกคู่ก็มองมาที่ผมราวกับนัดกันมา และแล้วความซวยของผมก็บังเกิดขึ้น ใครจะคิดว่ารุ่นพี่สาวสวยไอดอลประจำโรงเรียนจะมาหาเด็กปี 1 ที่จืดจางแบบผมกัน
ไม่ใช่แค่นั้นรุ่นพี่ยังเรียกผมด้วยชื่อจริงต่อหน้าทุกคนอีกต่างหาก ปกติแล้วไม่มีชายหญิงที่ไหนจะเรียกชื่อกันหากไม่สนิทกันจริง ๆ หรือไม่ก็ต้องเป็นพี่น้องหรือคู่รักเท่านั้น ทำให้ทุกคนตอนนี้สงสัยกับสถานะของผมกับรุ่นพี่ฮิเมมิยะว่าพวกผมเป็นอะไรกัน
” โฮโจนี่นาย ร้ายกาจ~ ”
เจ้านากาชิมะที่อยู่ข้าง ๆ ในสภาพถือขนมปังเมล่อนและโยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รีหันหน้ามาพูดกับผมด้วยสีหน้าอึ้งสุดบรรยาย นี่ช่วยดูสถานการณ์หน่อยได้ไหมไอ้เพื่อนเวร จะเล่นมุกก็ช่วยดูเวลาด้วยเถอะเพ่!
ในขณะที่กำลังด่าไอ้เวรในใจอยู่นั่นเอง รุ่นพี่ฮิเมมิยะก็เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับข้าวกล่องที่ห่อด้วยผ้าสีชมพูรูปหัวใจ
” ทาคายูกิคุงไปกันเลยไหมคะ ? ”
เหมือนโดนทิ้งระเบิดใส่อีกรอบ รุ่นพี่เข้ามาหาผมโดยไม่ลังเลแถมยังพูดในเชิงชวนให้ผมไปด้วยกันแบบนี้ ไม่ต้องถามเลยว่าเกิดเสียงฮือฮา กันทั่วห้องชนิดที่ต่อให้ไม่ต้องติดเครื่องดักฟังก็ได้ยินชัดแจ๋ว
‘เฮ้ย! รุ่นพี่ฮิเมมิยะชวนโฮโจออกไปด้วยกันเลยวะ’
‘โฮโจคุงกับคุณฮิเมมิยะทั้งสองคนเป็นอะไรกันนะ’
‘เจ้าโฮโจจะน่าอิจฉาเกินไปแล้วเฟ้ย!’
เสียงที่ปะปนระหว่างความสงสัยกับความอิจฉาจากบรรดาหนุ่ม ๆ ในห้องเรียนเข้าถาโถมผมอย่างไม่ทันตั้งตัว แน่นอนว่าตอนนี้ผมยังงงไม่หายที่จู่ ๆ รุ่นพี่ฮิเมมิยะก็มาหาผมถึงห้อง ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามีนัดกับรุ่นพี่ที่ห้องชมรมแต่ไม่คิดเลยว่าจะเข้ามารับผมถึงที่ห้องเพื่อไปห้องชมรมด้วยกันแบบนี้
” เอ่อ..รุ่นพี่ฮิเมมิยะครับนี่คือ… ”
” ฉันเห็นทาคายูกิคุงมาช้าก็เลยมาหาถึงที่น่ะค่ะ ”
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นแม่คุณ! ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าผมไปห้องชมรมช้าแต่เล่นมาหาถึงห้องแบบนี้แถมยังประกาศต่อหน้าทุกคนแบบนี้รุ่นพี่คิดจะทำอะไรกันแน่ครับเนี่ย!
” งั้นเราไปกันเลยไหมคะ ^^ ”
รุ่นพี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหวานสุดจะบรรยาย คนรอบข้างที่เห็นรอยยิ้มของรุ่นพี่ต่างพากันหลงใหลจนบางคนถึงกับล้มไปกองกับพื้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่ก็หน้าเคลิ้มไปตาม ๆ กัน
เหมือนว่าตอนนี้ผมจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกมัดมือชกซะแล้ว ถ้าหากว่าไม่ถามไปล่ะก็ได้เป็นมีปัญหาแน่นอน ยังไงตอนนี้ถ้ายังอยู่ในห้องเรียนต่อไปจะตกเป็นเป้าสายตามากขึ้นกว่าเดิม ถึงตอนนี้จะไม่ทันแล้วก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องหาที่คุยกับรุ่นพี่เงียบ ๆ ก่อน
” ครับ.. ”
ผมตอบกลับรุ่นพี่อย่างเรียบ ๆ ด้วยสีหน้าเหมือนคนปวดท้อง แน่นอนว่าในระหว่างเดินตามหลังรุ่นพี่ออกจากห้องเรียนก็ยังไม่พ้นสายตาที่สลักคำว่าสงสัยอยู่ในทุกคน และคำว่าอิจฉาในสายตาของหนุ่ม ๆ ทุกคนในห้องเรียน
แล้วแบบนี้ชีวิตประจำของผมจะเป็นยังไงต่อไปกันล่ะเนี่ย!