ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 4 คนเลี้ยงแกะ
ตอนที่ 4 คนเลี้ยงแกะ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาพ่อนายกัน” ลูเมี่ยนกล่าวพร้อมกับลุกพรวด
เขามีนิสัยคิดไวทำไว และทราบดีว่าต้องรีบขุดคุ้ยตำนานหมู่บ้านให้เสร็จโดยเร็ว เพราะยิ่งช้าก็ยิ่งเสี่ยงต่อการล่วงรู้ไปถึงหูโอลัวร์
หากเป็นเช่นนั้น อีกฝ่ายไม่ยอมให้เขาสืบต่อแน่
ในสายตาโอลัวร์ การไล่ตามพลังวิเศษคือพฤติกรรมที่อันตรายอย่างยิ่ง
มีหรือที่เราจะไม่รู้ว่ามันอันตราย? โอลัวร์ไม่มีทางโกหกเรื่องแบบนี้แน่ แต่ไม่ว่าตรงหน้าจะมีภูผาคมมีดหรือทะเลเพลิงรออยู่ เราก็ต้องมุ่งหน้าไป ไม่ปล่อยให้โอลัวร์เผชิญปัญหาตามลำพังเด็ดขาด…ระหว่างลุก ความคิดข้างต้นแล่นเข้ามาในหัวลูเมี่ยน
ทุกครั้งที่เล่าว่าโลกนี้น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ โอลัวร์จะทำหน้าเครียดปนกังวลอย่างเห็นได้ชัด!
แรมงด์·เคร็กก์ยิ่งสับสน
“ไปหาพ่อทำไม?”
“เพื่อถามว่าตำนานจอมเวทนั่น เกิดขึ้นนานแล้วหรือยัง” ลูเมี่ยนหันไปตอบ
เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมถึงเข้าใจยากนัก? คงต้องหาเวลาพาไปตรวจสมองแล้วกระมัง
ขณะมองลูเมี่ยน ใบหน้าแรมงด์ยังคงเต็มไปด้วยคำถาม
“อยากรู้เวลาที่แน่ชัดไปทำไม?”
หืม…กุเรื่องขึ้นมาอำเจ้านี่ หรือว่าบอกความจริงดี? จู่ๆ ลูเมี่ยนก็เหม่อคิด
เมื่อลองคำนึงว่า การขุดคุ้ยจากนี้คงไม่พ้นสายตาของเพื่อนอยู่ดี และเหตุผลแท้จริงที่ไล่ตามตำนานหมู่บ้านก็ฟังดูเหมือนเรื่องโกหกอยู่แล้ว ยากที่จะมีใครเชื่อ ลูเมี่ยนจึงผุดความคิดแสบสัน
เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มที่มักทำตอนแกล้งคน
“…” แรมงด์ผงะถอยหลังสองก้าว “รีบๆ ตอบมา!”
ลูเมี่ยนจัดแต่งโค้ตสีเข้มกับเสื้อลินินให้กระชับ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตำนานจอมเวทเรื่องนี้น่าสนใจดี”
“ตรงไหน?” แรมงด์คิดสักพักก่อนจะถาม
“ประโยคที่บอกว่า ‘ในหมู่บ้านเราเคยมีจอมเวทคนหนึ่ง’ ยังไงล่ะ” ลูเมี่ยนตอบขึงขัง “ลองคิดตามดูนะ เวลาที่ฉันจะแต่งเรื่องมาหลอกคน ฉันจะไม่เอ่ยถึงเวลา สถานที่ หรือภูมิหลังที่ทุกคนสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ทันที แต่ตำนานกลับบอกไว้ชัดเจนว่า หมู่บ้านกอร์ตูของเราเคยมีจอมเวท ถ้ามันเป็นเรื่องโกหก ทุกคนก็ต้องแย้งได้ง่ายๆ เลยสิ?”
“แต่มันเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว” แรมงด์เถียง
“ฉันก็หมายถึงเมื่อนานมาแล้วนั่นแหละ คนสมัยนั้นคงยืนยันได้ง่ายๆ ว่ามีจอมเวทตายในหมู่บ้านจริง” ลูเมี่ยนพูดไปยิ้มไป “แต่ถ้ามันลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน ก็อาจเป็นไปได้ว่ามันคือความจริง”
เหตุผลนี้ยังโน้มน้าวแรมงด์ไม่สำเร็จ
“แต่เวลาแต่งเรื่องขึ้นมา นายเองก็ชอบใช้คำว่า ‘ร้อยปีก่อน’ ‘หลายร้อยปีก่อน’ ‘เมื่อนานมาแล้ว’ เพื่อไม่ให้ใครจับผิดได้”
“นี่คือเหตุผลที่เราต้องให้พ่อนายช่วยยืนยัน!” ลูเมี่ยนทำหน้ายังกับพูดว่า ‘ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมถึงอยากเจอพ่อนาย’
“ก็จริง…” แรมงด์ยอมรับคำอธิบาย แต่ก็ตงิดใจแปลกๆ
เมื่อทั้งสองออกจากจัตุรัสแล้วเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน แรมงด์เพิ่งจะกระจ่าง
“แล้วนายจะยืนยันข้อเท็จจริงของตำนานไปทำไม?”
“จอมเวทไง จอมเวทเชียวนะ! ถ้าเรายืนยันได้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังไหน และถูกฝังไว้ตรงไหน เราอาจไขปริศนาความลับและได้พลังที่ก้าวข้ามขีดจำกัดมนุษย์มา” ลูเมี่ยนพูดความจริงที่ดูเหมือนเรื่องโกหก
เป็นไปตามคาด แรมงด์ทำหน้าทำนองว่า ‘อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก’
“ตำนานพวกนี้ส่วนใหญ่แต่งขึ้นเพื่อขู่ให้เด็กกลัว มันจะจริงได้ยังไง…”
“มิหนำซ้ำ การไล่ล่าพลังของจอมเวทจะทำให้นายถูกโยนขึ้นศาล!”
สาธารณรัฐอินทิส ตั้งอยู่บนทวีปเหนือของโลก นับถือศาสนา ‘สุริยันเจิดจรัส’ กับ ‘เทพจักรกลไอน้ำเป็นหลัก’ ศาสนจักรทั้งสองผูกขาดความศรัทธาในอินทิสไว้ทั้งหมด ไม่เปิดโอกาสให้ศาสนจักร ‘เทพธิดารัตติกาล’ และ ‘วายุสลาตัน’ จากอาณาจักรโลเอ็น ศาสนจักร ‘พระแม่ธรณี’ จากอาณาจักรเฟเนพ็อต ศาสนจักร ‘เทพแห่งปัญญาความรู้’ จากแคว้นมัชฌิมทักษิณ ลุนเบิร์ก และศาสนจักร ‘เทพสงคราม’ จากจักรวรรดิฟุซัคเข้ามาเผยแผ่ศาสนา
ศาลของศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสคือแหล่งความกลัวในจิตใจผู้คน กลุ่มคนนอกรีตหรือสาวกศาสนาอื่นล้วนถูกจองจำและทรมานอย่างโหดเหี้ยม
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“กลัวทำไม? นายเป็นคนบอกเองว่าตำนานส่วนใหญ่ถูกแต่งขึ้นมา เราแทบไม่มีทางเจอร่องรอยของจอมเวทอยู่แล้ว”
“นอกจากนั้น ต่อให้เราโชคดีเจอสิ่งที่จอมเวททิ้งไว้ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าต้องสืบทอดพลังต้องห้ามเสมอไป สามารถนำมันไปส่งให้ศาสนจักรเพื่อแลกกับรางวัล…เป็นถึงจอมเวท อาจจะถูกฝังพร้อมกับขุมทรัพย์ล้ำค่าก็ได้”
ศาสนจักรที่ลูเมี่ยนหมายถึงคือสุริยันเจิดจรัส เนื่องจากหมู่บ้านกอร์ตูของพวกเขาไม่มีโบสถ์จักรกลไอน้ำตั้งอยู่ จะพบได้เฉพาะหัวเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรมเท่านั้น
เห็นแรมงด์เริ่มคล้อยตาม ลูเมี่ยนแอบจิ๊ปากพร้อมกับพูดเสริม
“นายอยากเป็นคนเลี้ยงแกะจริงๆ หรือไง?”
คนเลี้ยงแกะที่เด็กหนุ่มหมายถึง มิใช่คนเลี้ยงแกะบนทุ่งหญ้าตามชนบทที่ชาวเมืองใหญ่คิด มิใช่ส่วนหนึ่งของครอบครัวที่คอยต้อนแกะไปกินหญ้าและดูแลเอาใจใส่
ในเขตดาลีแอช แคว้นไรสตัน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านกอร์ตู คนเลี้ยงแกะคืออาชีพหนึ่ง ซึ่งมีชะตากรรมต้องเหน็ดเหนื่อยและเดียวดาย
พวกเขาจะถูกเจ้าของแกะจ้างให้ต้อนแกะนับสิบนับร้อยตัว เดินไปกลับระหว่างภูเขาและทุ่งหญ้า
การทำแบบนี้ถูกเรียกว่า ‘ผลัดถิ่น’ ในทุกฤดูใบไม้ร่วง เมื่อทุ่งหญ้าบนภูเขาสูงรอบหมู่บ้านกอร์ตูเริ่มเหี่ยวเฉา คนเลี้ยงแกะต้องต้อนฝูงออกจากภูเขาไปยังทุ่งหญ้าไกลๆ ที่อบอุ่นกว่า โดยมากต้องข้ามเขตพรมแดนเข้าไปในอาณาจักรเฟเนพ็อตหรือลุนเบิร์ก ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมจะกลับมายังหมู่บ้านพร้อมกับแกะ ตัดขนแกะและหย่านมลูกแกะ ช่วงเดือนมิถุนายนจะย้ายไปอยู่ทุ่งหญ้าสูงบนเขา หลับนอนในกระท่อม ทำชีส และพาแกะกินหญ้า จนกระทั่งอากาศกลับมาหนาวอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ ผ่านไปปีแล้วปีเล่า คนเลี้ยงแกะต้องอยู่ในวังวนเดิมๆ ซ้ำซาก ชีวิตมีเพียงการเดินทางไม่รู้จบ ได้กลับหมู่บ้านแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลให้เกือบทุกคนต้องครองโสด ยากจะมีใครอยากแต่งงานด้วย ยากที่จะสร้างครอบครัว แม่หม้ายบางคนที่จำใจต้อนแกะหาเพื่อเลี้ยงชีพจึงเป็นที่นิยมในสังคมนี้
แรมงด์เงียบไป
ผ่านไปสักพัก เขากล่าวสองจิตสองใจ
ตามปกติแล้ว เมื่อครอบครัวตัดสินใจว่าจะให้ลูกคนไหนเป็นคนเลี้ยงแกะ เด็กจะถูกส่งไปทำงานกับคนเลี้ยงแกะในช่วงอายุสิบห้าถึงสิบแปดปีเพื่อเรียนรู้วิธีต้อนแกะ พอครบสามปี เด็กคนนั้นจะกลายเป็นคนเลี้ยงแกะเต็มตัว และเริ่มมองหาผู้ว่าจ้าง
แรมงด์วัยสิบเจ็ดปีอาศัยข้ออ้างต่างๆ นานา เพื่อเลื่อนการ ‘ฝึกงาน’ เป็นคนเลี้ยงแกะมาสองปี หากชีวิตไม่พบจุดพลิกผัน เขาต้องเริ่มเรียนรู้วิธีต้อนแกะในปีหน้า
“ไปกันเถอะ” ลูเมี่ยนตบบ่าแรมงด์ “พ่อนายอยู่ที่นาหรือที่บ้านล่ะ?”
“พักนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ เทศกาลมหาพรตใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าไม่อยู่บ้านก็คงอยู่ที่ร้านเหล้า” แรมงด์กล่าวด้วยความอิจฉา “นายไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย? สมแล้วที่ไม่ใช่ครอบครัวชาวนา โชคดีมากนะที่มีพี่สาวดีๆ แบบนี้!”
ลูเมี่ยนสอดมือเข้ากระเป๋ากางเกง ย่างกรายเชื่องช้าโดยไม่แยแสเสียงถอนหายใจของแรมงด์
เมื่อเข้าใกล้ร้านเหล้าโทรมๆ ในหมู่บ้าน ใครบางคนเดินเข้ามาใกล้จากริมทาง
อีกฝ่ายสวมโค้ตยาวสีน้ำตาลที่มีฮู้ด มัดเชือกรอบเอว สวมรองเท้าหนังสีดำคู่ใหม่ที่ดูนุ่มสบาย
“ปิแยร์…ปิแยร์ตระกูลแบรี?” แรมงด์อุทานด้วยความตกใจ
ลูเมี่ยนเองก็หยุดเดิน เหลียวกลับไปมองริมถนน
“ฉันเอง” ปิแยร์·แบรียิ้มตอบพลางโบกมือ
ร่างกายค่อนไปทางผอม เบ้าตาจมเล็กน้อย ผมสีดำหยักศกมันแผล็บ ใบหน้ามีหนวดเครารกครึ้ม ดูเหมือนไม่ได้โกนมานานมาก
“กลับมาทำไม?” แรมงด์ถามหน้าฉงน
ปิแยร์·แบรีเป็นคนเลี้ยงแกะ หากคำนึงว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงปลายมีนาคมถึงต้นเมษายน เขาควรต้องต้อนแกะอยู่บนทุ่งหญ้าด้านนอกช่องเขา ทำไมถึงอยู่ที่หมู่บ้านได้?
ต่อให้การ ‘ผลัดถิ่น’ รอบนี้มุ่งหน้าไปยังพรมแดนทางเหนือของลุนเบิร์กหรือเฟเนพ็อต แต่ช่วงนี้ควรเป็นเวลาที่เพิ่งจะเริ่มเดินทางกลับ อีกนานนับเดือนกว่าจะถึงหมู่บ้าน
ปิแยร์ เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินอ่อนโยน กล่าวอย่างร่าเริง
“ใกล้จะถึงเทศกาลมหาพรตแล้วนี่? ฉันไม่ได้เข้าร่วมมานาน ครั้งนี้ไม่อยากพลาดน่ะ!”
“ไม่ต้องห่วง ฉันมีสหายคอยดูแลฝูงให้ หนึ่งในข้อดีของคนเลี้ยงแกะก็คือ ‘ไม่มีคนคุมงาน’ ขอเพียงหาคนมาช่วยทำงานแทน ฉันสามารถไปที่ไหนก็ได้”
มหาพรตคือเทศกาลเฉลิมฉลองทั่วอินทิส ผู้คนจะต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ร่วงด้วยธรรมเนียมแตกต่างกันไป รวมถึงการสวดวิงวอนขอให้พืชผลอุดมสมบูรณ์
เทศกาลนี้มิได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับศาสนจักร ‘สุริยันเจิดจรัส’ หรือ ‘เทพจักรกลไอน้ำ’ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมท้องถิ่น
ในเมื่อมิใช่การสักการบูชาเทพองค์อื่น เหล่าศาสนจักรในจารีตจึงปล่อยผ่าน
“คงอยากเห็นสินะ ว่าใครจะถูกเลือกให้เป็นนางฟ้าใบไม้ผลิ?” ลูเมี่ยนแกล้งหยอกด้วยรอยยิ้ม
ในเทศกาลมหาพรตของหมู่บ้านกอร์ตู หญิงงามจะถูกเลือกให้รับบทนางฟ้าใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล
ปิแยร์ยิ้มตาม
“ฉันหวังให้เป็นโอลัวร์ พี่สาวของนาย แต่เธอไม่เอาด้วยแน่ และอายุก็อาจจะเกินเกณฑ์”
“ถ้างั้น…” เขาชี้ไปทางร้านเหล้าใกล้ๆ “ฉันจะไปสวดมนต์ที่โบสถ์ เสร็จแล้วจะกลับมาเลี้ยงเหล้านะ”
แรมงด์ตอบตามจิตใต้สำนึก
“ไม่จำเป็น นายไม่ได้รวยอะไร”
“ฮะๆๆ! พระองค์สอนเราว่า ‘ต่อให้มีแค่เหรียญทองแดงเดียว ก็จงแบ่งปันกับพี่น้องที่ยากจนกว่า’” ปิแยร์เอ่ยสุภาษิตที่นิยมพูดกันในหมู่คนเลี้ยงแกะแห่งเขตดาลีแอช
ได้ยินแบบนั้น ลูเมี่ยนยิ้มให้แรมงด์
“ตอนนี้ปิแยร์รวยแล้ว เขาจะเลี้ยงก็ไม่แปลก!”
เด็กหนุ่มชี้ไปที่รองเท้าหนังคู่ใหม่เอี่ยมของปิแยร์
ปิแยร์·แบรีทำหน้ามีความสุข
“ผู้ว่าจ้างคราวนี้ใจกว้างมาก ยกแกะให้ฉันหลายตัว หลังจากนี้ยังจะแบ่งขนแกะ ชีส และหนังแกะให้ด้วย”
รายได้ของคนเลี้ยงแกะส่วนใหญ่จะเป็นอาหาร เงินอีกนิดหน่อย และส่วนแบ่งปศุสัตว์ ชีส ขนสัตว์ และหนังสัตว์ ปริมาณที่แน่ชัดขึ้นอยู่กับสัญญาจ้าง
สำหรับคนเลี้ยงแกะที่ต้องเดินทางไกล รองเท้าหนังดีๆ ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
มองดูปิแยร์·แบรีมุ่งหน้าไปยังจัตุรัส สายตาลูเมี่ยนทวีความสงสัยเจือครุ่นคิด
เด็กหนุ่มพึมพำเงียบ
“แค่จะกลับมาร่วมงานมหาพรต ถึงกับยอมเสียเวลาหนึ่งถึงสองสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งร่วมเดือน?”
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ลูเมี่ยนสลัดความสงสัย แล้วเดินตรงเข้าร้านเหล้าพร้อมกับแรมงด์
ร้านเหล้าไม่มีชื่อ และไม่จำเป็น ในเมื่อเป็นร้านเหล้าเดียวในหมู่บ้านกอร์ตู ชาวบ้านพร้อมใจกันเรียก ‘ร้านเหล้าคร่ำครึ’
เดินเข้ามาในร้าน ลูเมี่ยนมองกวาดตามความเคยชิน
ทันใดนั้น สายตาสะดุดอยู่กับจุดหนึ่ง
เด็กหนุ่มเห็นคนต่างถิ่นที่รีบกลับไปตั้งแต่เมื่อคืน
เป็นคนละกลุ่มกับไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์
อีกฝ่ายคือสตรีในชุดเดรสยาวสีส้มอมเหลือง ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย ปล่อยทิ้งตัวตามธรรมชาติ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนจดจ่ออยู่กับเครื่องดื่มสีแดงอ่อนๆ ในมือ
หน้าตางดงามพร่างพริ้ง ทำตัวเอ้อระเหย ดูไม่เข้ากับร้านเหล้าต่ำตมที่มีบรรยากาศสลัวๆ เลยสักนิด
…………………………………………..