ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 54 ตีความ
ตอนที่ 54 ตีความ
ลูเมี่ยนกลิ้งถอยหลังได้สักพักก็กลับมาลุกยืน
เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นและจบลงในทันที มอบความรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
ทว่า เด็กหนุ่มไม่ติดประมาท นำปืนสะพายหลังพลางชักขวาน แล้วเดินเข้าใกล้อาคารที่พังถล่มอย่างระมัดระวัง
ท่ามกลางกองอิฐ หิน และเศษไม้ที่สุมซ้อนกัน ฝุ่นควันกระจายฟุ้งไปทั่วอากาศ ไม่ยอมสลายไปเป็นเวลานาน
ยืนมองจากด้านนอก ลูเมี่ยนไม่เห็นร่างของสัตว์ประหลาด สื่อเป็นนัยว่าอีกฝ่ายถูกฝังกลบอย่างสมบูรณ์
ด้วยสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ความสามารถในการรับกลิ่นของเด็กหนุ่มลดลงมาก จำใจต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูก ป้องกันมิให้สูดฝุ่นเข้าไปจนเกิดความระคายเคือง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ลูเมี่ยนตัดสินถอยหลังเจ็ดแปดก้าว รักษาระยะห่างจากเป้าหมายให้ปลอดภัยเพียงพอ อดทนรอให้ฝุ่นจางลง
ระหว่างรอ เขาคอยสังเกตรอบตัวตลอดเวลา เตรียมพร้อมรับมือกับรอยเท้าตื้นๆ ที่อาจปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน รวมถึงกลิ่นคาวคละคลุ้งที่พุ่งเข้าหาด้วยความเร่ง
ในที่สุดอากาศก็กลับมา ‘สดชื่น’ อีกครั้ง การมองเห็นไม่ถูกรบกวนอีกต่อไป
ลูเมี่ยนเดินกลับเข้าไปใกล้ซากอาคาร ไล่ตามกลิ่นเลือดที่ฟุ้งโชย จนกระทั่งพบร่างสัตว์ประหลาดถูกทับด้วยหินหนักๆ หลายชั้น
ด้วยความที่ไม่รีบ เด็กหนุ่มอาศัยพรสวรรค์ของโอสถนักล่า ย้ายก้อนหินออกทีละก้อนตามลำดับที่ถูกต้อง โดยไม่กระตุ้นให้เกิดการถล่มระลอกใหม่
ตลอดเวลาที่ลงมือ เขาคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ ว่าสัตว์ประหลาดอาจยังไม่ตายและรอฉวยโอกาสเล่นงาน
เมื่อหินหนักอีกหนึ่งก้อนถูกย้ายออกไป ลูเมี่ยนพบร่างสัตว์ประหลาดที่ส่วนหัวและคอกลายเป็น ‘ปาก’ เกลียวก้นหอย
มันนอนหงายหลัง ร่างถูกบดเละจนเนื้อหนังไม่เหลือเค้าเดิม หน้าอกแทบจะแบนติดแผ่นหลัง ‘ปาก’ ที่เต็มไปด้วยฟันคมๆ ถูกเศษเสาหินแหลมๆ ปักลงไปในดิน หนวดรยางค์สีดำหลายเส้นที่หุ้มด้วยเนื้อเยื่อถูกตัดขาด
หากมิใช่เพราะจุดเด่นชัดเจนเหลือเกิน ลูเมี่ยนอาจระบุไม่ได้ว่าก้อนเนื้อเหลวๆ หนืดๆ พวกนี้คือเหยื่อของตน
กับดักได้ผลดีกว่าที่คิดไว้มาก!
หลังจากยืนยันได้ว่าสัตว์ประหลาดตายสนิท ลูเมี่ยนเบนความสนใจไปที่หน้าอกของมัน และพบว่ารอยประทับทั้งสามยังคงคมชัดแม้ในยามนี้
แปลกมาก… กระทั่งในโลกศาสตร์เร้นลับ เรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะปกติ… แม้ลูเมี่ยนจะถูกพี่สาวจ้ำจี้จ้ำไชให้เรียนหนักๆ แต่ก็ยังขาดความรู้อยู่หลายส่วน จึงตัดสินใจไม่ด่วนสรุปด้วยความรู้สึก
เดิมที เด็กหนุ่มตั้งใจจะใช้มีดที่พกติดตัวมา ลอกผิวหนังที่มีรอยประทับสีดำออกมาเป็นแผ่นๆ แต่กับดักดันทำงานได้ดีเกินคาด จนแผ่นอกของศัตรูฉีกขาด แหว่งเหวอะเข้าไปในเนื้อ ไม่อาจเฉือนลอกออกมาได้
ครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาฉีกเสื้อลินินตัวใน นำเศษผ้ามาวางไว้ตรงหน้าเพื่อใช้เป็นกระดาษ
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มฉีกเศษผ้าออกมาอีกผืน พันรอบนิ้วชี้แล้วนำไปจุ่มกับเลือดของสัตว์ประหลาด — สำหรับคำถามที่ว่า ของแค่นี้จะป้องกันมลพิษได้จริงหรือ ลูเมี่ยนแทบไม่ใส่ใจ เพราะถึงจะเกิดปัญหา ก็แค่รีบออกจากความฝันโดยเร็ว ยังไงเสีย อาการบาดเจ็บที่ตามไปยังโลกความจริงถือว่าน้อยมาก พักแค่ไม่กี่ชั่วโมงหรือสักวันก็กลับมาแข็งแรงแล้ว
ใช้เลือดสัตว์ประหลาดเป็นหมึก ลูเมี่ยนคัดลอกรอยประทับสีดำทั้งสาม
ขณะวาด อยู่ดีๆ เขาก็มึนหัว หน้าผากบวมและเริ่มปวด
อาศัยความรู้พื้นฐานที่โอลัวร์สอน รวมถึงความเข้าใจที่ตัวเองได้รับมา ลูเมี่ยนตระหนักว่านี่คืออาการ ‘พลังวิญญาณใกล้หมด’
และสาเหตุก็ชัดเจน
“แค่คัดลอกสัญลักษณ์สามอัน พลังวิญญาณของเราก็แทบจะเกลี้ยง?”
ในแง่หนึ่ง เด็กหนุ่มประหลาดใจกับความพิศวงของรอยประทับสีดำ ส่วนอีกแง่หนึ่ง เขาตกใจที่ขีดจำกัดพลังวิญญาณของ ‘นักล่า’ ต่ำเตี้ยจนน่าสมเพช ดูแล้วคงมากกว่าคนธรรมดาที่มีพรสวรรค์แค่เล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากพักผ่อนสักครู่ ลูเมี่ยนกลับมาคัดลอกต่อ ทำเช่นนี้อยู่สามครั้งจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ ศีรษะรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดรุนแรง
คำนึงจากสภาพปัจจุบัน เขาสำรวจต่อไม่ไหว จึงเก็บเศษผ้าที่วาดสัญลักษณ์ หยิบขวานขึ้นมาถือ เดินกลับบ้านตัวเองที่อีกฟากหนึ่งของดินแดนรกร้าง
เมื่อเดินออกจากซากปรักหักพัง เมื่อจิตใจเริ่มผ่อนคลาย เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าโอสถนักล่าถูกย่อยไปหลายส่วน
“การล่าเมื่อสักครู่ คงถูกนับว่าประสบความสำเร็จมากสินะ…” ลูเมี่ยนพึมพำ
ในหัวเริ่มแจกแจงข้อสรุปหยาบๆ จากประสบการณ์ตรง
“สิ่งสำคัญคือการมีสติ… หากเผชิญหน้ากับเหยื่ออย่างไม่คาดคิด และไม่มีเวลาเตรียมตัว สติคือปัจจัยที่สำคัญมาก”
“คอยสังเกตสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ ลองคิดหาวิธีใช้ประโยชน์ไว้ล่วงหน้า”
ขณะที่ความคิดกำลังหมุนวน ลูเมี่ยนกลับถึงบ้าน เดินขึ้นชั้นสองแล้วเข้าห้องนอน
เด็กหนุ่มบังคับตัวเองให้จดจำรอยประทับทั้งสาม ไม่นานก็ล้มลงบนเตียงและผล็อยหลับ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อลูเมี่ยนลืมตา ขมับทั้งสองข้างยังรู้สึกบวมเล็กน้อย เป็นผลจากการใช้พลังวิญญาณมากเกินไปในความฝันซากปรักหักพัง
เด็กหนุ่มส่ายหัวเบาๆ เดินออกจากห้อง เข้าห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกาย
เมื่อลงไปชั้นล่าง เขาพบว่าพี่สาวได้เตรียมอาหารเช้ารอไว้แล้ว มีขนมปังปิ้งทาแยม ไส้กรอกหั่นชิ้น และกาแฟหอมกรุ่น
“ตื่นเช้าจัง…” ลูเมี่ยนทำเสียงประหลาดใจ
ปกติแล้วพี่สาวของตนจะไม่ตื่นเช้า
โอลัวร์ตอบกลับด้วยท่าทีไม่พอใจ
“เรากำลังติดอยู่ในวัฏจักรเวลา แถมคนรอบข้างก็ยังทำตัวแปลกๆ น่ากลัวๆ เข้าไปทุกที ใครจะไปหลับลง? ไม่ใช่ฉันแล้วหนึ่งคน”
“ส่วนฉันไม่อยากหลับ แต่กลับห้ามร่างกายตัวเองไม่ได้” ลูเมี่ยนปลอบพี่สาว “อย่างน้อยพี่ก็ยังหลับได้จริงๆ ส่วนฉันต้องยุ่งอยู่ในความฝัน”
“ก็จริง” โอลัวร์หยิบแก้วกาแฟที่ใส่น้ำตาลครึ่งก้อนขึ้นมาจิบหนึ่งคำ
เมื่อน้องชายนั่งลงและกินขนมปังปิ้งกับไส้กรอกไปเกินครึ่ง พี่สาวเริ่มไถ่ถาม
“สำรวจซากปรักหักพังในฝันมาสินะ ผลเป็นไงบ้างล่ะ”
ลูเมี่ยนเล่าประสบการณ์ที่ได้พบเจอสัตว์ประหลาด ‘ปาก’ อย่างละเอียด และทิ้งท้ายในตอนจบ
“โอลัวร์… เอ่อ พี่สาว ช่วยดูให้หน่อยว่าเครื่องหมายสีดำสามชุดนี้หมายถึงอะไร… ในพิธีฉลองของเทศกาลมหาพรต หลวงพ่อก็มีเครื่องหมายที่คล้ายๆ กัน แต่มีจำนวนมากกว่า”
โอลัวร์พยักหน้าแผ่วเบา พลางหยิบปากกาหมึกซึมกับกระดาษโน้ตออกจากช่องลับในชุดกระโปรงยาวสีเบจ
ลูเมี่ยนเริ่มวาดภาพ พยายามจำลองเครื่องหมายสีดำเหล่านั้นให้เหมือนที่สุด
ไม่นานเขาก็ส่งกระดาษโน้ตให้พี่สาว ตามด้วย ‘อธิบาย’
“ฉันจำได้ไม่หมดนะ บางส่วนก็ไม่แน่ใจว่าถูกหรือผิด แต่บางส่วนก็มั่นใจ เช่นตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ ถูกต้องแน่นอน”
เพียงเขียนซ้ำสัญลักษณ์แค่บางส่วน พลังวิญญาณก็ถูกสูบไปมากโขแล้ว
โอลัวร์วางกระดาษโน้ตลงบนโต๊ะอาหารตรงหน้า เพ่งมองอย่างตั้งใจสักพักจึงกล่าว
“ฉันไม่รู้จักอักขระพวกนี้เลย สัญลักษณ์ก็ดูบิดเบี้ยวมากกว่าที่เห็นในศาสตร์เร้นลับทั่วไป”
ลูเมี่ยนค่อนข้างผิดหวัง แต่ไม่นานโอลัวร์ก็พูดเสริม
“คำนึงจากสิ่งที่อักขระและสัญลักษณ์พวกนี้กระทำต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงร่องรอยการแทรกแซงด้วยพลังธรรมชาติ ฉันสงสัยว่า… นี่อาจเป็นอิทธิพลของพันธสัญญาพิเศษบางอย่าง”
หญิงสาวกล่าวขณะชี้กระดาษโน้ต
“พันธสัญญา?” ลูเมี่ยนย้อนถาม
โอลัวร์ผงกศีรษะ
“ฟังจากที่นายอธิบายลักษณะการต่อสู้ของมัน รอยประทับสีดำแต่ละอันน่าจะแสดงถึงพันธสัญญาพิเศษที่แตกต่างกัน”
“พันธสัญญาพวกนี้อาจมีกลไกช่วยให้สัตว์ประหลาดได้รับพลังวิเศษจากสิ่งมีชีวิตในโลกวิญญาณ หรือจากปริภูมิอื่น หรือจากสิ่งมีชีวิตต่างดาว ช่วยให้รอยประทับสีดำที่หน้าอกซ้ายสำแดงพลังล่องหน รอยประทับใต้คอสร้างเสียงที่กระตุ้นความหงุดหงิด โกรธแค้น และหุนหันพลันแล่น ส่วนบนหน้าอกขวาที่ไม่แสดงผลใด… ฉันสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับ ‘ปาก’ หรือการย่อยอาหาร”
“อย่างนี้นี่เอง…” ลูเมี่ยนกระจ่างในบางรายละเอียดของการต่อสู้ที่ผ่านมา
จึงหัวเราะแล้วกล่าว
“หลวงพ่อทำพันธสัญญากับสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากกว่าสิบฉบับเลยหรือ?”
“แบบนี้เรียกว่าอะไร? เรียกว่าใครๆ ก็เป็นบิดาของมันได้ไงล่ะ!”
“เปรียบเทียบอะไรแปลกๆ” โอลัวร์พึมพำ “ตอนนี้ดูเหมือนว่า หลวงพ่อที่นายเคยต่อสู้ในช่วงสิ้นสุดเทศกาลมหาพรต ยังแผลงฤทธิ์ออกมาไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ… เพียงพันธสัญญาเดียว ทั้งกายและใจของเขาก็คลุ้มคลั่งอย่างน่าพิศวง ช่วยให้นายเอาชนะอย่างง่ายดาย”
ลูเมี่ยนในวัฏจักรก่อนหน้าไม่เคยเข้าใจ แต่ตอนนี้เริ่มพบว่าตัวเองค่อนข้างโชคดี
เด็กหนุ่มถามอย่างกระตือรือร้น
“แล้วฉันสามารถลอกเลียนแบบพันธสัญญาของเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น เพื่อติดต่อกับสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้องได้ไหม?”
เขาอยากได้พลัง ‘ล่องหน’ อย่างมาก
“พันธสัญญาก็ส่วนพันธสัญญา พิธีกรรมก็ส่วนพิธีกรรม นายรู้หรือว่าต้องประกอบพิธีกรรมยังไง?” โอลัวร์ราดน้ำเย็นใส่น้องชาย “หรือต่อให้รู้ขั้นตอนพิธีกรรม นายรู้ไหมว่าพันธสัญญาพิเศษแบบนี้ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง? หลวงพ่อคงได้รับพรจากการดำรงอยู่ซ่อนเร้น จึงสามารถทำสำเร็จ…”
กล่าวถึงตรงนี้ โอลัวร์ทำท่าหยุดคิดสักวินาทีแล้วพูดกับตัวเอง
“ทำไมสัตว์ประหลาดในซากปรักหักพังความฝันถึงมีรอยประทับแบบเดียวกันล่ะ… มันก็ได้รับพรจากการดำรงอยู่เดียวกัน?”
ขณะกล่าว โอลัวร์เหลือบมองหน้าอกซ้ายของลูเมี่ยน
“จะเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์หนามดำที่ล็อกหัวใจนายหรือเปล่านะ…”
“หลวงพ่อก็มีเหมือนกัน หืม… ซากปรักหักพังในฝันอาจถูกสร้างโดยตัวตนลึกลับบางพระองค์ที่เป็นตัวแทนของ ‘สัญลักษณ์หนาม’ … กุญแจสำคัญในการยกเลิกวัฏจักรอาจซ่อนอยู่ในนั้น หรือไม่แน่ว่า อาจต้องกระทำบางสิ่งในโลกความจริง ไปพร้อมๆ กับกระทำบางสิ่งในโลกความฝัน ปัญหาจึงจะถูกแก้ไข…”
“เป็นไปได้” ลูเมี่ยนพบว่า คำอธิบายนี้ช่วยให้ตนกระจ่าง ถึงเหตุผลที่สัตว์ประหลาดมีรอยประทับสีดำ และเหตุผลที่มาดามลึกลับคนนั้นบอกให้ตนสำรวจซากปรักหักพังในฝัน แล้วพยายามไขปริศนาของมัน
เด็กหนุ่มถอนหายใจ
“โอลัวร์ เอ่อ… พี่… จินตนาการของพี่ลึกล้ำกว่าฉันมากเลย”
“นี่คือการฝึกตนของนักเขียนยังไงล่ะ!” โอลัวร์ยิ้ม
กินมื้อเช้าเสร็จ เธอบอกให้ลูเมี่ยนไปที่ห้องอ่านหนังสือด้วยกัน เพื่อสอนภาษาเฮอร์มิส
จนกระทั่งบ่ายสามหรือสี่โมงเย็น คาบเรียนก็ถึงคราวยุติ ระหว่างทางมีแวะพักกินของว่างเล็กน้อย
“เอาล่ะ ตอนนี้นายออกไปชวนปิแยร์·แบรีดื่มได้แล้ว” โอลัวร์เล็งเห็นว่าถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่น่าจะทำให้ใครสงสัย จึงออกคำสั่งกับลูเมี่ยน
“พี่ก็ต้องระวังด้วยนะ”
พี่สาวของเขากำลังจะเสี่ยงอันตราย ด้วยการเข้าไปคุยกับแกะสามตัวนั้น เพื่อดูว่าจะได้ข้อมูลใดบ้าง
…
ในบ้านโทรมๆ สองชั้นที่ปิแยร์·แบรีอาศัยอยู่
ลูเมี่ยนมองไปรอบๆ แล้วถามยายเฒ่าตรงหน้า
“ปิแยร์ไปไหน?”
หญิงชราคือมารดาของปิแยร์·แบรี ชื่อมัลตี อายุราวๆ ห้าสิบกว่า แต่เพราะการทำงานหนัก จึงมีริ้วรอยหลายจุด ผิวหนังกระดำกระด่าง ผมดำปนขาว แทบไม่ต่างจากนาโรคา
“ไปโบสถ์แล้ว” มัลตีตอบ
ไปโบสถ์อีกแล้ว? ลูเมี่ยนนึกฉงนใจ
…………………………………………………….