ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 364 เรือนแดง
ตอนที่ 364 เรือนแดง
ประตูบ้านเก่าสีเทาขาวเปิดแง้มอยู่ ไม่จำเป็นต้องพึ่งกุญแจในการเข้าไป
ด้านในรกรุงรังอย่างยิ่ง ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว ราวกับผ่านการถูกปล้นมา
วาเลนไทน์มองไปรอบๆ แล้วกล่าว
“มีใครบางคนนำของมีค่าออกไปแล้ว”
เขาเห็นว่าห้องต่างๆ บนชั้นล่างล้วนเปิดประตูโล่งโจ้ง บนพื้นมีรอยการลากหีบหนักๆ
“พวกเรามาช้าไป พวกพ้องของผู้ว่าจ้างคงจะพบความผิดปกติ จึงย้ายของออกไปก่อนแล้ว” ลูกครึ่งอิมเรระบายลมหายใจ
เหล่าผู้ชำระแยกย้ายกันค้นหาในพื้นที่ไม่กว้างนัก
ไม่นานนัก อ็องกูแลมหยิบกระดาษขาวขึ้นมาสองสามแผ่น ซึ่งร่วงอยู่แถวๆ ขอบบันได จับพวกมันยกขึ้นสูง อังกับแสงไฟแล้วพิจารณาอย่างถ้วนถี่
จากนั้นก็ดึงแผ่นหนึ่งออกมา ใช้ดินสอครึ่งแท่งที่พกติดตัวขีดเขียนคล่องแคล่ว
ร่องรอยบางอย่างค่อยๆ ปรากฏชัดเจน กลายเป็นคำที่สมบูรณ์จำนวนหนึ่ง
“อัลแบร์·กองกูร์… ใต้ดิน… จลาจล… เวลา…”
“อัลแบร์·กองกูร์…” อิมเรมองกระดาษในมือสังฆานุกร อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
อัลแบร์·กองกูร์คือผู้วางแผนก่อจลาจลครั้งใหญ่ในกรุงทรีอาร์เมื่อหกปีก่อน เป็นหนึ่งในผู้นำของ ‘พรรคเผาถ่าน’ และยังเป็นผู้นำกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลอันดับหนึ่ง
อ็องกูแลมยังคงเงียบ เพียงส่งสัญญาณให้คนในทีมทำงานกันต่อ
หลังจากตรวจสอบชั้นหนึ่งกับชั้นสองเสร็จ พวกเขาเดินลงบันไดไปยังห้องใต้ดินตื้นๆ
ด้านในสุดของห้องใต้ดินมีประตูบานใหญ่ หล่อด้วยเหล็กกล้าสีดำ กลอนประตูเป็นสีทองเหลือง
อ็องกูแลมตบหุ่นยนต์มนุษย์สีเทาขาวที่ตามหลังมาไม่ห่าง แล้ววางกุญแจทองเหลืองที่ได้จากเชเลีย·เบลโลไว้บนฝ่ามือขวาของมัน
จากนั้นก็หมุนลูกบิดหลายอันบนตัวหุ่นยนต์มนุษย์
กลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งจาก ‘ถังพลังงานความร้อนสูง’ ด้านหลังหุ่น ขับเคลื่อนเครื่องจักรอันไร้ชีวิตชีวาให้ก้าวไปข้างหน้าทีละนิด จนกระทั่งมันเสียบกุญแจทองเหลืองใส่กลอนประตูตามความสูงที่ตั้งค่าไว้
ได้เห็นฉากดังกล่าว ลูกครึ่งอิมเรอดไม่ได้ที่จะแสดงความเห็น
“ท่านสังฆานุกรน่าจะเป็นคนที่ชอบใช้เครื่องจักรมากที่สุดในศาล ไม่สิ มากที่สุดในศาสนจักรเราแล้วกระมังครับ”
อ็องกูแลมชำเลืองมองลูกน้องที่ดูสบายไปเสียทุกเรื่อง ก่อนจะกล่าว
“ผมไม่สนว่ามันจะผลิตโดยศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำหรือไม่ แค่ใช้ได้ดีก็พอแล้ว”
“ถ้าหุ่นยนต์พังก็แค่ซ่อม หรือเปลี่ยนตัวใหม่ แต่ถ้าพวกคุณพังไป ไม่เพียงผมต้องอนุมัติเงินช่วยเหลือ แต่ยังต้องเผชิญกับน้ำตาของญาติๆ พวกคุณด้วย”
เหล่าผู้ชำระล้วนเข้าใจความหมายแฝงเร้นกึ่งๆ เอ็นดูจากคำพูดของสังฆานุกร ต่างหัวเราะพลางหันไปมองหุ่นยนต์มนุษย์สีเทาขาว
ตอนนี้มันยังทำได้แค่ยกของ ตอกตะปู เดินหรือวิ่งอย่างกระท่อนกระแท่นเท่านั้น ยังทำงานที่ใช้ความละเอียดอ่อนหรือสมองไม่ได้ ทำงานติดต่อกันนานๆ ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงประหยัดเวลาได้มากโข
กริ๊ก หุ่นยนต์บิดกุญแจสีทองเหลือง ผลักประตูหนักสีดำเปิดเข้าไป
หมอกจางๆ พุ่งออกจากประตูทันที รูปร่างเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กลายเป็นใบหน้าแล้วใบหน้าเล่า ทั้งหมดดูสมจริงราวกับภาพพิมพ์
ใบหน้าที่ประกอบกันจากหมอกสีขาว เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นและเจ็บปวด
ด้วยบรรยากาศอันบ้าคลั่ง พวกมันบ้างขย้ำบ้างสาปแช่งหุ่นยนต์ที่เปิดประตู แต่เหยื่อก็มิได้สะทกสะท้าน
แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องลงมาอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็กวาดล้างหมอกหลังประตูเหล็กดำจนหมดเกลี้ยง
เมื่อหมอกจางหายไป ทิวทัศน์ด้านในก็ปรากฏสู่สายตาของพวกวาเลนไทน์
มันคือห้องบูชาที่ไม่ใหญ่มาก ใจกลางเป็นแท่นกึ่งสูงที่ก่อด้วยหินสีเทาดำ
หลังจากตรวจสอบจนมั่นใจว่าไม่มีอันตรายแฝงเร้น อ็องกูแลมก็เดินเข้าไปพร้อมหุ่นยนต์
เขาพบว่าด้านบนแท่นบูชาสีเทาดำ เดิมทีคงฝังบางสิ่งไว้ ตอนนี้ถูกนำออกไปแล้ว เหลือเพียงร่องรอยตื้นๆ แคบๆ
“แหวน?” อ็องกูแลมคาดเดาเสียงแผ่ว
…………
เขตตลาด บ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว หน้าประตูห้อง 601
ท่ามกลางแสงแดดสดใส ฟรังก้าแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตประดับลูกไม้ตรงคอปกกับปลายแขน กางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อนตัวเก่ง สวมรองเท้าแตะ มองลูเมี่ยนแล้วเอ่ยปากถาม
“มาทำไมอีก”
โดยไม่รอคำตอบ เธอยกมือขึ้นแล้วพูดต่อ
“ฉันจะยินดีต้อนรับถ้าคุณแปลงโฉมเป็นมักเกิ้ล!”
ลูเมี่ยนเดินดุ่มเข้าไปในห้องโดยไม่แยแส เหลียวซ้ายแลขวาแล้วพูด
“ผมมีธุระกับคุณ”
“คราวนี้อะไรอีก” ฟรังก้ารู้สึกลางไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก “คุณรอเข้าร่วมชุมนุมอย่างสงบๆ ไม่ได้หรือไง? คงเป็นสักวันในสัปดาห์หน้านี่แหละ”
ลูเมี่ยนยิ้ม
“อยากไปชาโยไหม? ร้านกาแฟเรือนแดงนั่นน่ะ”
“ร้านกาแฟเรือนแดงที่มักจะจัดงานเลี้ยงรื่นเริงสำหรับสตรีน่ะหรือ” ฟรังก้าทวนคำถามด้วยความประหลาดใจ
เฮ้ยๆ นึกออกทันทีเลยหรือ ปกติคงพูดถึงอยู่บ่อยๆ สินะ? ลูเมี่ยนตอบพลางยิ้ม
“ใช่”
ฟรังก้าส่ายหัว
“ไม่เอาดีกว่า แค่คิดก็พอ ไม่จำเป็นต้องทำจริงหรอก แบบนั้นมันเสื่อมทรามล้ำเส้นเกินไป ฉันต้องควบคุมตัวเองบ้าง มิใช่หมกมุ่นอยู่กับความใคร่ ปล่อยตัวปล่อยใจโดยไม่ยับยั้ง”
พูดถึงตรงนี้ หญิงสาวมองลูเมี่ยนพลางกล่าวเสียงตำหนิ
“อย่าบอกนะว่าคุณจะอาศัย ‘คำลวง’ กับพลังแปลงร่างลวงตานั่น ปลอมตัวเป็นผู้หญิง แอบเข้าไปในงานเลี้ยงเพื่อสัมผัสประสบการณ์?”
ลูเมี่ยนถากถางกลับไป
“คุณคิดเรื่องพรรค์นี้ได้ เพราะเคยอยากลองทำเองใช่ไหม?”
“ผมกำลังจริงจังอยู่นะ!”
หลังจากเด็กหนุ่มเล่าถึงความล้มเหลวของโรงเรียนกุหลาบ รวมถึงข้อกังวลของตัวเอง เขาพูดปิดท้าย
“คนของ ‘สมาคมเสียวซ่าน’ เคยบอกว่า พวกมันติดต่อกับสมาชิกของ ‘สมาคมบัดเดี๋ยวนี้’ และ ‘สมาคมดารารัตน์’ อยู่เป็นประจำ ซึ่งก็คือผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงของเหล่าสตรีในเรือนแดง โดยพวกมันหวังให้พวกเธอกลายเป็นสาวกของ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’”
“หากเราสืบจากเส้นทางนี้ บางทีอาจสาวไปถึงสมาชิกหลักของสมาคมเสียวซ่านที่กบดานอยู่ อย่างน้อยๆ ก็ต้องกำจัดไมป์·ไมเออร์ให้ได้ รวมถึงอีกสองสามคนที่ล่วงรู้แผนการของซูซานน่า·มาติสคร่าวๆ”
“ยิ่งไปกว่านั้น เราต้องจัดการเรื่องนี้กันเอง ไม่สามารถส่งต่อให้ผู้วิเศษทางการจัดการแทน เพราะทันทีที่พวกเขาสืบจน ‘ได้เรื่อง’ ตัวจริงของคุณก็จะถูกเปิดโปงเช่นกัน” ฟรังก้าพยักหน้าเบาๆ
เธอกล่าวต่อทันทีด้วยใบหน้าขึงขังเคร่งขรึม
“ในเมื่อเป็นเรื่องจริงจัง ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไป”
พูดจบ เธอถามด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า ประกายแววตาดูเปล่งปลั่ง
“จะไปกันเมื่อไร? คุณรู้เวลางานเลี้ยงกับเงื่อนไขที่จะถูกเชิญไหม?”
“นั่นคือจุดประสงค์หลักของวันนี้ คุณไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านเรือนแดงสักชั่วโมงสองชั่วโมง หว่านเสน่ห์ของสตรีพอเป็นพิธี ดูว่าจะมีเพศเดียวกันมาชวนคุยไหม หรือไม่ก็สังเกตลูกค้าในร้าน หาผู้หญิงที่คาดว่ามีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยง แล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปทักทาย สานสัมพันธ์ วางรากฐานในการสร้างความเข้าใจเพิ่มเติม” แม้ลูเมี่ยนจะร้อนใจ แต่ก็ทราบดีว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีหลักสูตรเร่งรัด ทุกอย่างต้องเป็นขั้นเป็นตอน
ฟรังก้าผงกศีรษะหนักแน่น
“ไม่มีปัญหา”
ลูเมี่ยนหยิบ ‘คำลวง’ ที่เป็นสร้อยคอสีเงินขาว ส่งให้ฟรังก้าพร้อมกับกล่าว
“คุณใช้มันเปลี่ยนสีผมสีตาหน่อย แก้ไขใบหน้าพอประมาณ หรือก็คือ ห้ามไปด้วยรูปลักษณ์จริงเด็ดขาด เพราะถ้าไมป์·ไมเออร์ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด มันจะจำได้ทันทีว่าคุณคือเจ้าของโรงละครกรงพิราบเก่าคนปัจจุบัน!”
ทันทีที่สวมคำลวง ฟรังก้าพูดอย่างร้อนใจ
“เรารีบไปกันเถอะ!”
ลูเมี่ยนยิ้มมุมปาก
“ลืมบอกไปว่า ผลข้างเคียงเชิงลบของสมบัติวิเศษชิ้นนี้คือ มันจะขยายอารมณ์ของผู้สวม”
“เอ่อ…” ฟรังก้าชะงักไปครู่หนึ่ง “ถึงว่าอยู่ดีๆ ฉันก็ใจร้อนขึ้นมาทันที!”
ลูเมี่ยนเสริมยิ้มๆ
“อารมณ์ที่ไม่มีอยู่แต่แรก จะไม่ถูกขยายหรอกนะ”
“…” ฟรังก้าพูดพลางกัดฟัน “อารมณ์ที่อยากจะซัดหน้าคุณสักหมัดก็ถูกขยายด้วยเหมือนกัน”
ลูเมี่ยนเลิกเยาะหยัน เริ่มอธิบายการใช้งาน รวมถึงข้อควรระวังของคำลวงอย่างจริงจัง
ฟรังก้าเดินไปยืนหน้ากระจกเงาเต็มตัว มองตัวเองในกระจกที่สีผมเปลี่ยนเป็นดำขลับ นัยน์ตากลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ผิวพรรณละเอียดลออกว่าเดิม เค้าโครงหน้าดูอ่อนโยนกว่าเดิม
เทียบกับความงดงามอันเร่าร้อนแบบเก่า ตอนนี้เธอดูสุขุมสงบนิ่ง ใบหน้าละเมียดละไม แฝงเสน่ห์ลึกลับที่ยากจะบรรยาย
ฟรังก้าจ้องภาพสะท้อนบนกระจกโดยไม่พูดไม่จาอยู่นาน
“ไม่ค่อยเหมือนหน้าจริง แต่สวยและมีเสน่ห์พอควร” ลูเมี่ยนวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา
ใจจริงเขาอยากพูดว่า ‘มีเสน่ห์แบบนางมาร’ แต่ก็เลือกที่จะไม่กระตุ้นฟรังก้า
ฟรังก้าสะดุ้งเฮือก เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนไปใส่รองเท้าบูตที่ไม่ใช่สีแดง แล้วบรรจงย่างกรายไปหน้าประตู
จนกระทั่งออกไปยังทางเดินแล้ว ฟรังก้าเพิ่งจะฉุกคิดบางอย่างได้ รีบหันไปมองลูเมี่ยนด้านข้าง
“คุณเอาคำลวงมาให้ฉันใช้ แล้วตัวเองจะปลอมเป็นผู้หญิงยังไง พลังแปลงโฉมลวงตานั่น?”
“ใครบอกว่าผมจะปลอมเป็นผู้หญิง?” ลูเมี่ยนย้อนถามด้วยใบหน้ายียวน
เขาพาฟรังก้ามายังบ้านลับหลังใหม่บนถนนไนติงเกล หยิบหนังสุนัขสีน้ำตาลอ่อนที่ปลุกเสกแล้วออกมา ห่อหุ้มตัวเองไว้
จากนั้นก็สวดคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิสเบาๆ
“สุนัข!”
หนังสุนัขปลุกเสกพลันส่องแสงสลัว ปกคลุมลูเมี่ยนอย่างท่วมท้น
เพียงพริบตา ในห้องก็มี ‘หมายักษ์’ ขนสีน้ำตาลอ่อนเพิ่มเข้ามา
ฟรังก้าผมดำตาสีน้ำตาลมองด้วยความทึ่ง
ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่า ลูเมี่ยนจะสังเกตการณ์ร้านกาแฟเรือนแดงด้วยวิธีใด!
สักพักหนึ่ง ฟรังก้าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อยู่ในร่างหมายักษ์แล้วรู้สึกยังไงบ้าง”
“ไม่มีการต่อต้านทางใจบ้างเลยหรือ?”
หมาใหญ่ขนสีน้ำตาลอ่อนชำเลืองมองฟรังก้า แล้วอ้าปากส่งเสียง:
“โฮ่ง!”
นี่เธอโง่หรือไง คิดว่าหมาจะพูดได้ ตอบคำถามได้หรือไง?
ฟรังก้า ‘ชิ’ หนึ่งคำ แล้วพาลูเมี่ยนในร่างหมาใหญ่ขนสีน้ำตาลอ่อน เช่ารถม้านั่งไปยังเมืองชาโยที่อยู่ทางตะวันตกของท่าเรือลาวีน
ระหว่างทาง ลูเมี่ยนอยากจะกัดนังนี่สักหลายคำ เพราะเธอมักจะเกิดความอยากรู้อยากเห็นเป็นระยะ คอยลูบขน ท้อง หรือหัวของหมาใหญ่ เพื่อหาจุดแตกต่างจากสุนัขปกติ
ผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วโมง รถม้าสี่ล้อสองที่นั่งก็จอดด้านนอกเมืองชาโย
ขณะฟรังก้าจ่ายค่ารถสองเฟลคิน ลูเมี่ยนถือโอกาสกระโดดลง ทำทีเป็นหมาแปลกหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เดินหาร้านกาแฟเรือนแดงตามถนนที่มีกลิ่นองุ่นหมักลอยคลุ้ง
ในไม่ช้า เขาก็มาถึงตึกที่อยู่ใกล้ๆ ป่าโลเนส์บูรพา
ตัวอาคารไม่ได้แดงทั้งหลัง มีเพียงหลังคาที่แดงสดใสคล้ายหมวกเห็ด โทนหลักเป็นสีขาวครีม บนผนังเต็มไปด้วยภาพขีดเขียนสีสันฉูดฉาด
ลูเมี่ยนหาที่นอนหมอบใกล้กับประตูใหญ่ของร้านกาแฟเรือนแดง เงียบมองฟรังก้าในร่างสาวผมดำเดินเข้าไป
……………………………………………………..