ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 339 จุดประสงค์การมา
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 339 จุดประสงค์การมา
ตอนที่ 339 จุดประสงค์การมา
เฮล่ายังคงพูดด้วยเสียงเย็นชา
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ก็อย่างที่ฉันบอกไป สมาคมวิจัยของเราเป็นองค์กรที่หละหลวมมาก นอกจากสมาชิกจำนวนน้อยที่ติดต่อใกล้ชิดกันเป็นการส่วนตัว คนอื่นจะเจอกันเพียงปีละสองถึงสี่หน แถมยังอยู่ภายใต้การปลอมตัว”
“พี่สาวของคุณทำตัวค่อนข้างผ่อนคลายในงานชุมนุมลักษณะนี้ คงใกล้เคียงกับตอนที่ใช้ชีวิตประจำวันเวลาอยู่กับคุณ เพียงแต่จะคอยระวังไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวหลุดออกไป ซึ่งคุณสามารถเลียนแบบได้ไม่ยาก”
“ส่วนคำศัพท์กับประโยคแปลกๆ ที่พวกเราใช้สื่อสารกัน คุณคงเคยผ่านหูมาบ้างแล้ว ดูจากความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพี่สาว เธอคงพูดออกมาซึ่งๆ หน้าโดยไม่ปิดบัง”
“ใช่ครับ” ลูเมี่ยนพลันหดหู่ “เธอยังอธิบายความหมายให้ผมฟังด้วย โดยบอกว่าเป็นคำพูดของนักปราชญ์ท่านหนึ่งที่บ้านเกิด หรือไม่ก็ของจักรพรรดิโรซายล์”
ได้ยินแบบนั้น เฮล่ากล่าวต่อ
“หากคุณมีโอกาสได้สวมรอยเป็นมักเกิ้ล มีโอกาสได้สื่อสารกับคนของสมาคมวิจัย ไม่ต้องเสียเวลาพูดคำว่า ‘นักปราชญ์ที่บ้านเกิดกล่าวไว้ว่า’ พูดเพียงเนื้อหาส่วนหลังก็พอ”
“แล้วควรเสริมว่า ‘จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า’ ไหมครับ” ลูเมี่ยนเก็บรายละเอียดอย่างเอาจริงเอาจัง
แม้ว่าเขาจะยังขาดคุณสมบัติสำคัญ ทำให้ยากที่จะสวมรอยเป็นโอลัวร์ เพราะแก่นแท้ของใบหน้าไนเซอร์คือเวทลวงตา หากเผชิญหน้ากับผู้วิเศษที่มีพลังเฉพาะทาง ก็จะถูกจับผิดได้ทันที — ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเพียงลำดับ 9 ‘ผู้ส่องความลับ’ ก็ยังมองออกว่าตนมิใช่สตรี ไม่มีทางเป็นมักเกิ้ลแน่นอน เพียงแต่เด็กหนุ่มยังไม่อยากปัดโอกาสทิ้ง ไม่แน่ว่าในอนาคต ตนอาจได้ครอบครอง ‘วิชาแปลงโฉม’ ที่ส่งผลกระทบเชิงลบน้อยๆ ก็เป็นได้
ส่วนการแต่งหน้าเชิงศาสตร์เร้นลับด้วยแว่นส่องความลับนั้น ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ต้องปกปิดใบหน้าตลอดกาลชุมนุม ย่อมไม่มีทางสร้างการชักจูงทางจิตวิทยาแก่คนรอบข้างได้แน่นอน แถมยังเปลี่ยนเพศไม่ได้ด้วย ถึงจะแต่งกายปลอมเพศแล้วก็ตาม
เฮล่าเงียบไปสองสามวินาทีซึ่งหาได้ยาก กล้ามเนื้อแก้มขยับเล็กน้อย
“ถ้ามีโอกาสได้สวมรอยจริงๆ อย่าพยายามเสริมเข้าไปเลย เพราะคุณคงจับจังหวะไม่ได้ ว่าตอนไหนควรเสริม ตอนไหนไม่ควร”
“เพียงแค่ต้องจำไว้เรื่องเดียว หากสมาชิกคนอื่นเกริ่นประโยคด้วยคำว่า ‘จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า’ นั่นคือการทำไปเพื่อสร้างบรรยากาศ สร้างความคึกคัก หรือไม่ก็สร้างเสียงหัวเราะเท่านั้น”
ทำไมรู้สึกเหมือนภาพจำของจักรพรรดิโรซายล์ในสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิกไม่ดีเท่าที่ควร… ไม่ใช่ไม่ค่อยดี แต่ใกล้เคียงกับนักแสดงตลกมากว่า… พูดถึงเรื่องนี้ โอลัวร์ก็ไม่ต่างกันมาก ทุกครั้งเธออารมณ์ไม่ดี เราแค่จงใจพูดว่า ‘จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า’ ส่วนใหญ่เธอจะผ่อนคลายลงทันที หรือบางครั้งก็เผลอหัวเราะออกมา… ลูเมี่ยนไม่ค่อยเข้าใจสภาพความคิดของชาวสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิกสักเท่าไร แต่เนื่องจากต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ความลับยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา จึงมิได้ถามซอกแซก
เด็กหนุ่มตั้งใจว่าถ้าไม่ลืม ตนจะนำเรื่องนี้กลับไปถามฟรังก้า
เฮล่าพูดต่อ
“หากคุณเข้าร่วมงานชุมนุม เพียงจำไว้ว่าจงฟังให้มาก พูดให้น้อย อย่าเข้าร่วมการอภิปรายเชิงลึกหากยังไม่มั่นใจ เมื่อคนอื่นพูดถึงเรื่องในอดีต ก็หลบเลี่ยงไปเสีย หรือตอบแบบขอไปที แสดงภาษากายให้สอดคล้องกับบุคลิกเฉพาะตัวของมักเกิ้ลตามที่เธอเคยทำต่อหน้าคุณ เพียงเท่านี้ก็จะสวมรอยเป็นเธอได้อย่างแนบเนียนแล้ว”
ลูเมี่ยนใคร่ครวญสักพัก
“ผมสวมรอยได้แค่รูปลักษณ์ภายนอกกับการแสดงออกเท่านั้น สมาคมวิจัยของพวกคุณคงไม่ขาดแคลนผู้วิเศษสายทำนาย หรือพวกที่มีประสาทสัมผัสเฉียบแหลม… พวกเขาคงจับได้ง่ายๆ เลยว่าผมไม่ใช่พี่สาว”
“ผิดแล้ว กลับกันเลยต่างหาก พวกเขาจะช่วยพิสูจน์ว่าคุณคือมักเกิ้ลตัวจริง” เฮล่าให้คำตอบที่ลูเมี่ยนไม่คาดคิด
ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงเจือประหลาดใจของเด็กหนุ่ม เฮล่าอธิบายอย่างละเอียด
“ประการแรก พวกเราส่วนใหญ่ไม่ทราบสถานการณ์จริงๆ ของสมาชิกคนอื่น จึงไม่มีทางทำนายหรือพยากรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“ประการที่สอง ฉันเคยลองใช้สิ่งของบางอย่างเพื่อทำนายถึงสถานการณ์ของพี่สาวคุณ ภายใต้เงื่อนไขที่ฉันพอจะรู้จักตัวจริงของเธออยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์กลับมิอาจบ่งชี้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ประหนึ่งเผชิญหน้ากับอำนาจการแทรกแซงผลทำนายที่ทรงพลัง”
นี่มัน… ลูเมี่ยนตกใจในทีแรก แต่ไม่นานก็เข้าใจสาเหตุคร่าวๆ
จากคำบอกเล่าของมาดามเมจิกเชี่ยน โอลัวร์ตอนนี้ยังไม่ถือว่าดับสูญโดยสมบูรณ์ ยังพอจะมีความหวังริบหรี่ในการคืนชีพ สืบเนื่องจากเศษดวงวิญญาณของเธอถูกมิสเตอร์ฟูลผนึกไว้ การทำนายทั่วๆ ไปย่อมมิอาจอ้อมผ่านผนึกเพื่อสอดส่องสถานการณ์จริงของโอลัวร์ได้ จึงแสดงออกมาในรูปแบบ ‘ถูกแทรกแซงโดยอำนาจอันแข็งแกร่ง’
เฮล่าจิบกาแฟรีมูเข้มสามเท่าอีกครั้ง
“เหนือสิ่งอื่นใด หลังจากที่ฉันได้พบคุณในวันนี้ พลังวิญญาณและสัญชาตญาณได้แจ้งกับฉันว่า หากยืนอยู่ต่อหน้าคุณ ทุกการ ‘ทำนาย’ หรือการ ‘พยากรณ์’ ถึงโอลัวร์ ผลลัพธ์จะชี้มาที่ตัวคุณเสมอ”
หา? ลูเมี่ยนเกือบเผลอโพล่งเสียงดัง
ผ่านไปหนึ่งอึดใจ เด็กหนุ่มก้มมองหน้าอกซ้ายตัวเอง แล้วหัวเราะขื่นขม
“คงเป็นเพราะว่า ปรากฏการณ์ประหลาดได้ทำให้เศษดวงวิญญาณของพี่สาวยังอยู่ในตัวผม”
เล่าถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“น่าเสียดายจริงๆ …”
หลังจากฟังคำอธิบายของเฮล่าจบ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพในการสวมรอยเป็นพี่สาวเพื่อเข้าร่วมสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก โดยที่ไม่ถูกใครจับได้ง่ายๆ
ใจจริงเขาก็อยากทำแบบนั้น เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อฟรังก้า ช่วยให้เธอไม่ต้องเสี่ยงอันตรายตามลำพัง อีกทั้งยังสามารถร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ คนหนึ่งอยู่ที่แจ้ง อีกคนอยู่ในเงา ล่อให้ต้นตอของปัญหาโผล่หางออกมา จนกระทั่งตกหลุมพรางที่ขุดรอไว้
ในเวลาเดียวกัน ลูเมี่ยนยังสามารถใช้ประโยชน์จากชุมนุมเหล่านั้น เพื่อช่วยให้ตัวเองเข้าใจเกี่ยวกับโอลัวร์มากขึ้น
น่าเสียดายที่เขาไม่มี ‘วิชาแปลงโฉม’ ในระดับที่สามารถปลอมเพศ ปรับความสูง รวมไปถึงรูปร่าง
หลังจากความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะ เฮล่าก็ทวนคำมั่นสัญญาที่จะช่วยสืบกลุ่มวันเอพริลฟูลให้
ถัดมา เธอพูดอย่างไม่อ้อมค้อม
“ครั้งนี้ฉันมาทรีอาร์ก็เพื่อตามหาของบางอย่างในส่วนลึกของสุสานใต้ดิน… คุณพอจะมีข้อมูลบ้างไหม”
ส่วนลึกของสุสานใต้ดิน? ลูเมี่ยนตกตะลึง แล้วจึงรีบเตือน
“ที่นั่นอันตรายมาก”
เด็กหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งกับจดหมายชี้แนะฉบับก่อนๆ รวมถึงข้อเสนอเมื่อครู่ของมาดามเฮล่า จึงยอมเล่าสถานการณ์ของสุสานใต้ดินที่ตนทราบมา รวมทั้งเหตุการณ์ประหลาดที่เคยพบเจอด้วยตัวเอง แล้วพูดตบท้ายว่า
“ไม่รู้ทำไม มีแค่ผมที่จดจำคู่รักนั่นได้ ส่วนคนอื่นทำเหมือนพวกเขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน… จริงสิ… ผู้ดูแลสุสานที่ชื่อเคนดัลล์ก็คงสังเกตเห็นเหมือนกัน แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”
เฮล่าเงียบฟังโดยไม่แสดงความประหลาดใจหรือฉงน เพียงถามว่า
“คุณเคยได้ยินเรื่องบ่อน้ำสตรีซามาเรียบ้างไหม”
“เคยได้ยินจากพวกต้มตุ๋น…” ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว พยายามระลึกคำพูดของออสตา·ทรูเอล “เขาบอกว่าบ่อน้ำสตรีซามาเรียที่ชั้นบนของสุสานใต้ดินเป็นของปลอม เป็นเพียงแอ่งน้ำที่เกิดจากความผิดพลาดระหว่างการก่อสร้างในอดีต จนถูกผู้ดูแลสุสานปั้นแต่งให้ตำนาน… แต่ในส่วนลึกของโลกใต้ดิน ในสุสานโบราณแห่งหนึ่ง มีบ่อน้ำแห่งการลืมเลือน… บ่อน้ำแห่งการลืมของจริง”
เฮล่ามิได้แสดงความเห็นใด เพียงพยักหน้ารับเบาๆ
“ขอบคุณ”
หลังจากขอบคุณ เธอก็ดื่มกาแฟที่เหลืออยู่จนหมดแก้วแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูร้านกาแฟโคนมน้อย
ขณะเธอจากไป ความรู้สึกเงียบสงัดอันลึกลับก็พลันอันตรธานหาย ประหนึ่งแสงสว่างกลับมาส่องในบริเวณนี้อีกครั้ง
ลูเมี่ยนนั่งแช่อีกสักพัก ดื่มกาแฟมาแกร์ของตัวเองจนหมด แล้วจึงเดินไปตามถนนเพรงจนถึงจัตุรัสแดนชำระ ตั้งใจจะนั่งรถม้าสาธารณะกลับเขตตลาด
หลังจากผ่านคาบาเร่ต์แกะดำกับบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ ลูเมี่ยนพลันได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งใสกังวาน
เด็กหนุ่มสัมผัสถึงบางอย่าง จึงรีบหันครึ่งตัวกลับไปมอง พอดีทันเห็นร่างอันคุ้นตาเดินเข้าไปในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน
ร่างดังกล่าวสวมชุดกระโปรงยาวบางๆ สีขาวอ่อน หมวกกลมใบเล็กที่ประดับด้วยดอกไม้ผ้าไหม ห้อยกระดิ่งเงินสองใบบนมวยผมอันซับซ้อน โดยมีของคล้ายกันห้อยอยู่ที่รองเท้าบูตยาวสีเข้ม
ลีอา… ลีอาจากหน่วยแปด… ลูเมี่ยนจำได้ว่าอีกฝ่ายคือลีอา ผู้ตรวจสอบของทางการที่เข้ามาในความฝันของเขา
ถ้าจำไม่ผิดเธอสังกัดหน่วยแปดประจำแคว้นไรสตัน แต่ตอนนี้กลับมาโผล่ในกรุงทรีอาร์ แถมยังเข้าไปในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบที่ค่อนข้างประหลาด
คาบาเร่ต์แกะดำคือสถานที่อันตราย… อย่าบอกนะว่าบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบคือฐานลับที่หน่วยแปดใช้เฝ้าจับตามองร้านฝั่งตรงข้าม? หลังจากถอนสายตากลับ ลูเมี่ยนก็เดินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…………
กลับมาถึงคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ลูเมี่ยนยังไม่ทันได้พักก็ถูกบอสใหญ่การ์ดเนอร์·มาร์ตินเรียกตัวไปยังบ้านเลขที่ 11 ถนนน้ำพุ เขตหอรำลึก
ในห้องที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือตั้งเรียงราย การ์ดเนอร์·มาร์ตินในเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงขายาวสีเข้ม ยิ้มอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“ผมได้ยินจากฟรังก้าว่า คุณแก้แค้นสำเร็จแล้ว?”
ลูเมี่ยนรู้สึกว่าบอสใหญ่รายนี้ดูตื่นเต้นจนผิดวิสัย ประหนึ่งคนที่เพิ่งผ่านความสุขอันล้นปรี่มา ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สงบลง
เด็กหนุ่มตอบเถรตรง
“ครับ ผมฆ่ากิโยม·เบเนต์ไปแล้ว โชคดีที่มี ‘บูตแดง’ กับจินนาคอยช่วย รวมถึงนักค้าข่าวที่ชื่ออ็องโตนี·รีดอีกคน”
เขาไม่ปิดบังรายชื่อผู้ร่วมงาน ซึ่งยังไงก็ปิดบังบอสไม่ได้อยู่แล้ว เพราะพวกตนติดต่อกันผ่านสัตว์เลี้ยงของ ‘มุสิก’ คริสโต
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพยักหน้ารับเบาๆ
“คุณมีศักยภาพสูงกว่าที่ผมคิดไว้มาก…”
“ฟรังก้าเล่าไม่ละเอียดเท่าไร คุณช่วยถ่ายทอดเหตุการณ์อีกครั้งได้ไหม”
ลูเมี่ยนมิได้ปกปิดทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์กรคนบาป รวมถึงพลังหลายชนิดที่กิโยม·เบเนต์ครอบครอง โดยอธิบายด้วยวิธีที่เป็นรูปธรรม
การ์ดเนอร์·มาร์ตินตั้งใจฟังจนจบ ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม
“คุณคิดว่าพลังของกิโยม·เบเนต์เทียบเท่าลำดับใด?”
ลูเมี่ยนตอบทันทีโดยไม่ลังเล
“ลำดับ 5 ครับ”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินเงียบไปทันที ผ่านไปสักพักจึงค่อยพูด
“ที่ผมเรียกคุณมาก็เพราะมีภารกิจอยากให้ไปทำ”
“ภารกิจอะไรครับ” ลูเมี่ยนไม่เก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็น
การ์ดเนอร์·มาร์ตินยิ้มอีกครั้ง
“ไม่ยากหรอก ไปที่ร้านกาแฟเครื่องจักรในเขตโรงอุปรากร แล้วติดต่อกับองค์กรวรรณกรรมและศิลปะที่ชื่อ ‘แมวดำ’ ”
“ผมไม่มีหัวด้านศิลปะเลยนะครับ” ลูเมี่ยนตอบไปตามตรง
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพูดพลางหัวเราะ
“ไม่จำเป็นต้องมีหัวด้านศิลปะหรอก คุณแค่ทำตัวเป็นผู้สนับสนุนหลักก็พอ ผูกมิตรกับสมาชิกคนหนึ่งของ ‘แมวดำ’”
“ต้นตระกูลของเขามียศเป็นท่านเคานต์ ซึ่งเขาก็ชอบเรียกตัวเองแบบนั้น”
“อา… ชื่อของเขาคือปุยฟ์·เซารอน”
……………………………………………………..