ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 481พี่ชายข้าคือท่อนไม้ตายด้าน
สิ่งที่มู่ชิงเหยียนเสนอคือกุญแจสำคัญ หากนางไม่รู้วิชาลับส่งเสียงพันลี้และทางนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น นางก็จะไม่สามารถบอกให้เจียงหลีทราบได้ในทันที
ทั้งหนานอู๋เฮิ่นและเฟิงสิงอวิ๋นต่างนิ่งเงียบ
แต่เจียงเฮ่ากลับพูดอย่างเย็นชา “ไม่ได้”
ปากของเจียงหลีกระตุกและเงยหน้ามองเขา
กลับเห็นใบหน้าเคร่งขรึมและพูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ใช่ศิษย์ของฮวงเสิน จะไม่สามารถฝึกฝนทักษะการต่อสู้และวิชาลับของฮวงเสินได้ หากคนนอกแอบฝึก โทษเบาคือทำลายระดับการฝึกฝน โทษหนักคือตายสถานเดียว”
แค่กๆ เฟิงสิงอวิ๋นกำหมัดไว้ที่ริมฝีปากและไอเสียงเบา แล้วหันไปมองมู่ชิงเหยียนที่ใบหน้าขาวซีดและยิ้มปลอบ “มันไม่ได้รุนแรงอย่างที่เขาพูด จะฝึกได้หรือไม่ รอให้เจียงหลีมาถึงฮวงเสินและฝึกวิชาลับนั่นก่อน ก็จะมีทางออกเอง”
มู่ชิงเหยียนฉีกยิ้มและพยักหน้าให้กับเฟิงสิงอวิ๋น
หัวข้อสนทนาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
มู่ชิงเหยียนเดินไปหาเจียงหลีและพูดกับนางว่า “ระหว่างฝึกฝนอยู่ข้างนอก ต้องการทรัพยากร ที่แห่งนี้มีทรัพยากรของสำนักพรตเสวียนหมิง และได้ยึดทรัพยากรของสาขาหลีหุนจงกับร้านอวี๋หลงมาด้วย ถือว่ามีจำนวนมากเกินไปแล้ว เมื่อพวกเจ้าออกเดินทาง ให้นำติดตัวไปด้วยส่วนหนึ่ง เมื่อการฝึกฝนเพิ่มพูนขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อจยาเซียน”
“ได้” เจียงหลีพยักหน้า
สิ่งนี้ นางมิได้ปฏิเสธ
…
หลังจากกลับมายังจยาเซียน วันที่วุ่นวายโหมเข้าใส่วันแล้ววันเล่า
จนผ่านไปหนึ่งเดือน ทุกอย่างกลับสู่ปกติ ทุกคนผ่อนคลายและเตรียมออกเดินทางกลับไปยังฮวงเสิน
เนื่องจากวังเทียนอู่กงอยู่ใกล้กับจยาเซียนมากกว่าฮวงเสิน ดังนั้น เจียงหลีจึงขอให้กงเสวี่ยฮวาอยู่ต่ออีกระยะหนึ่งเพื่อช่วยมู่ชิงเหยียนจัดการเรื่องต่างๆ ของจยาเซียน
จนท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนตัดสินใจออกเดินจากอีกเจ็ดวันข้างหน้า
วันนี้ ห่างจากวันออกเดินทางเพียงวันเดียวแล้ว
ในยามค่ำคืน ขณะที่เจียงหลีกลับมายังห้องของตน นางถูกดึงดูดด้วยเสียงสนทนาหนึ่ง นางจึงซ่อนตัวในความมืด และใช้พลังจิตแอบมองเงียบๆ
เงาต้นไม้ภายใต้แสงจันทร์ ร่างของคนสองคนยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้เหล่านั้น
“นี่คือเสื้อผ้าที่หลายวันมานี้ข้าเร่งตัดเย็บให้เจ้า เจ้าเอาไปด้วยเถิด” มู่ชิงเหยียนส่งเสื้อผ้าที่เย็บด้วยตัวเองให้กับเจียงเฮ่าอย่างประหม่าเล็กน้อย
เจียงเฮ่าก้มหน้ามอง แต่กลับไม่ได้ยื่นมือรับหยิบ “ไม่ต้องหรอก”
การปฏิเสธนี้ทำให้เจียงหลีที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดถึงกับกลอกตามองบน
มู่ชิงเหยียนกัดริมฝีปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง หลังจากความเสียใจนั้น ด้วยความดื้อรั้นของนาง นางนำเสื้อให้มือวางใส่หน้าอกของเจียงเฮ่า
เจียงเฮ่าจึงต้องรับมันไว้และมองไปที่นางอย่างแน่วแน่
มู่ชิงเหยียนพูดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อว่า “อย่างไรเสีย ข้าทำมาเพื่อให้เจ้า คนอื่นคงใส่ไม่ได้ หากเจ้าไม่ชอบ ก็โยนทิ้งเสียเถอะ”
พอพูดจบ นางหันหลังหนีจากที่นี่ทันที
เจียงเฮ่ายืนผงะอยู่กับที่ ถือเสื้อผ้าของมู่ชิงเหยียนไว้ในมือ และมองดูเงาของนางเดินจากไป ความสับสนได้ผุดขึ้นในใจ
“เจ้าเคยเป็นถึงองค์หญิง จะทำงานหยาบเหล่านี้ได้อย่างไร” เจียงเฮ่าพึมพำด้วยเสียงเคร่งขรึม
เขาทิ้งเสื้อผ้าในมือไม่ลง จึงพับเก็บอย่างเป็นระเบียบและเก็บไว้ในพื้นที่ของตน
หลังจากเสียงฝีเท้าจางหายไป เจียงหลีเดินออกจากความมืดและมองไปยังสถานที่ที่ทั้งสองเคยยืนอยู่ก่อนหน้านั้น นางผายมือ เจ้าเปี๊ยกน้อยก็กระโดดออกมาและตกลงใส่อ้อมแขนของนาง เจียงหลีใช้ปลายนิ้วลูบขนมันเบาๆ มันสบายจนหรี่ตาลง
“หลิวหลี เจ้าว่าพี่ชายข้าใช่ท่อนไม้ตายด้านหรือไม่” เจียงหลีพึมพำกับตัวเอง
เจ้าเปี๊ยกที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ ดวงตาของมันค่อยๆ เปิดกว้าง เหลือบมองนางแล้วหลับตา
“มีนางอยู่ในใจแท้ๆ กลับทำให้นางต้องเสียใจ” เจียงหลีเม้มริมฝีปาก ดูแคลนต่อความฉลาดทางอารมณ์ของเจียงเฮ่า
อย่างไรก็ตาม นางแค่บ่นกับตัวเองเพียงเท่านั้น
ปัญหาความรักของผู้อื่น นางไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว หากมาถามความเห็นของนาง นางก็จะให้ความคิดเห็นของตนไป หากผู้อื่นไม่ต้องการให้นางเข้ามายุ่งวุ่นวาย นางก็จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
เสียงของนางเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามจนทำให้ดวงตาของเจ้าเปี๊ยกในอ้อมแขนของนางเปิดกว้างขึ้นอีกครั้ง และยังคงเหลือบมองนางเบาๆ แล้วหลับตาอีกครั้ง
น่าเสียดายที่เจียงหลีไม่ได้สังเกตเห็นรายละเอียดนี้ มิฉะนั้น นางจะพบว่าท่าทางของเจ้าเปี๊ยกเหมือนกับใครบางคนที่หยิ่งผยองนัก!
“ไป เรากลับไปนอนกันเถอะ!”
นอน!
เมื่อได้ยินคำนี้ เจ้าเปี๊ยกที่ง่วงนอนก็เต็มเปี่ยมด้วยพลังขึ้นมาทันที
“เจ้ามองหน้าข้าทำไม เพราะเจ้านอนมากเกินไป ตอนนี้นอนไม่หลับแล้วอยางนั้นหรือ เจ้านอนไม่หลับ แต่ข้าเหนื่อยมากแล้ว” เจียงหลีก้มหน้าจ้องมองเจ้าเปี๊ยกของตนที่เงยหน้าขึ้นกะทันหันและลืมตาสีเขียวคราม แล้วยักคิ้วใส่
นางขยี้ขนของเจ้าเปี๊ยกจนยุ่งเหยิง มองดูผลงานชิ้นเอกของตนและยิ้มอย่างมีชัย
เจ้าเปี๊ยกยอมให้นางรังแกและไม่มีทีท่าจะขัดขืนเลย ในดวงตาแฝงไปด้วยความรักและความเอ็นดู ซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้
“หลิวหลี ข้าคิดถึงเขา…” เจียงหลีเอ่ยขึ้นด้วยความคิดถึงระหว่างทางกลับห้อง
ร่างกายของเจ้าเปี๊ยกแข็งทื่อในอ้อมแขนของนาง และดวงตาก็เผยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“เจ้าว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรือ” เจียงหลีเงยหน้าขึ้นและมองไปที่พระจันทร์บนท้องฟ้า
อยู่ข้างกายเจ้า เจ้าเปี๊ยกตอบอย่างเงียบๆ ในอ้อมแขนของนาง
ภรรยาของเขา เขาจะเป็นคนปกป้องเอง!
“ลู่เจี้ย ไอ้คนบ้า! ตัวเองไปเกิดใหม่แล้ว แต่กลับปล่อยข้าไว้คนเดียวและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาไปเกิดที่ไหน เมื่อเขากลับมาที่ร่างเดิมและปรากฏตัวต่อหน้าข้า ข้าคงต้อง…”
ต้องอะไรหรือ เจ้าเปี๊ยกถามขึ้นในใจ
“ข้าคงต้อง…ต้อง…” แววตาแห่งความคิดถึงของเจียงหลีเด่นชัดขึ้น ความคิดเดิมที่ต้องการลงโทษ กลับมลายหายไปหมด หากชายคนนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง นางจะยอมลงโทษเขาได้เช่นไร แค่อยากกอดเขาให้แน่น ไม่ปล่อยให้เขาไปไหนได้อีก
เขารู้สึกถึงความเหงาที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเจียงหลีอย่างกะทันหัน อารมณ์ความรู้สึกของเจ้าเปี๊ยกก็สับสนตามเช่นกัน หากรู้ล่วงหน้าว่าต้องพบเจอกับนาง หลงรักนาง ตอนนั้นเขาคงไม่เลือกวิธีกลับชาติมาเกิดเพื่อควบคุมพลังนั้น
แต่ทว่า ย้อนกลับมาว่ากันอีกที หากไม่ใช่เพราะการกลับชาติมาเกิด จะพบเจอนางได้อย่างไร
ตี้จวินที่ปกครองอาณาจักรนับหมื่น ขณะนี้ ถึงขั้นมีความรู้สึกราวกับว่าเขากลับชาติมาเกิดเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดชาติเพียงเพื่อรอพบนาง
เอี๊ยดดด
เจียงหลีผลักประตูห้อง อุ้มเจ้าเปี๊ยกมาที่เตียง แล้วนั่งลง
นางนั่งขัดสมาธิ วางเจ้าเปี๊ยกไว้บนเตียงตรงหน้านาง และเก็บความเหงาไว้ “ในเมื่อเจ้าไม่ง่วง เรามาพูดคุยกันดีกว่า”
เจ้าเปี๊ยกนั่งยองๆ อยู่ตรงข้ามนาง ดวงตาสีเขียวครามจับจ้องมาที่นาง รอฟังคำพูดของนาง
“เจ้าว่า เจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานประเภทไหน ภูมิหลังของเจ้าเป็นอย่างไร ดูภายนอกน่ารัก ไม่เป็นอันตราย แต่กลับมีพลังอำนาจมหาศาล” เจียงหลีถามด้วยความสงสัย
น่าเสียดายที่เจ้าเปี๊ยกไม่สามารถตอบนางได้
“ทำไมเจ้าถึงมาเจอกับข้า มีนายดีเช่นข้า ช่างเป็นความโชคดีของเจ้ามากเสียจริงๆ! ฮ่าๆๆ…” เจียงหลีหยอกล้อและหัวเราะเสียงดังลั่น
“…” เจ้าเปี๊ยกมองหน้านางที่ทำให้ตัวเองหัวเราะอย่างหมดคำพูด
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ดูสิ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ามาจากตระกูลใด ภายภาคหน้าจะหาคู่ครองให้เจ้าได้อย่างไร”