ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 57 การจัดเตรียม
ตอนที่ 57 การจัดเตรียม
โอลัวร์นึกถึงสถานการณ์ในขณะนั้น และเชื่อว่าน่าจะเป็นไปตามที่น้องชายพูด
เธอแสดงความรู้สึกจากใจจริง
“เพียงได้รู้จักพระองค์ก็สามารถนำมาซึ่งมลพิษอันเลวร้าย… การดำรงอยู่ซ่อนเร้นที่คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีศรัทธาช่างน่าสะพรึงกลัว แม้แต่เทพมารหลายพระองค์ในตำราก็ยังไม่ถึงขั้นนี้”
“ไม่งั้นพวกเราจะติดอยู่ในวัฏจักรเวลาหรือ” ลูเมี่ยนมิได้ประหลาดใจ
ยิ่งคิดโอลัวร์ก็ยิ่งเห็นด้วย ไม่นานจึงพึมพำ
“ไม่ใช่ว่าพอถึงคืนที่สิบสอง…เราต้องเผชิญหน้ากับการดำรงอยู่ซ่อนเร้นนั่น แล้วต้องพลิกสถานการณ์เพื่อยุติวัฏจักร?”
“ภารกิจของนายคือการรวบรวมสิ่งต่างๆ ในแต่ละวัฏจักร ย่อยโอสถ จนกระทั่งกลายเป็นเทพ…”
เมื่อเห็นพี่สาวเริ่มพูดจาเพ้อเจ้อ พูดในสิ่งที่แม้แต่ตนก็ยังไม่กล้าคิด ลูเมี่ยนตัดสินใจขัดจังหวะ
“หยุด!”
“มันคงไม่ขนาดนั้นหรอก…”
โอลัวร์อืมหนึ่งคำ ต่อด้วยพยักหน้ารับ
“ก็จริง เรามีเวลาอีกแค่วัฏจักรเดียวเท่านั้น ไม่มีทางเป็นเทพภายในยี่สิบวันได้แน่”
เธอจึงกางมือออก
“สิ้นหวังแล้วล่ะ… มารอความตายกันเถอะ”
“…” แม้ลูเมี่ยนจะมีสมองที่กลั่นกรองสุดยอดการแกล้งคนออกมาได้บ่อยๆ แต่ตอนนี้เขาตามความคิดของพี่สาวไม่ทัน
“ฮู่ว…” โอลัวร์ถอนหายใจ หันไปมองน้องชายแล้วพูด “เอาล่ะ ฉันระบายเสร็จแล้ว ไปต่อกันเถอะ”
“หือ?” ลูเมี่ยนทำหน้างุนงง
เด็กหนุ่มใช้เวลาสองสามวินาทีในการไตร่ตรองคำว่า ‘ไปต่อ’ ของพี่สาว แล้วจึงตอบสนอง
“ดูเหมือนว่าแกะสามตัวที่เคยเป็นมนุษย์ จะถูกส่งกลับมายังกอร์ตูเพื่อเป็นเครื่องเซ่น ไม่แปลกใจว่าทำไมไม่รอจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม”
“คืนที่สิบสองคงจะเป็นพิธีสังเวยครั้งใหญ่ แด่การดำรงอยู่ซ่อนเร้นนั่น”
โอลัวร์กลอกตามองน้องชาย
“ฉันก็คิดแบบนั้น แต่ทำไมกลุ่มหลวงพ่อกับลิ่วล้อถึงได้รับพรระดับต่างๆ ก่อนวันมหาพรตล่ะ? ตามความเข้าใจของฉัน พรควรจะเป็นสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกับเครื่องเซ่น”
ลูเมี่ยนลองมองจากในมุมคนชั่ว ผนวกกับเหตุการณ์ในวัฏจักรก่อนหน้า จนเกิดเป็นข้อสันนิษฐานแบบหยั่งเชิง
“สังเวยบางส่วน… เพื่อพิธีกรรมใหญ่?”
“ในช่วงท้ายพิธีฉลองของเทศกาลมหาพรต หลวงพ่อที่ได้รับพลังวิเศษแล้วไม่คิดปกปิดธาตุแท้อีกต่อไป ชัดเจนว่าเตรียมจะทำเรื่องใหญ่หลังจากนั้น!”
โอลัวร์ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูด
“วันมหาพรตก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมใหญ่…”
“ก่อนจะถึงพิธีใหญ่ในคืนสิบสอง หลวงพ่อตัดสินใจสละจิตวิญญาณของตนให้เทพมาร สังเวยเครื่องเซ่นจำนวนหนึ่ง แลกกับพรอันล้ำค่า พร้อมกับเปิดเผยธาตุแท้…”
“หากมองจากมุมนี้ ดูเหมือนว่าหลังจากเทศกาลมหาพรตเป็นต้นไป ทุกคนในหมู่บ้านกอร์ตูจะถูกบังคับให้มีส่วนร่วม ไม่มีใครสามารถหลบหนี”
สองพี่น้องมองหน้ากัน และต่างเชื่อว่าการคาดเดาเมื่อสักครู่น่าจะใกล้เคียงกับความจริง
แต่ปัญหาคือ ถ้าความผิดปกติปะทุขึ้นตั้งแต่เทศกาลมหาพรตลากยาวไปจนถึงคืนที่สิบสอง พวกตนจะ ‘อยู่อย่างสงบ’ ไปจนถึงพิธีสุดท้ายได้อย่างไร จะตามหากุญแจของวัฏจักรได้อย่างไร?
ทุกคนในหมู่บ้าน ยกเว้นคนตายและเครื่องเซ่น มีโอกาสสูงที่จะถูกปนเปื้อน!
“ฉันเป็นแค่ลำดับ 7…” โอลัวร์อดไม่ได้ที่จะยกมือปิดหน้า “ส่วนนายก็แค่ลำดับ 9”
พวกเขาต้องเผชิญกับอะไรแบบนี้แล้ว!
อ้างอิงจาก ‘ศึก’ ในช่วงท้ายเทศกาลมหาพรตที่ลูเมี่ยนเล่าให้ฟัง ผนวกกับประสบการณ์ล่าสัตว์ประหลาดที่มีรอยประทับสีดำ โอลัวร์เชื่อว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลวงพ่อที่ได้รับพร หรือแม้กระทั่งคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี เธอก็ต้องเตรียมการเป็นอย่างดีก่อนเริ่มสู้
ในเวลานั้น ลูเมี่ยนตามลำพังสามารถโค่นหลวงพ่อที่กลายพันธุ์ได้ก็จริง แต่คงไม่มากไปกว่าโชคช่วย
มิหนำซ้ำ หากขัดขวางมิให้หลวงพ่อกับลิ่วล้อได้รับพลังวิเศษล่วงหน้า คืนที่สิบสองก็อาจไม่มาถึง มีความเป็นไปได้สูงกว่าวัฏจักรจะเริ่มใหม่ก่อนกำหนด
“ยากบัดซบ! ยากบัดซบจริงๆ!” โอลัวร์ทุกข์ใจจนตบโต๊ะอาหารตรงหน้าหลายครั้ง
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนพูดอะไร หญิงสาวยกมือ ลูบไล้ผมบลอนด์บนศีรษะ ราวกับกำลังระบายบางสิ่ง
หลังจากเสร็จพฤติกรรม โอลัวร์กลับมาสงบ พูดอย่างใจเย็นกับลูเมี่ยน
“พรุ่งนี้เช้า นายไปหาสามคนต่างถิ่นนั่น เล่าความผิดปกติในหมู่บ้านให้พวกเขาฟังบางส่วน ไม่ต้องจงใจปกปิดเรื่องที่เราเป็นผู้วิเศษ”
“แต่แบบนั้นมันอันตราย…” ลูเมี่ยนตอบตามจิตใต้สำนึก
เจ้าหน้าที่ของทางการมองว่าผู้วิเศษเถื่อนเป็นอาชญากรไม่ใช่หรือไง?
โอลัวร์ถอนหายใจช้าๆ
“ในสถานการณ์แบบนี้ เราจะมัวสนใจเรื่องหยุมหยิมไม่ได้”
“หากไม่นับมาดามลึกลับคนนั้น สามคนต่างถิ่นดูจะมีปัญหาน้อยที่สุด น่าพึ่งพามากกว่าใครในหมู่บ้าน ฝีมือแต่ละคนก็ไม่ด้อยไปกว่าฉัน หรืออาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ…”
“เราทุกคนล้วนเป็นตั๊กแตนที่ถูกมัดบนเชือกเดียวกัน ไม่ควรเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นผู้วิเศษเถื่อนหรือไม่ แต่ทุกคนต้องสามัคคีกัน”
“ส่วนเรื่องที่ฉันจะถูกทางการไล่ล่าหลังจากนี้หรือไม่ ไว้ค่อยกังวลในอนาคต ตอนนี้ต้องเอาตัวออกจากวัฏจักรให้ได้ก่อน”
ลูเมี่ยนเคยได้ยินพี่สาวพูดถึงสำนวน ‘ตั๊กแตนถูกมัดบนเชือกเดียวกัน’ มาก่อน ทราบดีว่ามันหมายถึง ‘ทุกคนลงเรือลำเดียวกัน ประสบปัญหาเดียวกัน’ ถ้าเกิดความฉิบหายขึ้น จะไม่มีใครเลยที่หนีพ้น ต้องร่วมมือกันสถานเดียว
“ตกลง พรุ่งนี้ฉันจะไปหาพวกเขา” เด็กหนุ่มเห็นด้วย
โอลัวร์จึงหันไปกล่าวต่อ
“ตอนนี้ฉันสงสัยว่าอาจมีอีกคนที่อยู่เบื้องหลังหลวงพ่อกับคนเลี้ยงแกะปิแยร์ คนคนนั้นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทั้งปวง”
“คุณนายปัวริส?” ลูเมี่ยนลองเดา “ไม่เพียงเธอจะแข็งแกร่ง แต่ยังเป็นชู้รักของหลวงพ่อ แอบบงการเขาได้เงียบๆ และหลอกให้ชักจูงคนในหมู่บ้าน”
“แต่เราไม่เคยเห็นเธอสนิทสนมกับคนเลี้ยงแกะปิแยร์” โอลัวร์มองน้องชาย ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางครุ่นคิด “จากที่แกะสามตัวนั้นเล่า ระหว่างที่ปิแยร์กับนียอร์เริ่มผลัดถิ่นเมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีก่อน พวกเขาคงมีพลังวิเศษกันแล้ว หรืออย่างน้อยก็รู้จักศาสตร์เร้นลับแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองไม่เคยแวะกลับหมู่บ้าน จะบอกว่าได้มาจากนอกหมู่บ้านก็คงไม่ใช่”
“หรือก็คือ ความผิดปกติในหมู่บ้านอาจต้องย้อนไปถึงช่วงเดือนกรกฎาฯ สิงหาฯ ปีที่แล้วเป็นอย่างน้อย…อา…นายพอจะสังเกตเห็นอะไรบ้างไหม?”
ลูเมี่ยนส่ายหัวช้าๆ
“ไม่เลย”
เด็กหนุ่มเคยคิดว่าตนอ่านหมู่บ้านกอร์ตูได้เหมือนอ่านลายมือ แต่เพิ่งจะได้ทราบเอาในวันนี้ ว่าคลื่นใต้น้ำมีมานานกว่าครึ่งปีแล้ว ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นเนื้อแท้ของหมู่บ้านเลยสักครั้ง ซึ่งนั่นทำให้เกิดความกลัวจับใจ
ปัญหาอยู่ที่ตรงไหนกันแน่… ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนกับเบื้องหน้าตนเต็มไปด้วยหมอก ขจัดออกไปชั้นหนึ่งก็ยังพบอีกชั้นหนึ่ง ไม่เคยได้เห็นเนื้อแท้เสียที
โอลัวร์ยังคงกล่าวต่อ
“อาจจะเป็นนกฮูกนั่นก็ได้…”
“พ่อมดในตำนานอาจไม่ได้ตายจริง แต่ยังซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งในหมู่บ้าน หรือไม่ก็เป็นคนที่เราเจอหน้าบ่อยๆ”
“เขาอาจจะดูออกว่าฉันก็เป็น ‘จอมเวท’ เหมือนกัน จึงจงใจปกปิดตำนานไว้จากฉัน แต่ไม่ใช่กับเด็กที่ไม่มีพลังวิเศษแบบนาย”
พูดถึงตรงนี้ โอลัวร์ออกคำสั่งเสียงขรึม
“ครั้งหน้าที่นายเห็นนกฮูกนั่น รีบบอกฉันทันที จะได้ส่งเจ้ากระดาษขาวติดตามไป ดูว่าปลายทางคือที่ใด”
ลูเมี่ยนอืมหนึ่งคำ สื่อว่าตนก็กำลังรอนกฮูกนั่นเช่นกัน
ถ้าครั้งหน้าไม่ได้จับแกถอนขน อย่ามาเรียกฉันว่าลูเมี่ยน! เด็กหนุ่มแอบสบถอย่างเกรี้ยวกราด
โอลัวร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึง ‘จัดเตรียม’ เรื่องที่สาม
“พรุ่งนี้ช่วงบ่าย ฉันจะชวนคุณนายปัวริสมาเป็นแขกที่บ้าน ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ปกครองบีโอสคงทำงานอยู่ ในปราสาทจึงเหลือแค่พ่อบ้านกับคนรับใช้ ให้นายฉวยโอกาสลักลอบเข้าไป ลองสืบเท่าที่สืบได้… อา… ถ้าช่วงเช้านายโน้มน้าวคนต่างถิ่นสำเร็จ จะให้พวกเขาช่วยตอนบ่ายด้วยก็ได้”
หากคุณนายปัวริสอยู่ที่ปราสาท โอลัวร์ไม่กล้าส่งเจ้ากระดาษขาวไป และหากคุณนายปัวริสอยู่กับเธอ ก็คงยากที่จะแบ่งสมาธิทำอะไร จึงพึ่งพาได้เพียงน้องชาย
ลูเมี่ยนพยักหน้าก่อน แล้วจึงเสนอแนะ
“พี่อย่าอยู่ตามลำพังกับคุณนายปัวริสเลย ฉันกลัวว่าเธอจะถือโอกาสนี้จัดการพี่”
“ชวนพวกนาไรซามาดื่มชามื้อบ่ายด้วยดีไหม?”
ยิ่งมากคน ก็ยิ่งปลอดภัย
“ตกลง” โอลัวร์มองว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าจริงๆ
จากนั้นก็กล่าวติดตลกปนกังวล
“หลังจากลอบเข้าไปในปราสาทต้องระวังตัวให้มาก ฉันยังไม่อยากเป็นคุณป้าตอนนี้”
ลูเมี่ยนไม่กล้าเถียง เพียงใช้สายตาพูดทำนอง ‘ฉันเป็นห่วงพี่มากกว่า เพราะคุณนายปัวริสอยู่กับพี่’
ระหว่างมื้อเย็น โอลัวร์ส่งเจ้ากระดาษขาวออกไปดูคอกแกะ และพบว่าแกะทั้งสามเลียเลือดออกจากใบหน้าหมดแล้ว ไม่ปล่อยทิ้งไว้ให้คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีสังเกตเห็นความผิดปกติ
หลังจากนั้นจนถึงเข้านอน ลูเมี่ยนเข้าเรียนคาบศาสตร์เร้นลับอีกครั้ง นั่งท่องจำศัพท์หลายคำ อย่างเช่น ‘ข้า’ ‘นาม’ ‘อัญเชิญ’ ‘ต้องการ’ ‘แสง’ และ ‘สุริยัน’
‘แสง’ คือคาถาสำหรับเปิดใช้ ‘เข็มกลัดซื่อตรง’ ซึ่งแบ่งการออกเสียงสามส่วน
…
ในห้องที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทาอ่อน ลูเมี่ยนลืมตาตื่น
เด็กหนุ่มเดินไปยังริมหน้าต่าง จ้องมอง ‘ยอดเขา’ สีแดงเข้ม รวมถึงวงแหวนซากปรักหักพังที่รายล้อมมัน
มีความลับแบบไหนซ่อนอยู่กันแน่นะ… ลูเมี่ยนพึมพำ
ขณะกำลังมอง ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้น
ในซากปรักหักพังนั่นเต็มไปด้วยจุดอันตรายที่ตนยังไม่สามารถหรือไม่กล้าเข้าใกล้ เช่นเขตที่มีสัตว์ประหลาดสามหน้าเดินเตร็ดเตร่ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลองอัญเชิญสัตว์โลกวิญญาณอย่างเจ้ากระดาษขาวออกมา? ทำพันธสัญญากับมัน ส่งมันเข้าไปสอดแนม แบบนั้นต้องได้ข้อมูลดีๆ แน่
การมองเห็น การดมกลิ่น และการได้ยิน ล้วนถูกยกระดับจากตะกอนพลัง ตามทฤษฎีแล้วย่อมถือเป็นพลังเหนือธรรมชาติประเภทหนึ่ง สามารถให้เจ้ากระดาษขาว ‘ถือ’ แทนได้
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนพูดกับตัวเองเบาๆ
“ปัญหาก็คือ เราอัญเชิญสัตว์โลกวิญญาณในซากปรักหักพังได้ไหม…”
“ถ้าไม่ได้ แล้วการอัญเชิญบนโลกความจริง ทำพันธสัญญากัน จะช่วยให้อาศัย ‘การเชื่อมโยง’ เพื่อนำมันเข้าสู่โลกความฝันได้หรือไม่…”
“การเพิ่มสัตว์โลกวิญญาณอีกสักตัวจะสร้างผลกระทบกับวัฏจักรมากน้อยแค่ไหน? โลกวิญญาณที่เกี่ยวข้องจะถูกเพิ่มเข้ามาด้วยไหม? ถ้าไม่ เมื่อหมดเวลาอัญเชิญ สัตว์พันธสัญญาก็ต้องกลับไปยังโลกวิญญาณ จนถือว่าออกนอกเขต และทำให้วัฏจักรเริ่มต้นใหม่…”
ยิ่งลูเมี่ยนคิดก็ยิ่งสับสน ยิ่งทึ่งในความมหัศจรรย์ของศาสตร์เร้นลับ และหวังเพียงว่าตนจะรีบๆ เชี่ยวชาญภาษาเหนือธรรมชาติในระดับที่พอจะประกอบพิธีอัญเชิญให้ลุล่วง
โดยไม่มัวประวิงเวลา เด็กหนุ่มสะพายปืนล่าสัตว์ พกลูกตะกั่วที่เหลืออยู่ไม่มากติดตัวไปด้วย เหน็บขวานคมๆ แนบลำตัว เดินออกจากบ้าน ผ่านทุ่งรกร้าง เข้าสู่ซากปรักหักพังอีกครั้งหนึ่ง
…………………………………………………….