ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 382 ฉวยโอกาส
ตอนที่ 382 ฉวยโอกาส
ลูเมี่ยนตกใจกับคำตอบของเทอร์มีโพลอส หากตนมิได้ระวังการถูกตามรอย ป่านนี้คงเจอกับโลกิไปแล้ว
เด็กหนุ่มแค่อยากรู้ว่า ‘ศาสตร์ดูดวง’ จะใช้ได้ผลกับผู้วิเศษเส้นทาง ‘นักทำนาย’ หรือไม่ หากเทอร์มีโพลอสไม่ตอบก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสีย เขาก็เป็น ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ สามารถลองใช้ ‘ยาผีบอก’ ได้ด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเทวทูตแห่งชะตากรรมจะตอบกลับมาแบบนี้
ลูเมี่ยนรีบประมวลผลสมอง ตกผลึกข้อมูลได้ออกมาเป็นประโยคหนึ่ง:
หลังออกจากถนนเพรง โลกิตามเขามาช่วงหนึ่ง!
ต้นตอของเอกสารสำเนานั่น ความจริงแล้วคือกับดัก!
วันนี้ช่วงบ่าย โลกิก็อยู่ในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบด้วย!
เขาจงใจใช้เครื่องพิมพ์ดีดของบาร์ทำสำเนาเอกสาร เพื่อล่อให้นักสืบเข้าไปในร้าน จะได้ตามรอยย้อนกลับ แล้วลอบโจมตีอย่างหนักหน่วง
หากนักสืบแข็งแกร่งเกินไป การซ่อนตัวอยู่ในฐานลับของหน่วยแปด จะช่วยให้เขาปลอดภัยในระดับหนึ่ง ไม่ถูกสืบสาวได้ง่ายนัก เหนือสิ่งอื่นใด เขายังสามารถพึ่งพาใบบุญของหน่วยแปด ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ เพื่อโจมตีคนที่พยายามแกะรอยตน
คิดแล้ว ลูเมี่ยนทั้งเสียดายและโล่งใจ
ความเสียดายคือ ตั้งแต่ออกจากถนนเพรง จนกระทั่งเสร็จขั้นตอนสลัดผู้ติดตาม เด็กหนุ่มไม่สังเกตเห็นการติดตามของโลกิเลย จนพลาดโอกาสพูดคุยเรื่อง ‘มักเกิ้ล’ กับผู้ก่อตั้งกลุ่ม ‘วันเอพริลฟูล’ ไป
ความโล่งใจคือ ตอนนั้นลูเมี่ยนไม่ได้เตรียมตัวเลย หากต้องเผชิญหน้ากับโลกิ หรือบีบให้อีกฝ่ายลงมือก่อน เขาคงตายอย่างน่าสังเวช ตามคำบรรยายของฟรังก้า เมื่อนักทำนายถึงลำดับ 7 ‘นักมายากล’ จะเริ่มมีพลังพิสดาร พอเป็น ‘นักเชิดหุ่น’ ก็ยิ่ง ‘เก็บ’ เหยื่อได้อย่างเงียบเชียบ
หากถูกโลกิลอบโจมตี ลูเมี่ยนไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ตนจะมีโอกาสใช้นิ้วของมิสเตอร์ K หรือไม่ ไม่รู้ว่าจะหาโลกิตัวจริงเจอทันเวลา แล้วใช้ ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ หลบหนีออกจากวิกฤติได้หรือไม่
แต่ตอนนี้ เปลวไฟที่สุมทรวงทำให้เด็กหนุ่มเสียดายมากกว่าโล่งอก
ฝีเท้าของลูเมี่ยนที่กำลังมุ่งหน้าไปคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ช้าลงโดยไม่รู้ตัว ในใจกำลังทบทวนประสบการณ์ที่บาร์หัวเดียวกระเทียมลีบตอนบ่าย:
แสงในบาร์สลัว พ้นเวลาอาหารกลางวันแล้ว นอกจากริมหน้าต่างที่มีลูกค้าสองสามคนกำลังคุยกันงึมงำ ดูเหมือนชั้นหนึ่งจะเหลือแค่ลีอา ซึ่งแต่งตัวเป็นบาร์เทนเดอร์
ใต้ดินที่เป็นโรงละครหุ่นเชิด มีเสียงสนทนาของกลุ่มคนดังแว่วเป็นระยะ
ในห้องที่มีเครื่องพิมพ์ดีด ชายคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่พูดไม่จาเลยสักคำ เอาแต่จับจ้องหนังสือพิมพ์ ตอนเก็บค่าพิมพ์ก็แค่พยักหน้า…
ใครในนี้คือโลกิ? ลูเมี่ยนหยุดยืนฝั่งตรงข้ามคาบาเร่ต์ลมเอื่อย สายตาเหม่อลอยพอประมาณ
เห็นได้ชัดว่าลีอาไม่ใช่โลกิ มิใช่เพราะเพศไม่ตรง แต่ลำดับต่ำเกินไป ตามคำบอกเล่าของฟรังก้า ตั้งแต่ต้นปีที่แล้วหรือก่อนหน้านั้น โลกิเริ่มเปิดเผยใบหน้าตัวเองครึ่งหนึ่ง คล้ายกับเลื่อนลำดับเป็น ‘ผู้ไร้หน้า’ แล้ว ส่วนลีอาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ยังเป็นเพียง ‘นักมายากล’ ลำดับ 7
—ในแดนฝันแท้จริง เธอคงปกปิดลำดับของตัวเองไม่ได้แน่
ลูเมี่ยนเริ่มสงสัยชายที่อ่านหนังสือพิมพ์พลางเฝ้าเครื่องพิมพ์ดีด
เขาสามารถใช้เครื่องพิมพ์ดีดทำเอกสารสำเนาได้ทุกเมื่อ แถมยังสะดวกในการดูว่ามีคนแปลกหน้ามาใช้เครื่องพิมพ์ดีดตอนไหน…
ลูเมี่ยนพยายามนึกใบหน้าของชายที่อ่านหนังสือพิมพ์ แต่พบว่าอีกฝ่ายดูธรรมดาเหลือเกิน แทบไม่มีจุดเด่นเลย — อายุราวสามสิบ ผมดำตาฟ้า ไม่หล่อ แต่ก็ไม่ขี้เหร่ สวมสูทสีดำ เหมือนพนักงานเล็กๆ ทั่วไปที่พบได้ตามท้องถนน
“อีกอย่าง ‘นักเชิดหุ่น’ ยังสร้างหุ่นเชิดได้ด้วย นั่นอาจเป็นแค่หุ่น ไม่ใช่ โลกิตัวจริง ถึงได้เงียบตลอด แกล้งทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์…”
“นักเชิดหุ่นเปลี่ยนคนเป็นหุ่นได้ แล้วจะเปลี่ยนหนู แมลงสาบ หรือตัวเรือดเป็นหุ่นได้ด้วยไหม?”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ความเป็นไปได้ก็มีมากเกินไป ทุกชีวิตในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบสามารถเป็นโลกิได้ทั้งหมด…”
“แล้วจะหาตัวเขาเจอได้ยังไง น่ารำคาญชะมัด… ถึงจะแผลงฤทธิ์ต่างจากอามุนด์ แต่ความน่ารำคาญไม่ต่างเลย!”
“โชคดีที่เรามีเทวทูตอยู่ในตัว มีผนึกของมิสเตอร์ฟูล และมีออร่าของจักรพรรดิโลหิต ไม่อย่างนั้น ‘นักเชิดหุ่น’ ที่เป็น ‘นักทำนาย’ คงหาเราเจอได้ไม่ยากเลย… ลำพังการใช้ ‘คำลวง’ กับเทคนิคสลัดการติดตาม คงไม่เพียงพอที่จะหนีโลกิพ้น…”
“น่าหงุดหงิดจริงๆ … ที่นั่นเป็นฐานลับของหน่วยแปด จะใช้วิธีโจมตีปูพรมเพื่อล่อโลกิออกมาก็ไม่ได้…” ยิ่งคิด ลูเมี่ยนก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด
หลังจากสลัดหลุดได้ครั้งนึง การใช้กลยุทธ์คล้ายเดิมล่อโลกิออกมาใหม่ แทบไม่มีโอกาสสำเร็จแล้ว ขอแค่อีกฝ่ายฉลาดพอ ย่อมต้องสงสัยว่ามีกับดักซ่อนอยู่ใน ‘ลูกไม้เดิมๆ’ แน่นอน
เหนือสิ่งอื่นใด การไปบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบบ่อยๆ อาจทำให้ถูกหน่วยแปดจับตามอง ยิ่งวุ่นวายหนักข้อไปกันใหญ่
ลูเมี่ยนสูดหายใจยาว แล้วบรรจงผ่อนออก บังคับตัวเองให้สงบ รักษาอารมณ์ให้นิ่ง
สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการวิเคราะห์โลกิ
“ตามทฤษฎีของอ็องโตนี โลกิกับชาววันเอพริลฟูลส่วนใหญ่ ล้วนเป็นพวกลำพองตนว่าฉลาด ไม่อย่างนั้น เมื่อสิ้นหวังกับอนาคตแล้ว คงไม่มาหาความสุขจากการแกล้งคน แต่น่าจะมัวเมาอยู่กับกิเลสตัณหา หลงใหลไปกับสิ่งเย้ายวนในชีวิต…”
“พวกที่คิดว่าตัวเองฉลาดล้ำเสียเต็มประดา จะมีทางกลับมาติดกับอีกครั้งไหมนะ…”
ลูเมี่ยนจำแนก รวบรวม ตกผลึกข้อมูลมากมายในหัว พยายามหาวิธีที่เป็นไปได้
นี่ทำให้เด็กหนุ่มยิ่งหงุดหงิด อยากจะบุกเข้าไปในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ แล้วกำจัดทุกสิ่งอย่างยกเว้นลีอาให้รู้แล้วรู้รอด
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนฉุกคิดบางสิ่งได้
แม้มันจะไม่ใช่แผนที่มุ่งเป้าไปหาโลกิ แต่ก็ถือเป็นการหยั่งเชิงสถานการณ์ในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ ดูว่ามีรายละเอียดใดให้ใช้สอยหรือสืบต่อไหม แถมยังช่วยให้เขาได้ระบายอารมณ์ ปลดปล่อยความโกรธ และอาจได้เงินติดไม้ติดมือก้อนหนึ่ง
หลังไตร่ตรองซ้ำไปซ้ำมา ลูเมี่ยนก็หันหลังกลับ เดินไปทางถนนอลเวง
…………
โรงแรมระกาทอง ห้อง 401
ลูเมี่ยนผลักประตูที่เปิดแง้มเข้าไป เห็นฟิซ นักธุรกิจล้มละลาย กำลังนั่งข้างโต๊ะไม้ จุ่มขนมปังบาแก็ตยาวๆ ลงในซุปข้นเหนียว
ฟิซหันมามอง วางอาหารในมือลง ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้างุนงงระคนตื่นตระหนก
“มีอะไรหรือครับ มิสเตอร์ชาร์ล”
ผมสีออกน้ำตาลของนักธุรกิจรายนี้ดูมันเยิ้ม แต่ก็ยังฝืนจัดทรงให้เป็นระเบียบพอควร ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกับรอยยิ้มตรงมุมปาก ทำให้ดูเหมือนคนพยายามประจบประแจง
เทียบกับครั้งก่อน เสื้อผ้าของฟิซสกปรกขึ้นหน่อย เหมือนจะไม่มีเวลาว่างสำหรับทำความสะอาดเลย
ลูเมี่ยนถามเข้าประเด็น
“คุณมีเอกสารพิสูจน์ว่าทิมมอนส์ติดหนี้คุณอยู่ 100,000 เฟลคินไหม เถ้าแก่คาบาเร่ต์แกะดำน่ะ”
ตาของฟิซเป็นประกาย
“มีครับ! ผมมีสัญญาหุ้นส่วนทางธุรกิจของเรา ระบุเวลาที่เขาต้องซื้อหุ้นคืน จ่ายเงิน 100,000 เฟลคินพร้อมดอกผล”
“มิสเตอร์ชาร์ล คุณไม่ต้องใช้คาบาเร่ต์แกะดำเตือนความจำผมหรอก ว่าทิมมอนส์เป็นใคร ผมสาปแช่งไอ้เวรนั่นวันละร้อยรอบ!”
“มิสเตอร์ชาร์ล ผมมีหวังที่จะได้เงินคืนแล้วหรือครับ?”
ลูเมี่ยนยิ้มมุมปาก
“มีสิ นี่อาจเป็นโอกาสเดียวในชีวิตคุณ ถ้าพลาดไป ก็คงไม่มีวันได้เงินก้อนนั้นกลับคืนมาแล้ว”
คาบาเร่ต์แกะดำอ่อนแอที่สุดก็ในตอนนี้แหละ!
ไม่มีอามุนด์แล้ว ก็เหลือแค่มนุษย์ที่กลายพันธุ์ไปบ้างในระดับต่างๆ!
ฟิซฟังแล้ว ทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล รีบหยิบสัญญาที่เก็บรักษาอย่างดีออกมาให้ลูเมี่ยนทันที
แม้เขาจะไม่ค่อยไว้ใจหัวหน้าหน่วยแก๊งรายนี้นัก แต่ก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว จึงได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายนำข่าวดีกลับมา
…………
เขตหอดูดาว ถนนเพรง
ลูเมี่ยนเปลี่ยนหน้าตาใหม่ เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก หมวกทรงสูง กับสูทตัวบาง เดินไปทางคาบาเร่ต์แกะดำ
การ์ดคนหนึ่ง สวมแว่นตาข้างเดียวที่ตาขวา สูทสั้นสีดำ เข้ามาขวางไว้
“ท่านครับ จะเข้าคาบาเร่ต์ของเรา ต้องสวมแว่นตาข้างเดียวด้วยครับ”
ลูเมี่ยนตอบด้วยรอยยิ้ม
“โมไนต์ให้ผมมา บอกว่าผมไม่ต้องใส่แว่นข้างเดียวแบบพวกคุณ”
การ์ดทั้งสองสบตากัน ยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมเพรียง
“ถ้างั้นก็เชิญครับ”
ดูเหมือนพวกแกจะรู้ดี ว่าคนที่โมไนต์เชิญมาต้องเจอกับอะไร… ติดเชื้อนิสัยชั่วร้ายนั่นมาด้วย แถมยังแอบศรัทธาอามุนด์อีก… น่าเสียดายที่พวกแกไม่รู้ว่าคาบาเร่ต์แกะดำตอนนี้ ไม่เหมือนกับในความทรงจำอีกแล้ว… ลูเมี่ยนยิ้มเยาะ ตัดสินใจว่าจะหาสักคนที่เหมือนอามุนด์ที่สุด แล้วชกใส่แว่นข้างเดียวให้แตกยับ
นี่เป็นทั้งการระบายความโกรธ และแก้เผ็ดที่เคยถูกอามุนด์หลอกใช้หรือทำให้ตกใจ ขณะเดียวกันก็เพื่อเรียกความสนใจจากบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะรู้ได้อย่างไร ว่ามีคนทวงเงินคืนจากนักต้มตุ๋นทิมมอนส์ได้แล้ว
ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว คาบาเร่ต์แกะดำเปิดโคมไฟแก๊สติดผนัง รวมถึงโคมระย้าคริสตัลสีสันสดใสหลายดวง
หลายคนใส่แว่นข้างเดียว สูทสั้น บางคนเต้นรำในลาน บางคนถือแก้วเหล้าพิงราว ยิ้มมองคนอื่นเต้นกันอย่างดุเดือด บางคนสีไวโอลินหรือเป่าคลาริเน็ตอยู่ตามมุม สร้างบรรยากาศคึกคักร้อนแรง
ดูธรรมดาราวกับที่นี่ไม่มีความผิดปกติ
ลูเมี่ยนมองสักพัก แล้วเดินไปทางบันไดขึ้นชั้นสอง
การ์ดแว่นข้างเดียวที่ยืนเฝ้าอยู่ ยื่นมือขวาออกมาขวาง
เขาถามด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ
“หาใคร?”
ลูเมี่ยนตอบอย่างผ่อนคลาย
“หาทิมมอนส์ มาทวงเงิน”
“งั้นก็ขึ้นไปไม่ได้” การ์ดแว่นข้างเดียวมิได้ห้ามจริงจังนัก เหมือนกำลังดูละครตลก
ลูเมี่ยนยกมุมปากยิ้มแฉ่ง
เปรี้ยง!
เด็กหนุ่มซัดหมัดซ้าย กระแทกใส่หน้าการ์ดคนนั้น ทำเอาแว่นข้างเดียวปลิวกระเด็น ตกกระแทกพื้นจนแตกร้าว
……………………………………………………..