ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 348 ใต้ดินอันคึกคัก
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 348 ใต้ดินอันคึกคัก
ตอนที่ 348 ใต้ดินอันคึกคัก
แสงสีเหลืองปนน้ำเงินเล็กๆ จากโคมไฟคาร์ไบด์ ส่องสว่างทางเดินที่ถูกแบ่งด้วยเสาหินต้นแล้วต้นเล่า
ลูเมี่ยนเดินอย่างเชื่องช้า สะพายกระเป๋าผ้าใบสีดำที่เป็นกระแสในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัยในช่วงสองสามปีหลัง ภายในนั้นมีถุงมือ ‘ทุบตี’ กับเทียนไขสีขาวจำนวนมาก
จากการทดลองหลายครั้งของเขา การใส่ของเหล่านี้ในกระเป๋าสะพายหลัง จะส่งผลข้างเคียงด้านลบน้อยกว่าการใส่ในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกง ถึงจะมิได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร
อ้างอิงจากเส้นทางในแผนที่ของการ์ดเนอร์·มาร์ติน เมื่อเข้าใกล้ใต้ดินเขตหอดูดาว ลูเมี่ยนพลันเอียงหู ฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากทางแยกด้านข้าง
เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังแผ่วเบาอย่างไร้ระเบียบ
ลูเมี่ยนมองเส้นทางข้างหน้าสลับกับฝั่งขวา ไม่แน่ใจว่าเจ้าของเสียงฝีเท้าเหล่านั้นจะเลือกไปต่อในเส้นทางใด เด็กหนุ่มจึงรีบปีนขึ้นเสาหินที่ค้ำยันเพดานอุโมงค์ ดับโคมไฟคาร์ไบด์ แล้วซ่อนตัวในความมืด
ไม่นานนัก กลุ่มผู้ชายก็เดินเข้ามาใกล้
ส่วนใหญ่สวมแจ็กเกตขาดๆ หรือไม่ก็เปลือยท่อนบน ต่างก้มหลังแบกกล่องไม้หนักๆ โดยมีชายฉกรรจ์แต่งตัวดีสักสิบกว่าคน เดินทำหน้าดุดัน ถือปืนต่างชนิดกัน ถือโคมไฟคาร์ไบด์คนละดวง กระจายอยู่ทั่วด้านหน้า กลาง และหลังของขบวน
พวกลักลอบขนของเถื่อน… ลูเมี่ยนชะโงกหน้าเล็กน้อย อาศัยแสงจากโคมไฟของอีกฝ่ายสังเกตกล่องไม้แต่ละใบ ดูเหมือนจะมีแสงโลหะแวววาวลอดออกมา
อาวุธ หรืออย่างอื่น? เด็กหนุ่มพึมพำไร้เสียง มองตามกลุ่มลักลอบขนของเถื่อนเดินเข้าไปในอุโมงค์ด้านขวา
ระหว่างทาง สงสัยเงารอบตัวจะขยับเหมือนคนเกินไป หนึ่งในกลุ่มลักลอบขนของเถื่อนจึงยกปืนขึ้น เล็งไปทางเงาแล้วลั่นไก
เสียงปืนดังกึกก้อง ถือเป็นอันขจัดข้อสงสัย ทั้งขบวนก็เดินหน้าต่อไป
ลูเมี่ยนมองตามแล้วส่ายหน้า รู้สึกว่าคนพวกนี้กดดันเกินไป ตอบสนองสุดโต่งเกินไปสักหน่อย
ถ้าทำตัวแบบนี้ใต้ดินทรีอาร์ สักวันคงได้เจอดีแน่นอน!
ต้องไม่ลืมว่า หากไม่นับนักศึกษาที่ลงมาเดินเล่น กับชาวเมืองหลวงที่ลงมาหาจุดปลูกเห็ดเพื่อประกอบอาชีพเสริม ส่วนใหญ่ของคนที่เลือกใช้เส้นทางใต้ดิน ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา มีโอกาสเจอผู้วิเศษสูงกว่าบนดินมาก หากเห็นเงาไหวๆ แล้วยิงใส่ส่งเดชแบบนี้ สักวันคงเผลอเหยียบตาปลาองค์กรลับ หรือผู้รับพรจากเทพมาร หรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล หรือนักผจญถ้ำที่เก่งกาจไม่เบา
คิดมาถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนชักปืนลูกโม่ออกมา เล็งใส่กลุ่มลักลอบที่กำลังจะหายลับไปในปลายอุโมงค์ฝั่งขวา แล้วเหนี่ยวไก
เด็กหนุ่มมิได้เล็งใครเป็นพิเศษ เพียงแค่ยิงไปในอากาศงั้นๆ
ปัง! กลุ่มที่ถืออาวุธพลันหันหลังขวับ หรือไม่ก็กลิ้งไปด้านข้าง พลางระดมยิงกลับมายังทางแยก
แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับลูเมี่ยน ผู้หลบอยู่สูงจนเกือบจะแตะเพดานหินอยู่แล้ว
หลังจากกลุ่มลักลอบยิงใส่อากาศสักพัก พวกเขาก็เปลี่ยนตำแหน่งด้วยความหวาดระแวง สงสัย และตื่นตระหนก
ลูเมี่ยนมองตามหลังไป แล้วยิ้มออกมา
ไม่ต้องขอบคุณกันหรอก บทเรียนนี้ไม่คิดเงิน!
เด็กหนุ่มกระโดดลงพื้นทันที แล้วจุดโคมไฟคาร์ไบด์อีกครั้ง
ลูเมี่ยนสูดดมกลิ่นดินปืนที่ยังหลงเหลืออยู่ในอากาศ ยิ้มพลางเสียบปืนลูกโม่กลับเข้าตำแหน่ง แล้วเดินต่อไปตามเส้นทางที่วางไว้
เพียงสองสามนาทีต่อมา เขาก็เจอกับตำรวจเหมืองหินสวมเครื่องแบบสีเข้มสองสามนาย ทุกนายถือปืนกึ่งอัตโนมัติ
เมื่อเห็นใบหน้าวัยละอ่อนของลูเมี่ยน ผู้สะพายกระเป๋าเฉียง สวมเสื้อเชิ้ตกับเสื้อกั๊ก นายตำรวจที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็สบถเสียงเบา
“ไอ้แม่เย็*! ทำไมถึงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอีกแล้ว!”
ด่าเสร็จก็ถ่มน้ำลาย แล้วถามตะคอกเสียงดัง
“เมื่อกี้แกได้ยินเสียงอะไรผิดปกติบ้างไหม!”
“ดูเหมือนจะมีการยิงกันตรงนั้นนะครับ เสียงดังปังๆๆ เลย ผมอยากไปดูแต่ก็ไม่กล้า” ลูเมี่ยนไม่ช่วยเก็บความลับให้กลุ่มลักลอบแม้แต่น้อย
พวกตำรวจเหมืองหินมองหน้ากัน แล้วรีบเดินผ่านลูเมี่ยนไป วิ่งตรงไปยังทางแยกนั่น
…………
ในห้องพูดคุย
เมื่อเห็นโครงกระดูกที่สวมหน้ากากเหล็กสีเทาเดินออกไป ชายในชุดจอมเวทก็หันไปทางฟรังก้ากับจินนา:
“พวกคุณพบอะไรบ้าง? ผมบอกแล้วไงว่าต้องพาตัวคนเฝ้าประตูมา หรือศพของเขาเท่านั้น จึงจะได้รับค่าตอบแทน”
จินนาพูดอย่างใจเย็น
“พวกเราแทบไม่ได้คิดถึงค่าตอบแทนเลย แค่รู้สึกว่าเรื่องราวมันซับซ้อนกว่าที่คุณอธิบายมาก”
“ก่อนหน้านี้ กลางดึกวันหนึ่ง พวกเราแอบเข้าไปในเหมืองหินหุบเขาลึก…”
หลังจากได้ยินคำว่า ‘เหมืองหินหุบเขาลึก’ ชายที่ใบหน้าถูกบดบังด้วยเงาของฮู้ด ยกหน้าขึ้นเล็กน้อย
ภาษากายเล็กๆ นี้ไม่รอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของฟรังก้า
เธอถึงกับไปขอคำแนะนำจากอ็องโตนี·รีดมาโดยเฉพาะ ช่วยให้ทราบว่าในสถานการณ์เช่นนี้ คนปกติจะตอบสนองตามสัญชาตญาณอย่างไรบ้าง
พฤติกรรมเมื่อครู่ของอีกฝ่ายแสดงให้เห็นว่า เขาไวต่อคำว่า ‘เหมืองหินหุบเขาลึก’ มาก!
และถ้าไม่ใช่คนที่รู้ว่าเหมืองนั่นมีปัญหา ก็คงไม่แสดงท่าทีแบบนั้นออกมา
จินนายังคงเล่าต่อไปถึงสิ่งที่ตนกับฟรังก้าค้นพบ รวมถึงนักบวชที่ใส่ตาเทียมกลไก และถ้ำลับที่เต็มไปด้วยแขนขา
ชายในชุดจอมเวทไม่มีปฏิกิริยาเพิ่มเติม แต่สำหรับฟรังก้าแล้ว นี่ยิ่งพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายรู้ถึงปัญหาของเหมืองหินหุบเขาลึกมาก่อน
หลังจากฟังจินนาเล่าจนจบ เขาจงใจพูดโดยดัดเสียงให้แหลม
“ผมไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคนเฝ้าประตูหรือไม่ แต่ถ้าพวกคุณเข้าไปในถ้ำลับนั่นได้ ถ่ายรูปมาสักสองสามใบ หรือนำของสำคัญๆ ติดมือออกมา ผมยินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ครึ่งหนึ่ง บางทีพวกคุณอาจได้เบาะแสของคนเฝ้าประตูด้วย”
แกคิดว่าเราโง่หรือไง? จะให้เอาชีวิตไปเสี่ยงกับเงินแค่หมื่นเฟลคินเนี่ยนะ? ฟรังก้าบ่นในใจ
หากนี่ไม่ใช่ชุมนุมศาสตร์เร้นลับที่เพื่อนของเธอจัดขึ้น ฟรังก้าคงวางแผนสะกดรอยตามผู้ว่าจ้างไป สืบหาตัวจริงของอีกฝ่ายอย่างละเอียด แล้วให้จินนานำข้อมูลไปขายกับผู้ชำระ
…………
“หยุด!
“ข้างหน้าคือจักรวรรดิแห่งความตาย!”
ลูเมี่ยนมาถึงประตูโค้งธรรมชาติที่แกะสลักเป็นรูปกระดูกขาว ดอกทานตะวันต่างๆ รวมถึงสัญลักษณ์ไอน้ำ
เด็กหนุ่มยังไม่ทันหยิบนาฬิกาพกที่ยืมมาจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อยออกมาตรวจดูเวลา ก็เห็นเฮล่าในเสื้อคลุมสีดำลึกลับแบบหม้ายสาว ผมสีบลอนด์อ่อนค่อนข้างแห้ง เดินมาจากอีกฟากหนึ่ง
สตรีรายนี้พยักหน้าแผ่วเบา:
“ในเมื่อคุณมาถึงแล้ว พวกเราเข้าไปก่อนเวลากันเถอะ”
“ได้ครับ” ลูเมี่ยนเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบเทียนไขสีขาวออกมาสองเล่ม
เด็กหนุ่มจุดเทียนพร้อมยื่นหนึ่งเล่มให้เฮล่าพลางพูดยิ้มๆ
“คุณไม่กลัวบ้างหรือว่าผมจะได้ข้อมูลของ ‘บ่อน้ำสตรีซามาเรีย’ มาแบบผิดๆ?”
“ความสำเร็จเกิดจากการสะสมความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า” เฮล่าตอบด้วยเสียงเย็นชา
ลูเมี่ยนหัวเราะทันที
“ผมนึกว่าคุณจะพูดว่า ‘ความล้มเหลวคือมารดาของความสำเร็จ’ เสียอีก”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่สมาคมวิจัย” เฮล่าตอบสั้นๆ
ลูเมี่ยนเลิกคุยเล่น รีบดับโคมไฟคาร์ไบด์ ถือเทียนไขสีขาวที่มีเปลวไฟส้มเหลืองลุกโชน เดินไปยังประตูหินบานใหญ่
ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เงาของใครบางคนโผล่ออกจากความมืดหลังประตู
เงาดังกล่าวสวมเสื้อกั๊กสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีเหลือง ผมขาวแซมหลายจุด ริ้วรอยยังไม่มากนัก ดวงตาสีเหลืองอ่อนพร่ามัวไปบ้างแล้ว เป็นชายชราที่มีอายุอานามพอสมควร
ชายชรามองเทียนไขสีขาวในมือลูเมี่ยนครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถาม
“คุณไม่ใช้ไกด์นำทางหรือ”
คุณ… ไม่ใช่พวกคุณ? ลูเมี่ยนใช้หางตาชำเลืองเฮล่าแล้วพบว่า แสงเทียนรอบๆ ตัวเธอกลายเป็นสีคล้ำไปแล้ว ประหนึ่งถูกความมืดใต้ดินกัดกร่อน หรือไม่ก็ถูกหมอกหนาปกคลุม
ในสภาพดังกล่าว เธอดูเหมือนจะหายไปจากสายตาของผู้ดูแลสุสานที่รับผิดชอบเฝ้าประตู
ลูเมี่ยนส่งยิ้มให้ชายชรา
“ไม่ต้องใช้ไกด์หรอก ผมเคยเที่ยวสุสานหลายครั้งแล้ว เพียงแต่ชอบลงมาทางฝั่งเขตหอรำลึกมากกว่า”
“ไม่ต้องห่วง ผมจำข้อห้ามทั้งหมดได้ จะไม่จงใจละเมิดแน่นอน”
ชายชราพูดอย่างไม่เต็มใจนัก
“พวกนักศึกษามหาวิทยาลัยก็เป็นเสียแบบนี้! จำไว้ให้ดีล่ะ ต้องรีบออกมาก่อนที่เทียนไขจะดับ!”
เขาพูดไปพลางเปิดทางให้ แล้วหันหลังกลับเข้าสู่ความมืดหลังประตู
เมื่อลูเมี่ยนผ่านประตูหินบานใหญ่เข้าไปใน ‘จักรวรรดิแห่งความตาย’ อาศัยความฮึกเหิมที่เกิดจากการมีเฮล่าเป็นเพื่อนร่วมทาง เด็กหนุ่มเอียงหน้าไปทางผู้ดูแลสุสานอาวุโส แล้วถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“ทำไมคุณถึงไม่ต้องถือเทียนไขสีขาวที่จุดไฟล่ะ”
ดวงตาสีเหลืองอ่อนที่เริ่มพร่ามัวของผู้ดูแลสุสานพลันมืดลงทันใด ร่างกายคล้ายกับแผ่ไอความเย็นออกมา
เขาตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ผมอยู่แค่ตรงประตู ไม่ได้เดินลึกเข้าไป”
งั้นหรือ? ลูเมี่ยนที่ก้าวเข้าไปในสุสานใต้ดินแล้ว ฉลาดพอที่จะไม่ถามต่อ ตอนนี้สนใจเพียงบรรยากาศอันหนาวเหน็บที่ระเบิดออกจากก้นบึ้งหัวใจ รวมถึงสายตานับไม่ถ้วนที่จดจ้องจากความมืดรอบตัว
เขาสัมผัสได้ว่า บรรยากาศรอบตัวผู้ดูแลสุสานในตอนนี้ คล้ายคลึงกับออร่าของเฮล่าอยู่หลายส่วน
ลูเมี่ยนเดินท่ามกลางอากาศที่ปนเปื้อนกลิ่นเน่าเสียเจือจาง โดยมีศพกับโครงกระดูกที่วางเรียงตามผนังหรือข้างทางคอยจ้องมองมา พลางเดินผ่าน ‘ห้องสวดมนต์’ ‘ห้องอนุสรณ์’ รวมถึงห้องอื่นๆ ไปพร้อมกับเฮล่า
“เราจะไปชั้นไหนกัน” หลังจากผ่านกลุ่มนักท่องเที่ยว เฮล่าถามด้วยเสียงเย็นชา
“ชั้นสี่ครับ” ลูเมี่ยนยกเทียนขาวในมือสูงขึ้น ชี้ไปทางป้ายข้างห้องฝังศพด้านหน้า แล้วตอบโดยไม่ปกปิด
เฮล่าผงกศีรษะอีกครั้ง เร่งฝีเท้าเดินนำลูเมี่ยนไป
ดูเหมือนเธอจะคุ้นชินกับชั้นแรกของสุสานใต้ดินเป็นอย่างดี สลับซ้ายขวาไม่กี่ทีก็พบบันไดที่พาลงชั้นสอง
เมื่อเทียบกับชั้นบน ที่นี่มีนักท่องเที่ยวบางตากว่ามาก นานๆ ทีถึงจะเจอนักศึกษามหาวิทยาลัยสองสามคน เดินถือเทียนร้องรำทำเพลง ท้าความกล้ากันท่ามกลางซากศพ
อาศัยแสงเทียนสีเหลืองอ่อน เด็กหนุ่มอ่านภาษาอินทิสที่เขียนอยู่บนประตูหิน:
ทางเข้าห้องเก็บกระดูกเก่า
“จากตรงนี้ลงไปเป็นชั้นสาม ปากทางมีแท่นบูชาพระอาทิตย์กับไอน้ำ เดินตรงไปจนถึง ‘เสารัตติกาลกริสโมนา’ ก็จะถึงชั้นสี่” เฮล่าอธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“คุณมีแผนที่สมบูรณ์ของสุสานใต้ดินหรือ” ลูเมี่ยนอดถามไม่ได้
ส่วนใหญ่ที่หาได้ตามท้องตลาดจะมีแค่ชั้นแรก
เฮล่าส่ายหน้า
“ยิ่งลึกก็ยิ่งรู้น้อย ตั้งแต่ชั้นสามเป็นต้นไป ต้องดูจากป้ายบอกทางและเส้นนำทางสีดำบนเพดานเป็นหลัก”
ลูเมี่ยนไม่พูดอะไรต่อ เดินเงียบๆ ผ่านทางเข้าห้องเก็บกระดูกเก่าพร้อมกับเฮล่า ก้าวลงบันไดหินขนาดใหญ่ที่แฝงกลิ่นอายแห่งอดีตทีละขั้น
เมื่อทั้งสองลงมาถึงสุสานชั้นสาม ก็เห็นแสงเทียนดวงหนึ่ง เห็นเสาหินที่มีรอยหยักสองต้นซึ่งถูกใช้เป็นเสาบูชา
แสงเทียนดังกล่าวเป็นของชายหนุ่มผมดำตาน้ำตาล ผิวกายสีซีดเผือด
เมื่อเขาเห็นลูเมี่ยนกับเฮล่า ก็เหมือนคว้าฟางช่วยชีวิตได้ทันเวลา รีบวิ่งเข้ามาหาโดยไม่รีรอ
เขาวิ่งพลางตะโกน
“พ…เพื่อนผมหายตัวไปหลายคน! พวกเขาหายตัวไปทั้งอย่างนั้นเลย!”
……………………………………………………..