ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 92 ปอกชะตากรรม
ตอนที่ 92 ปอกชะตากรรม
ลูเมี่ยนไม่เข้าใจว่า แม่น้ำลวงตาที่ตนกำลังเห็นหรือสัมผัส หมายถึงสิ่งใดกัน เพียงแต่เดาว่ามันคงเป็นสัญลักษณ์ของชะตากรรม จึงทำตามสัญชาตญาณของ ‘ปรอทเสื่อมทราม’ ด้วยการยกปลายมีดชี้ใส่สัญลักษณ์สีปรอทสุดประหลาดท่ามกลางแม่น้ำลวงตา
ทันทีที่ปลายมีดสัมผัสกับแม่น้ำฉาบแสงปรอท ฉากต่างๆ แล่นเข้ามาในใจลูเมี่ยน
มนุษย์บะหมี่กำลังเต้นบวงสรวง; มนุษย์บะหมี่กำลังถูกสัญลักษณ์หนามสีดำข่มขวัญ จนต้องหมอบราบไปกับพื้น; มนุษย์บะหมี่จับเลือดเนื้อที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วซากปรักหักพังความฝันมากิน; มนุษย์บะหมี่พยายามเข้าใกล้ ‘กำแพงเมือง’ แต่ดูเหมือนจะกลัวบางสิ่ง พอเข้าไปได้ประมาณนึงก็ถอยกลับทุกครั้ง; มนุษย์บะหมี่ที่ถูกขวานสับคอขาด…
นี่คือ ‘ช่วงชีวิต’ ทั้งหมดของมันนับตั้งแต่วัฏจักรเริ่มต้นใหม่? ลูเมี่ยนมีลางสังหรณ์บางอย่าง จึงลองใช้ปลายมีดแทงใส่สัญลักษณ์สีเงินปรอทที่แสดงถึง ‘ความตาย’ ของมนุษย์บะหมี่ ซึ่งอยู่ส่วนสุดท้ายของแม่น้ำมายา
แต่มันยิ่งใหญ่เกินไป หนักหนาเกินไป จนเขาล้มเหลว
ทันใดนั้น สัญลักษณ์ปรอทสีเงินเริ่มพร่าจาง แม่น้ำลวงตาค่อยๆ เลือนลับ ภาพในหัวของลูเมี่ยนเริ่มไม่คมชัด
มีเวลาจำกัดด้วย…? ลูเมี่ยนไม่มัวช่างเลือก รีบทิ่มไปยัง ‘สัญลักษณ์’ ในช่วงที่มนุษย์บะหมี่ถูกรอยประทับหนามสีดำข่มขวัญ อาศัยหลักแห่งความใกล้ชิด
สัญลักษณ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นส่วนประกอบอันคดเคี้ยวของแม่น้ำที่พันรอบตัวเอง ถูกแงะออกมาและควบแน่นกลายเป็นหยดของเหลว ไหลซึมเข้าไปในคมมีดของปรอทเสื่อมทราม
วินาทีถัดมา แม่น้ำลวงตาสลายไปทั้งหมด ลูเมี่ยนมองไม่เห็นชะตากรรมของมนุษย์บะหมี่อีกต่อไป
ก้มมองปรอทเสื่อมทราม เขาพบว่าชั้นลวดลายประหลาดบนใบมีดสีเงินดำ กำลังสั่นไหวแผ่วเบาราวกับลำธารไหล คล้ายกับเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เดิมทีแค่มองก็ชวนให้วิงเวียนศีรษะอยู่แล้ว ตอนนี้กลับยิ่งดูชั่วร้าย
“สำเร็จ…” ลูเมี่ยนพึมพำกับตัวเองอย่างโล่งอก
ตอนนี้ ‘ปรอทเสื่อมทราม’ ของเขาสมบูรณ์แบบแล้ว
ในอนาคต หากตนใช้มีดพิศวงเล่มนี้ทำร้ายสัตว์ประหลาดไฟ ชะตากรรมการ ‘ถูกรอยประทับหนามสีดำข่มขวัญ’ ก็จะถูกโอนถ่ายไปอยู่กับมัน
ห่อใบมีดด้วยผ้าสีดำและเหน็บกลับไปยังเข็มขัดตรงสะโพก ลูเมี่ยนจัดการกับศพของมนุษย์บะหมี่ ย้ายมันเข้าไปในซากบ้านหลังหนึ่ง แล้วจึงทำลายโครงสร้างค้ำจุนสุดท้ายของบ้าน ปล่อยให้หินและไม้ถล่มลงมา ฝังทุกสิ่งไว้ด้านใน
เมื่อจัดการเสร็จ ลูเมี่ยนอ้อมกลับไปยังถิ่นของสัตว์ประหลาดไฟ
คราวนี้ เด็กหนุ่มไม่เข้าไปสังเกตการณ์ในระยะใกล้ แต่คอยรวบรวมรอยเท้ากับเบาะแสอื่น พยายามพินิจพิเคราะห์ว่าอันใดหลอกล่ออันใดของจริง
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจขอบเขตกิจวัตรและรูปแบบพฤติกรรมของสัตว์ประหลาดไฟ แผนผังการล่าจึงผุดขึ้นในหัวโดยปริยาย
เขาใช้เวลาเพิ่มเติมไปกับการตรวจสอบขอบเขตของ ‘สนามรบ’ เพื่อมองหากับดักธรรมชาติ
หลังจากผ่านไปสักระยะ ลูเมี่ยนลูบหน้าผาก ตัดสินใจเสี่ยงเข้าไปในส่วนลึกของซากปรักหักพังระหว่างที่ยังมีพลังงานหลงเหลือ เพื่อตรวจสอบ ‘กำแพงเมือง’ และรวบรวมข้อมูลสำหรับการสำรวจในอนาคต
ด้วยความไม่ประมาท เขาเต้นบวงสรวงอีกครั้ง ปลุกสัญลักษณ์หนามดำขึ้นมาบางส่วน
อาศัย ‘เครื่องราง’ นี้คอยคุ้มภัย ลูเมี่ยนเร่งฝีเท้าเดินไปตามทางเก่าเมื่อคราวก่อน
ระหว่างทางพอเจอสัตว์ประหลาดจำนวนหนึ่ง แต่พวกมันหนีไปก่อนที่ลูเมี่ยนจะได้ลงมือ บางตัวก็หนีไปตั้งแต่ยังอยู่ไกลลิบ ยิ่งตรงเข้าไปลึกเพียงใด ก็ยิ่งได้เจอประเภทหลังบ่อยขึ้น
ในที่สุด เมื่อความรู้สึกร้อนรุ่มบนหน้าอกจากการเต้นบวงสรวงครั้งที่สองหายไป ลูเมี่ยนมองเห็น ‘กำแพงเมือง’ ที่สร้างจากบ้านเรือนอันบิดเบี้ยวอีกครั้ง
เขาพักสักหน่อย รอให้พลังวิญญาณฟื้นฟูกลับมาสักหน่อย จึงค่อยเต้นบวงสรวงอีกครั้งหนึ่ง
การเต้นที่บ้างก็ดังกรุบกรับ บ้างก็นุ่มเบา ในที่สุดก็จบลง ลูเมี่ยนที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของสัญลักษณ์หนามดำ ลักลอบเข้าไปในทิศทางที่เคยเจอกับปรอทเสื่อมทราม
หลังจากผ่านห้องที่ไฟดับมอด เขาลดความเร็ว ระแวดระวังการโจมตีทีเผลอ
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนพบว่าแสงตรงหน้าตนหรี่ลงอย่างมาก ราวกับบนท้องฟ้ามีวัตถุขนาดมหึมาบดบังแสงเอาไว้ หรือไม่ก็ดวงตะวันย้ายมาอยู่ด้านหลังตน
แหงนหน้ามองตามสัญชาตญาณ เขาไม่พบสิ่งใดนอกจากสายหมอกอันหนาทึบ
เมื่อไม่สามารถหาเหตุผล เด็กหนุ่มชักปรอทเสื่อมทรามออกมา ย่างกรายเข้าไปในสภาพแวดล้อมสลัวๆ ด้วยความไม่ประมาท
ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนโลกเปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน
แน่นอนว่าเป็นคำเปรียบเปรยที่เกินจริง คำนิยามที่ใกล้เคียงความจริงมากกว่า คงเป็นการย้ายจากสภาพแวดล้อม ‘หมอกหนา’ ไปยัง ‘เมฆทึบ’
แทบจะในทันที เด็กหนุ่มอ้าปากหาวอย่างไม่อาจควบคุม ความอิดโรยที่เกาะกุมร่างกายพลันทวีคูณ
“จะหลับไม่ได้เด็ดขาด…” ลูเมี่ยนฝืนถ่างตา รีบถอนตัวออกจากเขตมืดสลัวใกล้กับ ‘เชิงเขา’
กำลังวังชาฟื้นฟูกลับมาบางส่วน แม้จะยังอ่อนเพลียอยู่มาก แต่ก็พอกล้ำกลืนฝืนทน
“ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งง่วงหรือไง…” ลูเมี่ยนพึมพำไร้เสียง หันหัวเปลี่ยนทิศทางการเดิน
หลังจากเต้นบวงสรวงอีกครั้งระหว่างทาง เขามาถึงเขตใหม่
ฝั่งขวามือคือ ‘กำแพงเมือง’ ที่เต็มไปด้วยประตูกับหน้าต่าง ฝั่งซ้ายคือทุ่งร้างที่เชื่อมกับวงแหวนซากปรักหักพัง เบื้องหน้าคือต้นไม้สีน้ำตาลกลุ่มหนึ่ง
ท่ามกลางซากปรักหักพังที่ไม่มีวัชพืชเลยสักต้น ต้นไม้เหล่านี้กลับดูมีชีวิตชีวา มีความยืดหยุ่นสูง กิ่งก้านถักสานรัดพันกันเองจนกลายเป็นกำแพงไม้สูงราวๆ ห้าหกเมตร
กำแพงไม้นี้ ชอุ่มไปด้วยกิ่งก้านใบเขียว แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความรกร้างรอบนอก
หากมิใช่เพราะมันขวางกั้นเส้นทางสำหรับผ่านเข้าไปด้านหลัง ‘กำแพงเมือง’ ลูเมี่ยนคงจะชื่นชมใน ‘ความแกร่งของพลังชีวิต’
แต่เมื่อเป็นแบบนี้ เขาทำได้เพียงแสดงความขุ่นเคืองใจด้วยการยกนิ้วกลางให้ด้วยสองมือ
อันที่จริง เขาจะอ้อมไปก็ได้ เพื่อเข้าจากอีกฝั่งของซากปรักหักพัง แต่ลูเมี่ยนไม่คุ้นเคยกับละแวกดังกล่าว และพลังวิญญาณก็ใกล้เหือดแห้งเต็มที ไม่คุ้มค่าแก่การลองเสี่ยง
หลังจากเปิดปากหาวอย่างไม่สะทกสะท้าน เด็กหนุ่มเดินกลับทางเดิมโดยที่ความร้อนบนหน้าอกยังคุกรุ่น
…………
ลูเมี่ยนลืมตา แสงย่ำรุ่งซึมผ่านแผ่นม่านผืนหนาเข้ามาในห้อง ช่วยเน้นแสงเงาเครื่องเรือนจำพวกโต๊ะอ่านหนังสือ เก้าอี้ และตู้เสื้อผ้าให้ยิ่งคมชัด
“ยังเช้าอยู่เลย…” เขาพึมพำไร้เสียง หันไปมองโอลัวร์ด้านข้างตน
ผมสีบลอนด์ของพี่สาวกองระเกะระกะอยู่บนหมอนสีขาว สองตาปิดสนิท หลับลึกหลับสบาย
มือขวาวางอยู่บนผ้าห่ม ทำท่าเหมือนจะพลิกตัวเป็นระยะ แต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยสัญชาตญาณของตัวเอง ทำเอาคิ้วย่นชนกันครู่หนึ่งแล้วก็คลายออก
ลูเมี่ยนพอจะเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมของพี่สาว
ชุดกระโปรงยาวตัวที่เธอใส่อยู่บ้าน ซุกซ่อนขวดและกระป๋องหลายใบเพื่อเตรียมรับมือเหตุไม่คาดฝัน หากเผลอนอนตะแคงหรือคว่ำตัว ก็คงไม่แคล้วได้ทับพวกมัน
“ใช้ชีวิตลำบากแท้…” ลูเมี่ยนรำพันเงียบด้วยสีหน้าอ่อนโยนปนอิ่มเอมใจ
หลังจากมองค้างอยู่สักพัก เขาบรรจงลุกออกจากเตียง เดินออกจากห้องนอน
เด็กหนุ่มตรงไปยังระเบียงข้าง ซึ่งสามารถปืนขึ้นหลังคาได้
เมื่อหยุดยืนริมระเบียง เขาหันหัวไปทางแสงสีแดงในจุดห่างไกล
ไม่ถึงหนึ่งนาทีถัดมา วาเลนไทน์เดินออกจากห้องนอน หยุดยืนอยู่กลางทางเดิน ตาหันมองลูเมี่ยนริมระเบียง
“เธอก็มาต้อนรับพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกันสินะ”
สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอย่างยิ่ง สีหน้าที่เคยเย็นชาฉาบไว้ด้วยความชื่นชม
ถ้าตอบว่าไม่ใช่ จะเกิดอะไรขึ้นนะ… ลูเมี่ยนยิ้ม
“ใช่”
วาเลนไทน์ผงกหัวอย่างพึงพอใจ เดินเข้ามาในระเบียง หันหน้าเข้าหาตะวันทอแสง ยืนหลังตรงตัวตรง
จากนั้นก็กางแขนออกกว้าง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเปล่งเสียงทุ้มต่ำ
“สุริยันจงเจริญ!”
“สุริยันจงเจริญ!” ลูเมี่ยนจำต้องทำตาม
วาเลนไทน์ลดแขนลงมากอดอก หลับตาสวดวิงวอนอยู่สักพัก ก่อนจะลืมขึ้นมาพูดกับลูเมี่ยน
“ถ้าวัฏจักรเวลายุติลงเมื่อไร ฉันจะแนะนำเธอให้กับท่านบิชอปเขตดาลีแอช… หรือว่าอยากไปอยู่บีกอร์มากกว่า?”
“ฉันชอบทรีอาร์” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ “แต่ปลายทางของฉันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉัน เป็นพี่สาวต่างหาก”
วาเลนไทน์ผงกหัว ไม่สานต่อเรื่องเดิม เพียงหันหลังกลับและเดินเข้าไปในโถงเพื่อเริ่มเฝ้ายาม
จนกระทั่งแปดโมง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทั้งสองเดินลงชั้นล่างเพื่อเตรียมมื้อเช้าด้วยกัน
ผ่านไปสักพัก ไรอันลงมาช่วย เมื่อถึงเก้าโมงตรง ลีอาก็ตื่นแล้วเช่นกัน เหลือเพียงโอลัวร์ที่ยังหลับ
“วันนี้มีแผนยังไงบ้าง” ไรอันถามลูเมี่ยนขณะกัดขนมปังปิ้ง
ลูเมี่ยนคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบ
“ต้องเฝ้าบ้านหนึ่งคน คงปล่อยให้โอลัวร์เสี่ยงอันตรายตามลำพังไม่ได้”
“อีกสองคนออกไปเติมเสบียง ตักน้ำสักสองสามถัง หึหึ… ยังไงก็ต้องรอดไปจนถึงคืนที่สิบสองให้ได้”
หมู่บ้านกอร์ตูไม่มีน้ำประปา แต่ในตอนที่เริ่มสร้างบ้าน โอลัวร์ติดตั้งถังเก็บน้ำไว้ด้านบน โดยที่คอยเปลี่ยนน้ำและฆ่าเชื้อเป็นระยะ ซึ่งเทียบเท่ากับการมีน้ำประปา
“อา… ก่อนจะถึงเทศกาลมหาพรต ยังไงก็ต้องจัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อย” ไรอันเห็นด้วย
ลูเมี่ยนยิ้มกว้างทันที
“ใช่… และยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เราต้องแวะไปหาคุณนายปัวริส เพื่อดูว่ายังพอโน้มน้าวให้เธอช่วยสืบสวนเกี่ยวกับจอมเวทที่ตายไปกับนกฮูกในห้องเก็บศพได้ไหม”
ไม่ผิดจากที่คาด ลูเมี่ยนเห็นวาเลนไทน์กับไรอันยิ้มแข็งๆ
ลีอาจิบน้ำหนึ่งคำแล้วพูดยิ้มๆ
“ฉันจะอยู่เฝ้าโอลัวร์ที่นี่”
“ตกลงตามนั้น” ลูเมี่ยนด่วนสรุปโดยไม่รอฟังความเห็นของไรอันกับวาเลนไทน์
ลงเอยด้วย สองสุภาพบุรุษไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแวะไปที่จวนเจ้าหน้าที่ปกครองในตอนเช้า
เสร็จมื้อเช้า ทั้งสามออกจากบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน มุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าคร่ำครึ
ระหว่างทาง พวกเขาผ่านบ้านของคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี
ลูเมี่ยนผุดความคิดหนึ่ง จึงเสนอกับไรอันและวาเลนไทน์
“ไปดูแกะสามตัวนั้นกันเถอะ”
เขายังไม่ลืมเสียง ‘แมะ’ ที่ได้ยินเมื่อคืน
เข้าใจเจตนาของเด็กหนุ่ม ไรอันกับวาเลนไทน์ไม่คัดค้าน
หลังจากอ้อมไม่ไกล ทั้งสามมาถึงด้านหลังบ้านแบรี แต่สิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นคอกแกะอันว่างเปล่า
แกะทั้งสามตัวหายไปแล้ว
……………………………………………………..