ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 49 เข้าฌานที่แท้จริง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 49 เข้าฌานที่แท้จริง
ตอนที่ 48 ปัญญาไล่ล่าคน
ลูเมี่ยนเข้าใจคำพูดโอลัวร์อย่างถ่องแท้
เด็กหนุ่มเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนที่ยังเร่ร่อน ว่าไม่ควรประมาทใครหน้าไหนทั้งสิ้น ผู้ใหญ่ไร้บ้านบางคน เคยดูถูกลูเมี่ยนว่าเป็นแค่เด็ก คิดว่าอ่อนแอ สุดท้ายก็ต้องเจอดี ส่วนบางคนที่ให้ทาน แม้จะมีเจตนาดี อยากให้คนไร้บ้านอิ่มท้อง แต่กลับลืมว่าบางคนหิวโซมานาน จนสุดท้ายก็ทำเรื่องที่ผิดมหันต์ลงไป
ลูเมี่ยนไตร่ตรองอย่างจริงจังสักพัก แล้วจึงพูด
“ดูเหมือนว่ากุญแจสำคัญคือ ‘นิยาม’ อันแม่นยำสำหรับใช้อัญเชิญสิ่งมีชีวิต”
“ถูกต้อง” โอลัวร์ผงกหัวด้วยแววตาลึกซึ้ง “บันทึกที่เขียนเกี่ยวกับคาถาอัญเชิญนั้นมีค่ามาก ทุกคาถา ทุกคำอธิบาย และทุกความคิดเห็นล้วนมาจากชีวิต เลือดเนื้อ และความทุกข์ยากของผู้เขียน ตัวอย่างเช่น คำอธิบายสามประโยคที่ฉันใช้เรียกเจ้ากระดาษขาวคือ ‘วิญญาณที่เตร็ดเตร่ในโลกมายา สิ่งมีชีวิตเป็นมิตรที่ยอมจำนน ก้อนกลมอันเปราะบางที่เข้าใจความต้องการของข้า’ ประโยคสุดท้ายน่ะ ถ้านายต้องงมหาเอง ไม่รู้ว่าต้องล้มเหลวกี่ครั้งกว่าจะได้คำตอบ และทุกความล้มเหลวหมายถึงความสุ่มเสี่ยง”
ก้อนกลมอันเปราะบางที่เข้าใจความต้องการของข้า? คนปกติคิดอะไรแบบนี้ได้ด้วยหรือ? โดยเฉพาะคำว่า ‘เปราะบาง’ กับ ‘ก้อนกลม’ … ลูเมี่ยนจิกกัดในใจพลางถามกลับ
“หรือก็คือ พี่ซื้อมาจากคนอื่น?”
“ไม่ใช่” โอลัวร์ส่ายหน้า แล้วกล่าวด้วยแววตาเจือความขมขื่น “เส้นทางผู้ส่องความลับจะแตกต่างจากเส้นทางอื่น มีบ่อยครั้งที่ถูกความรู้จำนวนมากไล่ล่า ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม…แม้จะทนไม่ไหวก็มิอาจปฏิเสธ ยิ่งดื่มโอสถในลำดับสูงขึ้น สถานการณ์ของ ‘ปัญญาไล่ล่าคน’ ก็จะยิ่งรุนแรง”
“ถึงความรู้ส่วนใหญ่แทบจะไร้ประโยชน์ แต่บางอันก็มีค่า หนึ่งในนั้นคือคาถาอัญเชิญเจ้ากระดาษขาว”
“การยัดเยียดจากปราชญ์เร้นลับสินะ” ลูเมี่ยนเข้าใจความหมายของพี่สาว
โอลัวร์มองด้วยสายตาประหลาดใจ
“รู้ด้วยหรือ? มาดามคนนั้นสอนมา?”
“อือ” ลูเมี่ยนพยักหน้า
โอลัวร์เม้มริมฝีปากครุ่นคิด
“จากประสบการณ์ส่วนตัว ‘ปัญญาไล่ล่าคน’ มิได้เกิดจากการถ่ายทอดของปราชญ์เร้นลับทั้งหมด สิ่งที่ฉันเคยเรียกว่า ‘เสียงแว่วในหัว’ จริงๆ แล้วคือการได้ยินเสียงความรู้เหล่านี้ มันทรมานมาก ราวกับหัวจะระเบิด จนอยากคลุ้มคลั่งให้รู้แล้วรู้รอดไป”
“แต่ในบางครั้ง โดยเฉพาะเมื่ออาการย่ำแย่จนใกล้จะคลุ้มคลั่ง ฉันจะเห็นภาพหลอนว่าปัญญาทั้งหมดบนโลกมีชีวิตขึ้นมา แบ่งออกมาส่วนน้อยแล้วไล่ล่าฉัน พุ่งเข้าหาฉัน โดยที่ฉันไม่สามารถหลบเลี่ยง…คาถาอัญเชิญเจ้ากระดาษขาวก็ได้มาในลักษณะนี้”
“ทุกครั้งที่ดื่มโอสถ… ‘ปัญญาไล่ล่าคน’ ราวๆ เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์จะมาจากปราชญ์เร้นลับ และอีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์เกี่ยวข้องกับปัญญาที่มีชีวิต”
“ทั้งพิสดารและน่ากลัวจริงๆ … เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนในหมู่บ้านอกสั่นขวัญแขวน” ลูเมี่ยนพูดอย่างมีสติ พลางคิดหาวิธีเอาตัวรอดจาก ‘ปัญญาไล่ล่าคน’ เพื่อช่วยพี่สาว หรืออย่างน้อยก็ลดผลกระทบจากมัน
โอลัวร์ตอบด้วยรอยยิ้มเจ็บปวด
“เพราะมักจะทุกข์ทรมานแบบนี้ ฉันถึงไม่อยากให้นายเข้าสู่เส้นทางเหนือธรรมชาติ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน การเป็นผู้วิเศษย่อมดีกว่าไม่ได้เป็น”
เพื่อให้น้องชายจดจำความบ้าคลั่งและอันตรายของเส้นทางเหนือธรรมชาติ หญิงสาวชี้ไปที่หัวตัวเอง
“หลังจากถูกปัญญาไล่ล่าเป็นเวลานาน มีความทุกข์ทรมานเป็นเพื่อน ฉันรู้สึกว่าจิตใจและบุคลิกของตัวเองเริ่มไม่ปกติ”
“ฉันเคยพูดอยู่บ่อยๆ ใช่ไหม ว่าโดยส่วนตัวแล้วเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม… แต่บางครั้งกลับช่างจ้ออย่างไม่น่าเชื่อ ชอบออกไปคุยกับยายเฒ่าในหมู่บ้าน เล่าเรื่องให้เด็กๆ ฟัง และบางครั้งก็เป็นบ้า ยืมม้าจากคุณนายปัวริสไปวิ่งบนภูเขา ตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง”
“บุคลิกช่างจ้อเกินเหตุเป็นผลจากการอยู่ติดบ้านมานาน ไม่สามารถกลับบ้านเกิดได้ รวมถึงความกดดันจากเส้นทางเหนือธรรมชาติที่รุมเร้า”
“ส่วนการเป็นบ้าในบางครั้ง…”
พูดถึงตรงนี้ โอลัวร์มองลูเมี่ยนพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“นายเองก็คิดใช่ไหม ว่าคำนิยามนี้ไม่ได้เกินจริงเลย?”
ลูเมี่ยนเงียบไป เขารู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่สาวแฝงไว้ด้วยการถากถางตัวเอง ความสับสน เจือความทุกข์และการดิ้นรนที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
ต่อมา โอลัวร์ถอนหายใจ
“ในช่วงเวลานั้น บางทีฉันก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นใคร”
“ต้องมีวิธีแก้ไขแน่” ลูเมี่ยนเริ่มตระหนักถึงความไร้พลังของตนอย่างลึกซึ้ง
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ… พวกเรามาต่อกัน” โอลัวร์ชี้ไปทางแท่นบูชา “หากเคยทำพันธสัญญากับสิ่งมีชีวิตของโลกวิญญาณแล้ว การอัญเชิญครั้งถัดไปก็จะง่ายขึ้นมาก ประโยคสุดท้ายของคำนิยามสามารถเปลี่ยนเป็น ‘สิ่งมีชีวิตที่ทำพันธสัญญากับโอลัวร์·ลีแต่เพียงผู้เดียว’ ไม่มีคำใดนิยามได้ชัดแจ้งไปกว่านี้แล้ว ว่าไหม? หากพันธสัญญายังไม่ถูกยกเลิก จะไม่มีใครอื่นเรียกมันออกมาได้”
“แต่ละคนสามารถทำพันธสัญญากับสิ่งมีชีวิตได้เพียงตัวเดียวหรือ” ลูเมี่ยนดูจะสนใจในประเด็นนี้
“ไม่ใช่… ฉันก็ไม่แน่ใจว่าขีดจำกัดสูงสุดคือเท่าไร แต่มากกว่าหนึ่งตัวแน่นอน โดยเฉพาะในบางโอสถ… จริงสิ ตอนอัญเชิญสามารถใช้คำว่า ‘สิ่งมีชีวิตตัวแรกที่ทำพันธสัญญากับ…’ หรือ ‘สิ่งมีชีวิตตัวที่สองที่ทำพันธสัญญากับ…’ เพื่อแยกแยะ” โอลัวร์ตอบตรงไปตรงมา “นอกจากนี้ นายต้องไม่ลืมว่าการอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณจะสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ ยิ่งอัญเชิญมากก็ยิ่งสิ้นเปลือง… ด้วยพลังวิญญาณของนักล่า ฉันคิดว่านายคงทำพันธสัญญาได้มากที่สุดหนึ่งตัว”
เธอที่รู้จักนิสัยของน้องชาย พูดเพื่อปิดช่องโหว่ที่ลูเมี่ยนกำลังคิด
“สิ่งมีชีวิตของโลกวิญญาณที่ถูกอัญเชิญมายังโลกจริง จะมีเวลาคงสภาพได้จำกัด ยิ่งอ่อนแอก็ยิ่งอยู่ได้นาน อย่าคิดว่าจะอัญเชิญหนึ่งตัวแล้วรอให้พลังวิญญาณฟื้นฟู จึงค่อยอัญเชิญอีกตัวหนึ่ง… เว้นแต่นายจะเลือกอัญเชิญเฉพาะตัวที่อ่อนแอ หรือไม่ก็พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นจากตอนนี้หลายเท่า”
หญิงสาวยกตัวอย่างการอัญเชิญเจ้ากระดาษขาว
“หากฉันไม่ได้สั่งให้เจ้ากระดาษขาว ‘ถือ’ พลังวิเศษของฉันไว้ มันสามารถดำรงอยู่บนโลกความจริงได้นานถึงสิบสองชั่วโมง แต่ถ้ามอบพลัง ‘เนตร’ ให้มันและสั่งให้คอยช่วยงาน มันจะดำรงอยู่ได้ไม่เกินสามชั่วโมง ตลอดช่วงเวลานั้น พลังวิญญาณของฉันก็จะถูกเผาผลาญอย่างต่อเนื่อง”
ลูเมี่ยนที่เคยคิดจะสร้างกองทัพสัตว์โลกวิญญาณ รู้สึกผิดหวังอย่างแรง
เด็กหนุ่มครุ่นคิดสักพักแล้วถาม
“เราสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณได้เท่านั้น? อัญเชิญได้แค่ประเภทวิญญาณเท่านั้น?”
“ไม่ใช่” โอลัวร์ส่ายหัว “เรายังสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากโลกแห่งความตาย โลกในกระจก โลกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณและโลกความจริง โลกดารา อวกาศ รวมถึงสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่น ไม่ว่าพวกมันจะเป็นวิญญาณหรือไม่ก็ตาม… แต่การทำแบบนั้นอันตรายมาก ผู้วิเศษที่พยายามทำ ส่วนใหญ่จะจบชีวิตอย่างน่าเวทนา บางคนหายตัวไปอย่างลึกลับ เหลือไว้เพียงบันทึกที่พิสูจน์ว่าเคยทดลองอะไร”
“แล้วอัญเชิญสิ่งต่างๆ ในโลกความจริงได้ไหม” ลูเมี่ยนถามด้วยความอยากรู้
โอลัวร์ไตร่ตรองสักพักแล้วตอบ
“ทฤษฎีบอกว่า ตราบใดที่อีกฝ่ายเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับโลกวิญญาณ หรือมี ‘ศักดิ์’ สูงส่งพอ พวกเขาจะได้ยินการเรียกหา และตัดสินใจได้เองว่าจะตอบสนองหรือไม่ แต่เป้าหมายระดับนี้ต้องทรงพลังอย่างมากถึงมากที่สุด ถ้านายยังอยากมีชีวิตที่ดี ขอเตือนว่าอย่าไปทดลอง”
“และเมื่อเป้าหมายการอัญเชิญไม่ใช่วิญญาณ ข้อกำหนดสำหรับพิธีกรรมจะสูงขึ้น จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณมากขึ้น อาจถึงขั้นต้องเซ่นสังเวยเป็นจำนวนมาก เพื่อเปิด ‘ประตูอัญเชิญ’ ให้สิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่วิญญาณผ่านเข้าออก”
“ด้วยพลังวิญญาณของนักล่า ลำพังการอัญเชิญเจ้ากระดาษขาวก็คงเต็มกลืนแล้ว ถ้าคิดจะทดลองอะไรที่ทรงพลังกว่านี้ คงต้องสวดวิงวอนถึงเทพหรือการดำรงอยู่ลึกลับสักองค์ เพื่อการนั้น นายอาจต้องสังเวยด้วยสิ่งที่อัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณ”
ลูเมี่ยนเข้าใจเกี่ยวกับอาคมพิธีกรรมมากขึ้นแล้ว จึงถามกับพี่สาว
“หลังจากนี้ พี่จะท่องคาถาเพื่ออัญเชิญออกมาสินะ”
“คงไม่ได้แล้วล่ะ” โอลัวร์หัวเราะแห้ง “พิธีกรรมถูกขัดจังหวะหลายครั้ง คงดำเนินต่อไม่ได้แล้ว… ในความเป็นจริง ถ้าปฏิบัติตามขั้นตอนเพื่อ ‘หยุด’ พิธีกรรมไว้ชั่วคราว มันสามารถดำเนินต่อจากจุดเดิมได้ แต่เมื่อสักครู่ ฉันเอาแต่อธิบายนาย ไม่ได้หยุดพิธีกรรมตามขั้นตอน”
คงลืมล่ะสิ… ลูเมี่ยนรำพันในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา
โอลัวร์กล่าวต่อ
“แต่ยังไงฉันต้องทำพิธีอัญเชิญให้สำเร็จสักครั้ง แง่หนึ่งเพื่อสาธิตขั้นตอนทั้งหมดให้นายเห็น อีกแง่หนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ”
“ขอความช่วยเหลือ?” ลูเมี่ยนถามด้วยแววตาสงสัย
อัญเชิญสิ่งมีชีวิตทรงพลังจากโลกวิญญาณมาช่วยหรือไง?
โอลัวร์อธิบาย
“ในหมู่สิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณที่มีอยู่นับไม่ถ้วน ส่วนหนึ่งสามารถทำหน้าที่ ‘ผู้ส่งสาร’ เพื่อคอยส่งข้อความส่วนตัว ซึ่งสามารถถูกอัญเชิญโดยคนอื่นได้”
“ตัวอย่างเช่น ถ้าฉันทำพันธสัญญากับผู้ส่งสาร ใครบางคนในทรีอาร์สามารถอัญเชิญมัน ฝากจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วไว้กับมัน ให้มันเดินทางผ่านโลกวิญญาณเพื่อมาส่งจดหมายถึงมือฉัน”
“เนื่องด้วยความพิเศษของโลกวิญญาณ รวมถึงการเชื่อมโยงผ่านพันธสัญญา มันสามารถส่งจดหมายได้ภายในหนึ่งถึงสองวินาที”
“น่าทึ่งมาก เร็วยังกับส่งโทรเลข…” ลูเมี่ยนถอนหายใจด้วยความทึ่ง
ความคิดในตอนนี้ก็คือ:
อยากได้สักตัว!
“เลิกคิดไปได้เลย” โอลัวร์อ่านใจน้องชาย “เป็นเรื่องยากมากที่จะอัญเชิญผู้ส่งสาร เว้นแต่จะมีคนบอกคาถาตายตัวให้ การทดลองด้วยตัวเองแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย… อีกทั้งคาถาที่ตายตัวนั่น มีเพียงไม่กี่ลำดับที่เข้าถึงได้ ซึ่งแม้แต่พี่สาวของนายก็ยังจนปัญญา”
ลูเมี่ยนผิดหวังอย่างแรงกล้า ผ่านไปสักพักจึงเปลี่ยนเรื่องถาม
“พี่จะอัญเชิญผู้ส่งสารของใครบางคน เพื่อเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือไปหาอีกฝ่าย?”
“ใช่” โอลัวร์พยักหน้า “ในหมู่พวกเรา เธอเดินไปบนเส้นทางเหนือธรรมชาติได้ไกลเป็นลำดับต้นๆ จนถึงขั้นมีผู้ส่งสารเป็นของตัวเอง… ฉันไม่ได้คาดหวังให้เธอถ่อมาช่วยถึงกอร์ตู แต่อย่างน้อยก็คงมีคำแนะนำให้บ้าง”
คงจะยาก มาดามลึกลับคนนั้นบอกให้เราพึ่งพาตัวเอง… ลูเมี่ยนถามอย่างสงสัย
“ในหมู่พวกเรา? หมายถึงกลุ่มเพื่อนทางจดหมายของพี่ใช่ไหม?”
โอลัวร์พยักในทีแรก แล้วจึงถามกลับด้วยความสงสัย
“ฉันเคยเล่าเรื่องเพื่อนทางจดหมาย? เมื่อไร?”
“ครั้งก่อน… ไม่สิ ครั้งก่อนหน้านั้น” ลูเมี่ยนตอบอย่างซื่อสัตย์
“งั้นหรือ…” โอลัวร์จับหน้าผาก “อันที่จริง นี่คือองค์กรที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก่อตั้งโดยกลุ่มคนที่กลับบ้านเกิดไม่ได้ คอยติดต่อกันผ่านจดหมายเป็นประจำ เพื่อแบ่งปันความรู้ ช่วยกันแก้ไขปัญหา จัดประชุมเล็กๆ เป็นครั้งคราวหรือติดต่อกันผ่านผู้ส่งสาร เธอเป็นรองประธานองค์กร และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง รหัสเรียกคือ ‘เฮล่า’”
“รหัสเรียก?” ลูเมี่ยนทำหน้างง
โอลัวร์อืมในลำคอ
“ในองค์กร ทุกคนจะใช้รหัสเรียกแทนชื่อ ไม่เปิดเผยชื่อจริง เมื่อเขียนจดหมายจะเน้นย้ำว่าเป็นนามปากกา เพื่อไม่ให้คนของทางการพบเข้า”
“แล้วรหัสเรียกของพี่คือ?” ลูเมี่ยนอยากรู้อยากเห็น
โอลัวร์นิ่งไปสักพัก ก่อนจะตอบพลางถอนหายใจ
“มักเกิ้ล”
“แปลว่าอะไร” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจ
โอลัวร์ตอบกลับด้วยสายตาที่ดูหมองหม่น
“คนธรรมดาที่ไม่มีพลังวิเศษ”
ลูเมี่ยนทราบดีว่าพี่สาวของตนอยากเป็นเพียงคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในบ้านเกิด จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“แล้วองค์กรชื่ออะไร”
สีหน้าโอลัวร์เริ่มดูซับซ้อน
“อันที่จริง ทุกคนอยากตั้งชื่อให้ดูมีระดับ แต่เมื่อคำนึงจากการต้องเขียนจดหมายเป็นประจำ ชื่อที่โดดเด่นเกินไปอาจดึงดูดความสนใจจากกลุ่มอำนาจ…สุดท้ายก็เลยตัดสินใจตั้งชื่อที่ดูเหมือนกลุ่มคนรักสัตว์”
“ชื่ออะไร” ลูเมี่ยนถามซัก
โอลัวร์ตอบด้วยท่าทีกึ่งๆ กระอักกระอ่วน
“สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก”
…………………………………………………….