ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 360 สุขภาพจิตสุขภาพใจ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 360 สุขภาพจิตสุขภาพใจ
ตอนที่ 360 สุขภาพจิตสุขภาพใจ
ชายวัยกลางคนมองหน้าลูเมี่ยนด้วยสายตาหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าตนไปทำให้อีกฝ่ายโกรธตรงไหน
เขาไม่ใช่เหยื่อของการหลอก ไม่ได้เป็นสมาชิกแก๊งเจ้าถิ่น ไม่ได้เป็นญาติสนิทมิตรสหายของคนพวกนี้ แล้วเหตุใดถึงเดินเข้ามาทำร้ายกันโต้งๆ?
แถมยังไม่เปิดโอกาสให้อธิบายเลย พูดแค่ประโยคเดียวก็จะเอาชีวิตกันแล้ว!
จ้องมองปืนลูกโม่ได้สักพัก ชายวัยกลางคนก็หันข้างไปมองผู้ช่วยจำนวนหนึ่งในร่มเงา พบว่าทางนั้นก็ไม่กล้าผลีผลามเข้ามาช่วยตน หัวใจจึงหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
เขาไม่กล้าข่มขู่หรือต่อต้านลูเมี่ยนอีกแล้ว ทำได้เพียงเปล่งเสียงอย่างสั่นเทา
“ผ…ผมนับไม่ได้ ไม่ได้พกเงินมามากขนาดนั้น”
“ผิดหวังจัง พอดีผมกำลังขาดเงินอยู่หนึ่งแสนเฟลคิน” ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ พลางทำท่าเสียดาย “ใครสอนมายากลนับเงินให้คุณ? แล้วใครเป็นต้นคิดเรื่องเทพแห่งโรค?”
ชายวัยกลางคนกลืนน้ำลาย เงียบไม่ตอบ
ลูเมี่ยนเปิดลูกโม่ปืนอย่างไม่รีบร้อน อวดกระสุนสีเหลืองอำพันให้อีกฝ่ายดู
จากนั้นก็ปิดโม่ แล้วจ่อปากกระบอกปืนใส่หน้าผากของชายวัยกลางคน
“สาม สอง…” ลูเมี่ยนนับทีละเลข นิ้วบนไกปืนก็ค่อยๆ กดลงไปทีละนิด
แววตาของชายวัยกลางคนดูตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างยิ่ง
หากเป็นคนอื่น เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้ายิงตนกลางถนน แต่บุคคลตรงหน้าเพิ่งจะซ้อมตนปางตายอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีหลักประกันว่าอีกฝ่ายจะไม่บ้าบิ่นยิ่งกว่าเดิม ลั่นไกออกมาส่งเดช
ก่อนที่ลูเมี่ยนจะนับเลขสุดท้าย ชายวัยกลางคนก็แหกปากด้วยความกลัว
“ท่าน ‘ทูต’ !”
“ทูต?” ลูเมี่ยนยกคิ้วเล็กน้อย
หลังจากกำแพงทางใจพังทลายลงแล้ว ชายวัยกลางคนก็เลิกหวังพึ่งดวง รีบเล่ารวดเดียวในหนึ่งลมหายใจ
“ทูตของเทพแห่งโรค!”
“เขามาหาผม สอนมายากลเล็กๆ น้อยๆ ให้ แล้วเล่าเรื่องของเทพแห่งโรคให้ฟัง บอกให้ผมช่วยเขาหาสาวก มีรายได้เท่าไรก็แบ่งกันคนละครึ่ง”
เป็นพวกสาวกเทพมาร หรือเป็นนักต้มตุ๋นที่เอาชื่อเทพมาอ้าง หรือทั้งสอง? ลูเมี่ยนยกปืนลูกโม่ออกจากหน้าผากชายวัยกลางคน ใช้มันตบแก้มอีกฝ่ายฝั่งที่ยังไม่บอบช้ำเบาๆ แล้วพูดยิ้มๆ
“คุยกันดีๆ แต่แรกก็จบแล้ว”
ปัง!
กระสุนนัดหนึ่งพุ่งออกจากปากกระบอกปืน ฝังเข้าไปในต้นไม้ที่ถูกโค่นทิ้ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปบนถนน
ลูเมี่ยนอุทาน ‘โอ๊ะ’
“ขอโทษที ปืนลั่นน่ะ ไม่ตกใจนะ?”
หัวใจของชายวัยกลางคนเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับมีของเหลวไหลช้าๆ ไปตามร่างกายท่อนล่าง
ลูเมี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ใหม่
“ทูตของเทพแห่งโรคชื่ออะไร อยู่ที่ไหน หน้าตาเป็นอย่างไร? ช่วงนี้ผมเงินขาดมือพอดี อยากแวะไปเยี่ยมดูสักหน่อย”
ขณะเดียวกัน ลูเมี่ยนรำพันในใจ
ตอนแกล้งเล่นๆ เมื่อกี้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแฮะ… ไม่ใช่ผู้รับพรจริงๆ สินะ…
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าอย่างร้อนรน
“ผ…ผมไม่รู้”
พอเห็นลูเมี่ยนยกปืนลูกโม่อีกครั้ง เขาก็รีบเสริมอย่างลนลาน
“ผมรู้แค่ว่าเขาสูงผอม ผิวขาวมาก ยังกับเคยป่วยหนักมา นัยน์ตาสีเทาน้ำเงิน ผมสีดำไม่ยาว ม…เหมือนกับ… เหมือนกับพวกเลขาของเถ้าแก่รวยๆ น่ะ”
“เขาจะมาหาผมสัปดาห์ละครั้ง แต่ผมไม่มีวิธีไปหาเขา”
อีกฝั่งหนึ่ง จินนาที่กำลังรวมกลุ่มกับพวกนางมอร์กานา เหล่มาทางลูเมี่ยนครู่หนึ่ง สงสัยว่าพวกพ้อง ‘นักล่า’ รายนี้พบอะไร แล้วกำลังทำอะไร
แต่ตอนนี้เธอยังแยกตัวออกมาถามไม่ได้
หลังจาก ‘กระตุ้น’ คนในละแวกนี้จำนวนหนึ่ง ซึ่งรอเงินชดเชยมาหลายปีแล้ว ยิ่งพูดคุยกันโทสะยิ่งคุกรุ่น บางคนถึงกับอาสาไปตามเหยื่อคนอื่นมาเพิ่ม หรือไม่ก็ครอบครัวของเหยื่อ พลางเร่งเร้าให้จินนาพาไปล้อมเอ็ดมุนด์ ผู้เป็นเจ้าของโรงงาน
ภายใต้ความเดือดดาลของกลุ่ม จินนาไม่มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มเติมแล้ว เนื่องจากมีคนช่วยทำแทนอีกเพียบ
ขณะกำลังถูกรบเร้าให้พาตัวไปที่บ้านของตาเฒ่าเอ็ดมุนด์ จินนาก็พลันกระจ่าง
หากต้องการกระตุ้นคน ก็ต้องพูดกับอีกฝ่าย แต่หากต้องการกระตุ้นกลุ่ม ไม่มีความจำเป็นต้องคุยกับทุกคน ขอเพียงเข้าใจสถานการณ์ กระตุ้นสองสามคนแรกให้ดี แล้วคอยรักษาทิศทางลมไว้ คนที่ถูกกระตุ้นก็จะกลายเป็นผู้ช่วยของ ‘นักกระตุ้น’ คอยกระตุ้นกันเป็นทอดๆ ประหนึ่งลูกบอลหิมะที่ยิ่งกลิ้งลงเขาก็ยิ่งลูกใหญ่
ลูเมี่ยนยังไม่ได้ตามจินนาไปบ้านตาเฒ่าเอ็ดมุนด์ แต่อยู่สอบปากคำชายวัยกลางคนอีกเล็กน้อย หลังจากยืนยันว่าเค้นข้อมูลเพิ่มไม่ได้แล้ว เด็กหนุ่มยืนตัวตรง กล่าวกับกลุ่มสตรีที่เพิ่งถูกหลอก ซึ่งปัจจุบันคอยสังเกตการณ์
“ก็อย่างที่พวกคุณได้ยิน เขาต้องการหลอกเอาเงินพวกคุณ แค่ปล่อยไปเฉยๆ จะดีหรือ?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้าใกล้ชายวัยกลางคน ลูเมี่ยนแอบใช้ ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ แปลงโฉมไปจากเดิมเล็กน้อย ป้องกันการนำไปเชื่อมโยงกับลูเมี่ยน·ลีบนใบประกาศจับ
สตรีคนหนึ่งในกลุ่มความจริงแล้วเป็นผู้ช่วยของชายวัยกลางคน มีหน้าที่คอยเป็นหน้าม้าในการเทศนาหรือต้มตุ๋น แต่พอเกิดเรื่องเมื่อครู่ เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำได้เพียงหันไปมองคนข้างๆ
บางคนในหมู่สตรีโมโหมาก อยากส่งนักต้มตุ๋นรายนี้ไปให้กองบัญชาการตำรวจทันที แต่บางคนก็หวาดกลัว เชื่อว่านักต้มตุ๋นคงยังมีผู้ช่วยอยู่อีก แล้วตนจะถูกแก้แค้นในภายหลัง
ลูเมี่ยนเงียบฟังพวกเธอแสดงความเห็น พลางกวาดตามองฝูงชนใกล้ๆ อย่างไม่จริงจัง
ในนั้นมีผู้ชายสามคน กำลังจะแอบหนีออกไปเงียบๆ
พวกเขาคือผู้ช่วยของนักต้มตุ๋น รับหน้าที่ใช้ความรุนแรงเมื่อจำเป็น
โดยปราศจากความลังเล ลูเมี่ยนยกปืนลูกโม่ขึ้นมาแล้วลั่นไกสามนัดรวดดังปังๆๆ
ผู้ช่วยของนักต้มตุ๋นทั้งสามร้องโหยหวนพลางล้มลง ทุกคนถูกยิงใส่ข้อพับขาหรือน่อง จนเลือดไหลนองเป็นทาง
“ทีนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกแก้แค้นแล้ว” ลูเมี่ยนยิ้มขณะพูดกับกลุ่มสตรี
กลุ่มเหยื่อของนักต้มตุ๋นที่กำลังแบ่งปันความคิดเห็น อึ้งจนหมดคำพูดไปชั่วขณะ ราวกับกลายเป็นรูปปั้นไป ทางด้านฝูงชนที่ยืนมุงก็เช่นกัน
ไม่กี่วินาทีถัดมา พวกเธอตอบอย่างตะกุกตะกัก
“แล้วแต่คุณเลยค่ะ…”
ลูเมี่ยนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ชี้ไปทางนักต้มตุ๋นที่ตัวสั่นงันงก รวมถึงพวกลิ่วล้อที่บาดเจ็บ
“พาพวกเขาไปที่… เอ่อ… วิหารไอน้ำที่ใกล้ที่สุด”
…………
บ้านเลขที่ 5 ถนนใหญ่เซลบ์ จุดเชื่อมระหว่างเขตหอดูดาวกับเขตสวนพฤกษชาติ
กลุ่มชายหญิงแต่งกายด้วยชุดโทรมๆ กำลังออกันอยู่หน้าอาคารสามชั้นสีเบจ
บอดี้การ์ดสองคนตรงทางเข้า กวาดตามองกลุ่มคนเกือบร้อยชีวิตที่กำลังเกรี้ยวกราด พลางชักปืนกึ่งอัตโนมัติที่มีใบอนุญาตพกพาออกมา พร้อมกับตะโกนเสียงขรึม
“หยุด!”
เมื่อเห็นปืนพก พวกนางมอร์กานาที่กำลังวิ่งกรูอยู่ด้านหน้าต่างก็ชะลอฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว
มันยังคงน่าครั่นคร้ามเสมอ
จินนาเห็นดังนั้นจึงวิ่งไปอยู่ด้านหน้าสุด เพื่อเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดทั้งสอง:
“พวกเรามาขอเงินชดเชย ศาลตัดสินแล้ว!”
“ไอ้พวกลูกอีตัว ถ้าแน่จริงก็ยิงมาที่ฉันนี่!”
“กระสุนขี้หมาของแกจะพอหรือ จะฆ่าพวกเราได้หมดหรือ? ถ้าไม่ได้ พวกเราแค่หัวละคำก็กัดพวกแกตายได้แล้ว!”
พูดไปเธอก็ย่างสามขุมเข้าหาประตูใหญ่อย่างเอาเรื่อง
มือของพวกเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทัศนวิสัยถูกบดบังจนแทบไม่เห็นอะไรนอกจากหัวคน ถึงกับนับไม่ถูกว่ามีเจ้าหนี้มากี่คนกันแน่
พวกเขาไม่มั่นใจว่าการยิงใส่ฝูงชนจะส่งผลอย่างไร รู้สึกเพียงว่าพวกตนสองคนเมื่อเทียบกับกองทัพเจ้าหนี้ที่ดำทะมึนเป็นผืนเดียวกัน ช่างดูบอบบางและโดดเดี่ยวเหลือเกิน เหมือนขอนไม้ที่เผชิญกับน้ำหลาก
จินนายังคงพูดต่อพร้อมกับใช้ ‘กระตุ้น’
“ถ้าพวกเราฆ่าแกตาย หรือทำให้พิการ คิดหรือว่าจะได้เงินชดเชย?”
“ดูพวกเราเสียก่อน เงินชดเชยของเราค้างเติ่งมาหลายปีแล้ว พวกแกแน่ใจหรือว่าจะทวงเงินค่าชดเชยจากไอ้เฒ่าขี้ตืดนั่นได้? ครอบครัวของมันอาจหนีไปพรุ่งนี้แล้วด้วยซ้ำ!”
สองบอดี้การ์ดชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยิน
ฟังดูเป็นปัญหาจริงๆ นั่นแหละ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทราบดีว่าเจ้านายได้ขายทรัพย์สินไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้กำลังทยอยเก็บกระเป๋าอยู่ อีกสองวันก็จะออกจากทรีอาร์ ไปหลบอยู่ต่างแคว้นสักพัก… คิดหรือว่าคนแบบนั้นจะพาสองบอดี้การ์ดพิการไปด้วย? อาจถือโอกาสเชิดเงินชดเชยไปพร้อมกันเลยก็ได้
หลักฐานก็อยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง!
ขณะบอดี้การ์ดลังเล จินนาก็มาถึงประตูแล้ว ตามหลังด้วยเจ้าหนี้กลุ่มใหญ่
หนึ่งในบอดี้การ์ดรีบทำตามระเบียบปฏิบัติ ยกมือขวาขึ้นฟ้าแล้วยิงขู่ใส่อากาศ ส่วนอีกคนพยายามยื่นมือออกมาคว้าสาวงามที่ดูเหมือนจะต่อสู้ไม่เป็น
จินนาย่อตัวหลบ คว้าแขนของบอดี้การ์ดคนนั้นไว้แล้วจับทุ่มลงพื้นดังโครมใหญ่ ทำให้ปืนกระเด็นหลุดจากมือ
นางมอร์กานาที่เพิ่งหายตกใจจากเสียงปืนนัดก่อนหน้า รีบก้มเก็บปืนกึ่งอัตโนมัติกระบอกดังกล่าวขึ้นมา แม้จะไม่รู้วิธีใช้ แต่ความฮึกเหิมก็เพิ่มขึ้นฮวบฮาบ จึงวิ่งเข้าหาประตูพร้อมกับสบถด่า
บอดี้การ์ดอีกคนสองจิตลังเลชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็เลือกไม่ยิงใส่ฝูงชน ปล่อยให้ทุกคนกรูเข้าไปในบ้าน
เฒ่าเอ็ดมุนด์กับครอบครัวที่เตรียมย้ายหนี ถูกจินนากับลูกหนี้อีกเกือบร้อยล้อมไว้ในห้องนั่งเล่น เกาะกลุ่มยืนเบียดเสียดกันเป็นวงใหญ่
เฒ่าเอ็ดมุนด์ ในมือถือลูกโม่ รีบตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือ
“พวกคุณต้องการอะไร?”
“มาทวงเงินของพวกเรา!” จินนาคว้าปืนมาจากนางมอร์กานาแล้วเล็งใส่เอ็ดมุนด์ “ถ้าไม่มีเงินชดเชย พวกเราก็อยู่ไม่ได้แล้ว วันนี้มาดูกันว่าใครจะตายก่อน!”
…………
ด้านนอกวิหารไอน้ำที่ดูคล้ายโรงงานเล็กๆ
ลูเมี่ยนกล่าวกับกลุ่มสตรีที่กำลังลากตัวพวกนักต้มตุ๋น
“พาพวกเขาไปหานักบวช บอกให้พวกเขาเล่าเรื่องมายากลเสกเงินกับเทพแห่งโรค ถ้าไม่ยอมเล่า พวกคุณก็เล่าแทนไปเลย”
สตรีเหล่านั้นพยักหน้าหงึกหงัก แล้วถือขนมปังไรย์บาแก็ตเดินเข้าไปในวิหารพร้อมกับลากพวกแก๊งต้มตุ๋น ตลอดทางมีเลือดหยดเป็นสาย
ลูเมี่ยนเก็บลูกโม่ มองดูอย่างเงียบงันจากประตู
เขาคิดอย่างอารมณ์ดี
“มาดามเมจิกเชี่ยนแนะนำได้ถูกต้องจริงๆ การได้ระบายอารมณ์ช่างดีต่อสุขภาพจิตสุขภาพใจ”
“เชื่ออะไรไม่เชื่อ ดันไปเชื่อเทพมาร แถมยังเป็นนักต้มตุ๋นอีก!”
สองนาทีผ่านไป ลูเมี่ยนจากไปอย่างไม่รีบร้อน แต่ที่ช้ายิ่งกว่าคือพวกตำรวจที่ตามมาตลอดทาง
…………
ลูเมี่ยนพบจินนากับเหล่าเจ้าหนี้ที่ยิ้มแย้มอยู่ด้านนอกบ้านเลขที่ 5 ถนนใหญ่เซลบ์
“ไวจัง?” เด็กหนุ่มถามอย่างประหลาดใจเล็กๆ
จินนาขมวดปาก
“ฉันก็ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้เหมือนกัน ถึงกับเตรียมใจรับมือกับตำรวจถ้ามีคนแจ้งความ แต่พอเราได้ล้อมเอ็ดมุนด์กับครอบครัว ขู่ไปสองสามคำ เขาก็เริ่มจ่ายค่าชดเชยเรียงตามรายชื่อทันที”
“บัดซบ! เงินสด ทองคำ และของมีค่าอื่นๆ ในบ้านรวมกันก็พอจ่ายค่าชดเชยได้แล้ว แถมยังเหลือด้วยซ้ำ นี่ยังไม่นับทรัพย์สินที่ขายไปก่อนแล้วอีกนะ ไม่อยากเชื่อว่าจะยื้อมานานขนาดนี้!”
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“การจ่ายเงินมักเจ็บปวดเสมอ… อา… บางเรื่องดูซับซ้อน แต่พอลงมือทำจริงกลับพบว่าง่าย แต่บางเรื่องที่คิดว่าง่าย กลับเจออุปสรรคไม่จบสิ้น จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
นี่คือความรู้สึกของเขา
จินนาทราบดีว่าลูเมี่ยนต้องการทองคำ ซึ่งค่าชดเชยล้วนเป็นทองคำรูปพรรณ ถ้าตีเป็นทองคำบริสุทธิ์จะได้สามพันเฟลคิน
เธอพูดกับลูเมี่ยน
“เอ้า ฉันขายให้”
ลูเมี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ
“รอผมกลับไปเอาเงินที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยก่อน”
เงินสดกับเหรียญเงินที่เขาพกติดตัวรวมกันได้ราวๆ หกร้อยกว่าเฟลคินเท่านั้น
พอตกเย็น ลูเมี่ยนพบว่าตนว่างจนไม่มีอะไรทำไปอีกสักพัก
เด็กหนุ่มเดินกลับโรงแรมระกาทองอย่างอารมณ์ดี เดินลงบาร์ใต้ดิน เห็นชาร์ลีกำลังถือแก้วเบียร์พลางคุยโม้กับผู้คน
ลูเมี่ยนยิ้มพลางตะโกนเสียงดัง
“ผมจะเลี้ยงทุกคนหนึ่งแก้ว!”
เมื่อผู้คนกว่ายี่สิบสามสิบชีวิตส่งเสียงเฮพร้อมกัน ลูเมี่ยนเสริม
“ชาร์ลีจ่าย!”
ชาร์ลีหน้าเจื่อนไปทันที
ลูเมี่ยนหัวเราะ ‘ฮะๆ’ แล้วตะโกนเสียงดังอีกครั้ง
“ถ้าเขายอมระบำเปลื้องผ้า ผมจะจ่ายแทนเอง!”
……………………………………………………..