ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 345 ความฝัน
ตอนที่ 345 ความฝัน
“ต้องอาศัยความอดทนอันเป็นเลิศ จึงจะต่อต้านสภาวะ ‘อยากทำตามอำเภอใจ’ ที่เกิดจากการพกพา ‘ทุบตี’ ติดตัวได้… ความผันผวนของแรงกระหายและอารมณ์ต่างๆ จะรุนแรงขึ้นมาก… งานถนัดของ ‘ภิกษุบิณฑบาต’ เลยไม่ใช่หรือไง…” ลูเมี่ยนอ่านจดหมายจากมาดามเมจิกเชี่ยนไปพลางเร่งประมวลผลว่า ตนมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขการใช้สมบัติวิเศษชิ้นนี้หรือไม่
แน่นอน ลูเมี่ยนไม่จำเป็นต้องพกพาถุงมือ ‘ทุบตี’ ติดตัวเสมอไป เพราะสามารถนำถุงมือไปวางซ่อนไว้ล่วงหน้า ล่อหลอกศัตรูให้เข้ามาในวงล้อมแล้วค่อยหยิบออกมาใช้ หรือจะเก็บเงินซื้อหุ่นยนต์ไอน้ำ ให้เครื่องจักรไร้อารมณ์ ไร้แรงกระหาย ช่วยพกพาถุงมือแทนตน แต่ในเมื่อจุดเด่นของภิกษุบิณฑบาตช่วยให้เขาต่อต้านผลข้างเคียงเชิงลบได้ดีเยี่ยม ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำอะไรยุ่งยาก
คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนก็นึกถึงผลข้างเคียงเชิงลบต่างๆ อันเกิดจากสัญญาของ ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ ขึ้นมา
ผลข้างเคียงเหล่านั้น ส่วนใหญ่มีแนวโน้มว่าจะลดทอนได้ด้วยความอดกลั้นและการข่มใจของภิกษุบิณฑบาตเช่นกัน
“ต้องได้รับพร ‘ภิกษุบิณฑบาต’ ก่อนจึงค่อยเป็นผู้ถือพันธสัญญา เพราะต้องเพิ่มความอดทนอดกลั้นก่อน ถึงจะทนรับพันธสัญญาไหวสินะ? ไม่อย่างนั้น คนที่แบกรับผลข้างเคียงเชิงลบสิบกว่าชนิดแบบหลวงพ่อ คงจะ ‘ระเบิด’ ไปนานแล้ว…”
“อา… กิโยม·เบเนต์ยังใช้จุดเด่นของภิกษุบิณฑบาตกับนักพรตได้ไม่ดีพอ… เป็นเพราะมันเคยชินกับการ ‘ปล่อยตัวปล่อยใจ’ มานาน จนดัดสันดานไม่ได้แล้ว หรือเพราะกระโดดข้ามไปเป็น ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ เลย แล้วต่อด้วย ‘นักล่าชะตากรรม’ จึงขาดความเข้าใจในธรรมชาติของภิกษุบิณฑบาตกับนักพรต ทำได้เพียงใช้พลังไปตามสัญชาตญาณ…” ลูเมี่ยนรำพันกับตัวเอง
ระลึกถึงเหตุการณ์ในฝัน ที่หลวงพ่อเปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็น ‘นักล่าชะตากรรม’ ภายในชั่วข้ามคืน เด็กหนุ่มมองว่ามีโอกาสเป็นอย่างหลังมากกว่า โดยเชื่อว่าเหตุการณ์ในฝันสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ บ่งบอกว่ากิโยม·เบเนต์ได้รับพรเพียงสองสามครั้งกลายเป็นนักล่าชะตากรรมแล้ว
ลูเมี่ยนถอนสายตากลับมามองกระดาษจดหมายในมือ อ่านเนื้อความที่เหลือจนจบในคราวเดียว
ข้อที่ระบุว่า การใช้ถุงมือ ‘ทุบตี’ จะดึงดูดตัวอันตราย เด็กหนุ่มวางแผนจะหาโอกาส หาสถานที่ให้เหมาะสม แล้วชวนฟรังก้ามาช่วยทดสอบจนมั่นใจ
หากมันอันตราย จากนี้ไปคงต้องพิจารณาเก็บ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ ไว้หนึ่งครั้งเพื่อใช้หนีผลข้างเคียง
เปลวไฟสีแดงลุกโชนเงียบงัน แผดเผากระดาษจดหมายที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือจนมอดไหม้
ขณะเถ้าถ่านร่วงกราว ลูเมี่ยนยื่นมือไปหยิบถุงมือสนับสีเหล็กดำ
มันไม่มีสัมผัสของโลหะ ไม่มีความเย็นของโลหะ แต่กลับแข็งมาก
ทันใดนั้น จากบรรดาสุรเสียงที่ลูเมี่ยนกำลังได้ยิน มีสองเสียงดังเด่นชัดภายในห้วงคำนึงของเด็กหนุ่ม
เสียงหนึ่งมาจากคู่รักที่หนีตามกันมา ผสมปนเปไปด้วยคำด่า อีกเสียงมาจากคนเมาที่ทำแก้วเหล้าแตก กำลังตะโกนล้งเล้งเสียงดัง
เสียงแรกทำให้ลูเมี่ยนเกิดความคิดวาบหวิว เสียงหลังทำให้เขาอยากชักปืนลูกโม่ออกมายิงลงไป
ทั้งสองอารมณ์มิได้รุนแรงนัก จัดอยู่ในระดับที่พอจะอดกลั้นไหว
หลังจากยืนยันจนมั่นใจว่าถุงมือสนับมีขนาดพอดีกับเจ้าของ ลูเมี่ยนก็วางมันไว้ข้างหมอน
…………
กลางดึกสงัด ในภวังค์กึ่งหลับกึ่งตื่น
ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนได้มาเยือนปราสาทโบราณสีเบจ บนผิวปราสาทเต็มไปด้วยร่องรอยสีแดงคล้ำ ราวกับเคยเปื้อนเลือดสดปริมาณมหาศาล
เสียงหัวเราะดังผสมปนเปกับเสียงตะโกนคลั่ง ก้องกังวานออกมาจากภายในปราสาท ลูเมี่ยนเงยหน้าตามสัญชาตญาณ แลเห็นใบหน้าที่มีผมสีแดงเข้ม กำลังมองมาทางตนผ่านหน้าต่างแคบๆ บนชั้นสาม
เมื่อสองสายตาประสานกัน อีกฝ่ายพลันยกมือขวา แล้วขุดลูกตาสีน้ำตาลอมแดงของตัวเองออกจากเบ้า
เส้นเลือดฝอยนับไม่ถ้วนหลุดออกมาทั้งยวงพร้อมกับดวงตา ทิ้งไว้แต่โพรงสีดำสองข้างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
“ฮ่าๆๆ! ฮ่าๆๆ!” บุคคลที่สูญเสียดวงตาทั้งสองข้าง ส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ลูเมี่ยนผู้มีสติอันเลือนราง เดินเข้าไปในปราสาทโบราณหลังนั้นโดยปริยาย
ภาพที่ปรากฏสู่สายตาเด็กหนุ่ม เต็มไปด้วยฉากอันโหดเหี้ยม
สาวใช้ผ่าท้องตัวเองด้วยมีดปอกผลไม้ แล้วดึงลำไส้เล็กสีขาวซีดชุ่มเลือดออกมา คนรับใช้ชายปีนบันไดไปชั้นสอง แล้วกระโดดลงมายังห้องโถง ทำร้ายตัวเองซ้ำไปซ้ำมา บุคคลที่ดูเหมือนพ่อบ้านกำลังถือศีรษะสตรีหน้าตาสะสวยไว้ในมือ แต่ตัวเขาเองไม่มีร่างกายท่อนล่าง ต้องใช้ศอกทั้งสองข้างสลับกันเดินอย่างยากเย็นแสนเข็ญ ทิ้งรอยเลือดหนาๆ ไว้เป็นทางยาว ส่วนคุณนายไร้หัวก็กำลังนั่งบนโซฟาเดี่ยว ยกกาแฟเทลงไปในรอยแยกตรงคอ…
กลิ่นเลือดคาวๆ กับบรรยากาศสุดบ้าคลั่งเสียดแทงเข้ามาในจิตใจของลูเมี่ยน ทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบลืมตา
เขาเห็นเพดานสกปรกที่คุ้นเคย ได้ยินเสียงอึกทึกจากถนนอลเวงเฉกเช่นทุกค่ำคืน
“แค่ความฝัน…?” ลูเมี่ยนสามารถระลึกฉากในความฝันได้อย่างคมชัด ในใจยังเหลือความกลัวตกค้างอยู่เล็กน้อย
ในฐานะผู้วิเศษที่ก้าวเข้าสู่โลกของศาสตร์เร้นลับเต็มตัวแล้ว เขามิได้นิ่งนอนใจกับความฝันประเภทนี้
มันอาจเป็น ‘วิวรณ์’ จากกายดารา หรือไม่ก็อิทธิพลบางอย่างจากภายนอก
หลังจากนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดวันอย่างรวดเร็ว ลูเมี่ยนก็ระบุ ‘ผู้ต้องสงสัย’ ได้สองจุด
“ถ้าไม่ใช่ผลข้างเคียงตกค้างจากเกมเค้กพระราชาตอนกลางวัน ก็ต้องเป็นอิทธิพลจากถุงมือ ‘ทุบตี’ …”
เด็กหนุ่มมองถุงมือสนับสีเหล็กดำที่ติดหนาม ซึ่งตนยังมิได้พกติดตัว เพียงวางไว้ข้างหมอนเท่านั้น จึงคิดว่าปัญหาน่าจะอยู่ที่เกม
เขาลองถามเทอร์มีโพลอส แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ
หลังจากย้ายถุงมือทุบตีไปไว้ในลิ้นชักโต๊ะไม้ ลูเมี่ยนก็เข้านอนอีกครั้ง
ตลอดค่ำคืนดังกล่าว เด็กหนุ่มฝันร้ายอีกหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนฝันถึงปราสาทโบราณอันน่าขนพองสยองเกล้านั่น
โชคดีที่ความฝันพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในภายหลัง ก็แทบไม่ต่างจากฝันร้ายตามปกติแล้ว
…………
เช้าวันรุ่งขึ้น ลูเมี่ยนวิ่งออกกำลังกายแล้วต่อด้วยการฝึกซ้อมหมัดมวยเหมือนทุกที ก่อนจะออกล่าอาหารเช้าเด็ดๆ ในเขตตลาด
หลังจากนั่งแกร่วที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยจนเกือบเที่ยงวัน เด็กหนุ่มก็สั่นกริ่งประตูห้อง 601 อพาร์ตเมนต์หมายเลข 3 บนถนนเสื้อนอกขาวอีกครั้ง
“กระตือรือร้นจังนะ” ฟรังก้าเปิดประตูด้วยใบหน้าที่เปล่งปลั่งระคนร่าเริง
ลูเมี่ยนไม่ปิดบังจุดมุ่งหมายของตน
“ก็คุณบอกว่าจะเล่าเรื่องของจักรพรรดิโรซายล์ให้ฟัง”
“ร…เรื่องนั้น เอ่อ…เอ่อ…” สีหน้าของฟรังก้ากลับมาแปลกประหลาดอีกครั้ง
แล้วเธอก็ตะโกน
“ฉันป่วยน่ะ!”
“ป่วยเป็นอะไร?” ลูเมี่ยนสังเกตเห็นว่าร่างกายของนางมารสุขสมรายนี้ แข็งแรงกว่าทุกทีด้วยซ้ำ
ฟรังก้าพึมพำขณะเดินกลับเข้าห้องนั่งเล่น
“เป็นโรคอายแทนคนอื่น!”
ลูเมี่ยนปิดประตู นั่งลงบนโซฟา พลางไตร่ตรองก่อนจะถาม
“อายแทนจักรพรรดิโรซายล์?”
“ก็ใช่น่ะสิ” ฟรังก้าที่นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้เอนหลัง เกาผมสีเชือกป่านของเธอ “ฉันล่ะกลัวจริงๆ ว่าท่านจะอายจนลุกออกจากโลงศพ แล้วไล่บีบคอทุกคนที่รู้ความจริง!”
หลังจากพูดจาไม่รู้เรื่องอยู่สักพัก ในที่สุดฟรังก้าก็ถอนหายใจยาว
“ง่ายๆ ก็คือ… จักรพรรดิโรซายล์ก็มาจากอีกโลกหนึ่งเหมือนพวกฉันน่ะ”
“จักรพรรดิโรซายล์ก็เป็น ‘ผู้ข้ามมิติ’ แบบเดียวกับพวกคุณน่ะหรือ?” ลูเมี่ยนอุทานด้วยความตกใจ
ฟรังก้า ‘อืม’ หนึ่งคำ
“สิ่งประดิษฐ์และแนวคิดหลายอย่างของท่าน ล้วนมีอยู่ก่อนแล้วในโลกของเรา หลักฐานสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ไดอารีของท่านเขียนด้วยภาษาของประเทศที่ฉันกับพี่สาวของคุณอาศัยอยู่ มันจึงไม่มีใครอ่านเข้าใจ จนกระทั่งพวกเราข้ามมาที่นี่ด้วย”
ความคิดในหัวของลูเมี่ยนพลันสับสนยุ่งเหยิง รู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อราวกับนิยาย แต่ก็สัมผัสได้ว่าฟรังก้าพูดจริง ยิ่งเมื่อคำนึงจากท่าทีที่โอลัวร์มีต่อจักรพรรดิโรซายล์และไดอารี
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มนิ่งไป ฟรังก้าเสริมด้วยความเข้าใจดี
“แต่ท่านก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ไต่เต้าจากคนธรรมดาที่ไม่ใช่กระทั่งลำดับ 9 ค่อยๆ เดินไปบนบาทวิถีสู่การเป็นเทพ ล้มล้างราชวงศ์เซารอน นำพาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่อินทิสและโลก สร้างอิทธิพลเป็นวงกว้างและลึกซึ้งต่อประวัติศาสตร์ในช่วงสองสามร้อยปีหลัง เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า”
นั่นก็จริง จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า ‘วีรชนก็คือวีรชน ไม่ว่าจะมีภูมิหลังแบบใดก็ตาม’ … จักรพรรดิโรซายล์มาจากที่ใดไม่สำคัญ… ลูเมี่ยนปรับอารมณ์ได้ทันที แล้วถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“คำพูดต่างๆ ของจักรพรรดิโรซายล์ เคยถูกพูดโดยนักปราชญ์ในโลกของพวกคุณมาก่อน?”
“ส่วนใหญ่ใช่” ฟรังก้าช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ ‘คนบ้านเดียวกัน’ “แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นวลีทองของท่านเอง คุณลองคิดดู คนที่ผ่านเรื่องราวตั้งมากมาย รุ่งโรจน์ล้มเหลวปะปนกันไป ย่อมมีทัศนะเฉพาะตัวในทุกแง่มุม ไม่ขาดคำคมนักหรอก”
“ถึงว่า… ทุกครั้งที่ผมเอ่ยถึงคำกล่าวของจักรพรรดิโรซายล์ โอลัวร์จะหัวเราะเสมอ…” ลูเมี่ยนเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ รับรู้ถึงอารมณ์ของพี่สาวในเวลานั้น รวมทั้งเข้าใจท่าทีล้อเลียนของสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก
เขาเปลี่ยนเรื่องถามว่า
“ใครสักคนในพวกคุณเป็นคนเขียนหนังสือ ‘บันทึกลับของโรซายล์มหาราช’ สินะ?”
“ใช่ แต่ฉันไม่รู้ว่าใคร” ฟรังก้าตอบไปตามจริง “วรรณศิลป์ของเขาค่อนข้างดีเลยล่ะ”
“สิ่งที่เขียนอยู่ในนั้น เป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลยหรือ?” ลูเมี่ยนกำลังใคร่ครวญว่า จะลองหาซื้อหนังสือใต้ดินมาสักเล่มดีไหม
ฟรังก้าหัวเราะ
“ก็คงครึ่งๆ … แม้แต่ครึ่งที่เป็นจริง ก็นำสองสามประโยคจากไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์มาขยายเป็นหนึ่งบท แต่งเติมเสริมรายละเอียดให้เร่าร้อน เช่น จักรพรรดิเคยมีความสัมพันธ์เกินมิตรกับนางมารคนหนึ่ง…”
พูดถึงตรงนี้ ฟรังก้าพลันชะงักงัน
เธอเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้ตนก็เป็นนางมารคนหนึ่งเหมือนกัน
น่าสะสมจริงๆ … จักรพรรดิโรซายล์ช่างรักสนุกเหมือนในตำนาน… ลูเมี่ยนเริ่มตั้งตารอหนังสือใต้ดินเล่มนั้น
เด็กหนุ่มไม่สานต่อประเด็นจักรพรรดิกับนางมาร แต่พูดถึงเกมเค้กพระราชาเมื่อวาน รวมถึงฝันร้ายเมื่อคืน แล้วถามฟรังก้าผู้เชี่ยวชาญการทำนาย
“ความฝันนั้นซ่อนอะไรไว้บ้าง”
“แปลไม่ออกเลย” ฟรังก้าคิดอยู่นานก่อนจะตอบ “มีสัญญะของอันตรายและการหลีกหนี อา… ฝันร้ายทำนองนี้คล้ายกับผลข้างเคียงตกค้างจากการสัมผัสกลิ่นอายอันบ้าคลั่งมากกว่า”
ลูเมี่ยนครุ่นคิดสองสามวินาที ตัดสินใจไม่สืบสาวประเด็นนี้ต่อ ตั้งใจว่าตอนบ่ายจะไปปรึกษาสองนักจิตบำบัดแทน
…………
บ่ายสามโมงยี่สิบนาที ลูเมี่ยนมาถึงร้านกาแฟเมสันในเขตสวนพฤกษศาสตร์ นั่งที่บูธ D สั่งกาแฟอินทิสหอมกรุ่นหนึ่งถ้วย กับเค้กนุ่มฟูทาครีมสองชิ้น
จนกระทั่งของหวานกับกาแฟถูกยกมาวาง เด็กหนุ่มรออีกหนึ่งถึงสองนาที ก็ได้ยินเสียงสตรีเปี่ยมความอ่อนโยนของซูซี่
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ คุณลูเมี่ยน·ลี”
ลูเมี่ยนยิ้มอย่างผ่อนคลาย
“ทิวาสวัสดิ์ครับ มาดามซูซี่ ทิวาสวัสดิ์ครับ มาดามจัสติส”
……………………………………………………..