ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 321 ชดใช้
ตอนที่ 321 ชดใช้
ในทางเดินมืดสลัว แม้อุณหภูมิจะไม่ลดลง แต่กลับมีสายลมหนาวเหน็บพัดผ่านจนปวดร้าวไปถึงกระดูก
ลูเมี่ยนที่กำลังผ่อนคลายจิตใจเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ ดึงสติกลับมาใหม่ พลางสังเกตห้องสุสานทั้งสองฝั่งทางเดินตามความเคยชิน
อันที่จริง ด้วยสัญชาตญาณ เด็กหนุ่มนำมือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าเพื่อกำนิ้วของมิสเตอร์ K ไว้แนบแน่น แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ที่นี่คือทวีปใต้ มิสเตอร์ K คงไม่ตระหนักถึงสัญญาจากนิ้ว เขาจึงต้องฝืนข่มนิสัยจากความเคยชิน
ฟรังก้าตอบโต้ได้รวดเร็วเช่นกัน บนมือปรากฏกระจกเงาขนาดเท่าฝ่ามือแล้ว ส่วนจินนาผู้มีประสบการณ์น้อยกว่าใคร แม้จะไม่เข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้สื่อถึงสิ่งใด แต่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องดี
นี่ไม่ต่างจากเรื่องผีสางที่พวกขี้เมาในคาบาเร่ต์ใช้ขู่สาวๆ นักหรอก!
ซาเรียนต์รีบถอนสายตาจากตะเกียงน้ำมันมืดสลัว โดยไม่แม้แต่จะชายตามองลูเมี่ยน เขาเร่งฝีเท้าผ่านหน้าจินนากับฟรังก้าไปทางประตูไม้สีดำของห้องใต้ดินที่ยังเปิดอ้า
ตึงๆๆ!
เสียงกระแทกดังโครมครามจากด้านในห้องสุสานทั้งสองฝั่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงฝาหินโลกศพถูกเคาะ หรือเสียงประตูหินหนักๆ ถูกทุบตี
ซาเรียนต์หน้าถอดสีทันที รีบยกเข่าสูง สับตีนแตกอย่างบ้าคลั่ง
ภายในห้องใต้ดินที่แต่เดิมเงียบสงัดราวกับสุสาน มีเสียงกระแทกตึงๆๆ กำลังดังกังวาน พวกลูเมี่ยนรีบวิ่งตามหลังเถ้าแก่ร้านยาลับ มุ่งหน้าไปตรงยังทางออก ผ่านไปเพียงไม่กี่ก้าวก็แซงเขาได้
แต่ทันใดนั้น ประตูไม้สีดำตรงหน้าก็ส่งเสียงกุกกัก แล้วปิดลงด้วยความเร็วสูงอย่างยิ่ง
เห็นภาพดังกล่าว ฟรังก้ายังคงวิ่งต่อไป พลางขว้างกระจกในมือไปทางประตู
กระจกพุ่งชนประตูไม้สีดำที่ปิดสนิท ส่งเสียงพล้งเพล้งดังกังวาน เศษกระจกกระจายอยู่เต็มพื้น
ลูเมี่ยนกับฟรังก้าหยุดฝีเท้าพร้อมกัน หันไปมองซาเรียนต์ จินนาวิ่งต่ออีกสองเมตรก่อนจะได้สติ จึงค่อยทำแบบเดียวกัน
บนทางเดินที่ค่อนข้างมืด ซาเรียนต์ในเสื้อคลุมสีน้ำเงินขลิบทอง ยืนแน่นิ่งในตำแหน่งเดิม ใบหน้าซีดเซียวถูกฉาบด้วยสีเขียวเทา
เสียงกระแทกโครมครามจากห้องสุสานทั้งสองฝั่งยังคงดำเนินไป สนั่นหวั่นไหวอยู่ภายในใจของทุกชีวิตบนทางเดิน
ร่างกายซาเรียนต์สั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด พลางพึมพำราวกับพูดคนเดียว
“จบสิ้นแล้ว… พวกเราทุกคนจบเห่แล้ว…”
“สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น” ฟรังก้าถามด้วยจังหวะเร็วแต่ท่าทีสงบนิ่ง
มีเพียงการเข้าใจรากเหง้าของปัญหาเท่านั้น จึงจะสามารถคิดหาวิธีแก้ไขที่มีประสิทธิภาพในเวลาอันสั้น!
ซาเรียนต์ทำตัวราวกับวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว มิได้ตอบคำถามฟรังก้า เพียงพร่ำเพ้อซ้ำไปซ้ำมา
“จบสิ้นแล้ว พวกเราตายแน่…”
เขายังพูดไม่ทันขาดคำ ทั่วห้องใต้ดินก็สั่นสะเทือนทันที
เปลวไฟสีเขียวเทาที่เล็กเท่าเม็ดข้าว เอนเอียงไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจน
ความหวาดผวาเผยอยู่บนใบหน้าของซาเรียนต์ ก่อนจะโพล่งจากจิตใต้สำนึก
“มันตื่นแล้ว! มันตื่นแล้ว!”
“มันที่ว่าคือใคร?” จินนาพบว่าเรื่องนี้น่ากลัวกว่าเรื่องผีใดๆ ที่เคยฟังมา แต่ก็ยังฝืนถามต่อ
ซาเรียนต์มิได้ให้คำตอบ เอาแต่ตะโกนคำเดิมๆ
“มันตื่นแล้ว! มันตื่นแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่ร้านขายยาลับใช้การไม่ได้แล้ว คล้ายกับตื่นตระหนกอย่างรุนแรง ฟรังก้าจึงเลิกซักถาม เปลี่ยนไปหยิบกระจกบานใหม่ขึ้นมาแทน
เธอตั้งใจจะลอง ‘ทำนายด้วยกระจกวิเศษ’ เพื่อถามถึงสถานการณ์ปัจจุบัน
แม้คำตอบจากการทำนายจะคลุมเครือ ต้องเสียเวลาตีความ แต่ก็ยังดีกว่ามืดแปดด้านอยู่อย่างนี้!
ไม่นานนัก ฟรังก้าก็สวดคาถาจบ จนได้เห็นผิวน้ำกระเพื่อมบนผิวกระจก
ขณะเธอกำลังเรียบเรียงคำพูดเพื่อตั้งคำถามให้เหมาะสม คาดหวังกับคำตอบที่ตรงประเด็น ลูเมี่ยนข้างๆ ที่เงียบมานานได้เปิดปากพูด
“สำเร็จไหม”
“สำเร็จ สามารถทำนายได้” แม้จะงุนงง แต่ฟรังก้าก็ตอบอย่างร่วมมือ
ลูเมี่ยนคลี่ยิ้มทันที
“คุณไม่ต้องถาม”
หือ… ฟรังก้าชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจเจตนาของลูเมี่ยน
ทันใดนั้น ห้องใต้ดินก็สั่นสะเทือนหนักหน่วงอีกครั้ง เถ้าแก่ร้านยาลับขวัญกระเจิงจนเสียงแหลมเพี้ยน
“มันมาแล้ว! มันมาแล้ว!”
“พวกเรากำลังจะตาย!”
วินาทีถัดมา ลูเมี่ยนเดินไปจับไหล่ของเถ้าแก่
ขณะเดียวกัน มืออีกข้างของลูเมี่ยนก็คว้าแขนจินนาไว้แน่น ส่วนฟรังก้าสอดแขนเกี่ยวไหล่เด็กหนุ่มอย่างสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้อง
แสงจากช่องว่างเสื้อผ้าลูเมี่ยนวาบวับขึ้นมา ทั้งสี่ชีวิตย้ายตำแหน่งมาอยู่ด้านนอกห้องใต้ดิน หน้าประตูไม้สีดำสนิทที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์เร้นลับจำนวนมาก
“มันมาแล้ว! มันมาแล้ว!”
“พวกเรากำลังจะตาย!”
ซาเรียนต์ยังคงแหกปากอย่างสิ้นหลัง
ลูเมี่ยนมองไปทางเถ้าแก่ร้านยาลับ พลางคิดจริงจังว่าจะใช้ ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ แปลงโฉมเป็นมัมมี่เพื่อแกล้งให้ตกใจกลัว
การรักษาด้วยวิธีกระตุ้น ก็ถือเป็นการรักษาทางหนึ่ง!
เมื่อตระหนักว่าพลังวิญญาณของตนเหลือไม่มากแล้ว อีกทั้งยังไม่ควรเผยพลังวิเศษต่อหน้าคนแปลกหน้ามากเกินไป สุดท้ายจึงยอมละทิ้งการกลั่นแกล้ง
เพี้ยะ!
จินนาตวัดฝ่ามือขวา ฟาดลงบนใบหน้าของซาเรียนต์ จนอีกฝ่ายถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะ ทำได้เพียงมองมาดามตรงหน้าด้วยความฉงนสนเท่ห์
ทั้งฟรังก้าและลูเมี่ยนต่างประหลาดใจอยู่ในที เงียบมองฉากตรงหน้า ไม่แน่ใจว่าควรแทรกเข้าไปตอนไหน
ขณะที่ประตูไม้สีดำกับผนังห้องใต้ดินกำลังสั่นเบาๆ ฉากด้านนอกกลับเงียบสงัดเหมือนหนูตาย
“ปกติแล้วไม่ได้ปลุกกันแบบนี้หรือไง?”
“ตอนที่เพื่อนบ้านฉันคุมอารมณ์ไม่อยู่ ใครๆ เขาก็ปลุกแบบนี้ทั้งนั้น”
อีกฝ่ายไม่ได้เสียสติจริง ชาวบ้านย่านโรงงานจึงมีวิธีแก้ปัญหาโดยอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว ซึ่งโดยมากมักได้ผล มีเพียงน้อยกรณีที่ไม่สำเร็จ
แน่นอน หากเป็นญาติสนิทหรือคนในครอบครัว เธอคงทำไม่ลง ต้องให้คนอื่นจัดการแทน
“เธอทำดีแล้ว” ฟรังก้าตื่นจากภวังค์ กล่าวชมอย่างจริงใจ
สักพักหนึ่ง แววตาของซาเรียนต์ก็เริ่มกระจ่างใส
เขาหันไปมองรอบตัวตามความเคยชิน อุทานออกมาอย่างตกตะลึง
“พวกเราออกมาแล้ว…?”
“ออกมาตอนไหน?”
“ตอนที่คุณเอาแต่แหกปาก ‘พวกเรากำลังจะตาย’ ‘พวกเรากำลังจะตาย’ ไงล่ะ” ลูเมี่ยนตอบด้วยน้ำเสียงชวนหมั่นไส้
จากนั้น เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามเสียงทุ้มต่ำ
“สรุปว่าใครจะตื่น?”
หลังจากสีหน้าของซาเรียนต์แปรเปลี่ยนไปสองสามหน ก็เริ่มพึมพำด้วยริมฝีปากสั่นเทา
“มัมมี่โบราณของจริง…”
“มันหลับใหลอยู่ในชั้นล่างสุดของห้องสุสาน บางครั้งก็ตื่นขึ้นมาเอง เมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งตื่นไป… ทำไมถึงตื่นอีกรอบเร็วขนาดนี้ได้…”
โดยปกติแล้ว จากประสบการณ์ของซาเรียนต์ ช่วงเวลาที่มัมมี่นั่น ‘ตื่น’ จะทิ้งระยะห่างที่แน่นอน คือราวๆ หนึ่งเดือน เขาถึงกล้าพาพวกลูเมี่ยนลงมายังห้องใต้ดิน
ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน!
ปัจจัยใดที่ทำให้มัมมี่โบราณตื่นก่อนกำหนด? ลูเมี่ยนกวาดตาไปทางฟรังก้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด ประหนึ่งกำลังถามว่า เธออยากได้มัมมี่โบราณของจริงไหม
ฟรังก้าเข้าใจความนัย จึงส่ายหน้าเชิงว่าไม่จำเป็นขนาดนั้น
เถ้ากระดูกของมัมมี่เป็นเพียงวัตถุดิบเสริม ของปีก่อนก็ใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตกับสัตว์ประหลาดที่ดูอันตรายเพียงนั้น
ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ ข่มอาการปวดหัวแล้วมองซาเรียนต์ พูดพลางอมยิ้ม
“ผมไม่สนหรอกนะ ว่าไอ้ที่จะตื่นคือมัมมี่ปีก่อนหรือมัมมี่โบราณ แต่ผมมั่นใจอยู่สองเรื่อง”
“หนึ่ง ผมช่วยชีวิตคุณไว้ สอง เราถูกทำให้เสียขวัญ เกือบตายอยู่ในนั้น”
“หรือก็คือ คุณต้องจ่ายค่าทำขวัญให้เรา… เท่าไรดีล่ะ? ขอรับเป็นทองเท่านั้นนะ”
ลูเมี่ยนยังไม่ลืมว่าตนติดหนี้เกราะซ่อนเงากับมิสเตอร์ฟูลรวมกันถึงหนึ่งแสนเฟลคิน จึงไม่อยากพลาดโอกาสสะสมเงินในทุกช่องทางที่พบเห็น
เมื่อพบว่าเสียงด้านหลังประตูไม้สีดำเริ่มซาลงแล้ว ซาเรียนต์ก็คลายใจ สูดลมหายใจลึกสุดปอดแล้วตอบ
“หนึ่งพันเฟลคินได้ไหม? ผมมีทองคำแค่นี้ครับ”
เขาค่อนข้างเจ็บใจที่ต้องเสียเงินเสียทอง แต่ก็มองว่าคำพูดลูเมี่ยนไม่มีส่วนใดผิดเลย หากมิใช่เพราะอีกฝ่าย ตนคงได้ตายอยู่ในห้องใต้ดินไปแล้ว กลายเป็นอาหารของมัมมี่นั่น
มิหนำซ้ำ ชายคนนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง จึงไม่ฉลาดนักที่จะตอบปฏิเสธ
“ได้” ลูเมี่ยนก็มิได้บีบคั้นจนเกินงาม
ขณะทั้งสี่เดินขึ้นบันไดกลับไปยังคลังสินค้าหลังร้าน ฟรังก้าทิ้งมือซ้ายลง ปล่อยให้บางสิ่งร่วงหล่นสู่เงามืดตรงมุมห้องอย่างเงียบงัน
หลังจากรับเหรียญทอง แท่งทอง เครื่องประดับทองมูลค่ารวมหนึ่งพันเฟลคินจากเถ้าแก่ ลูเมี่ยน ฟรังก้า จินนาก็เดินออกจากร้าน ‘ยาลับที่ราบสูง’
“หึๆ … แลกมากับความตื่นเต้นเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่แค่ได้ท่อนแขนมัมมี่ แต่ยังได้เงินฟรีๆ มาอีกห้าร้อยเฟลคิน” ฟรังก้าหันกลับไปมองร้านค้าแล้วพูดติดตลก
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบสนอง เธอถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณขาดเงินอีกแล้วสินะ? ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณคงไม่สนใจหรอกว่าจะได้เงินเท่าไรหลังช่วยคน คนถูกช่วยจะให้หรือไม่ก็ตามใจ”
“คุณสลับไปเส้นทางผู้ชมแล้วหรือไง?” ลูเมี่ยนล้อเลียนไปหนึ่งประโยค แล้วพยักหน้าเล่าอย่างจริงใจ “พันธสัญญาพิเศษที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ต้องจ่ายด้วยทองคำมูลค่าหนึ่งแสนเฟลคินภายในระยะเวลาหนึ่ง”
หนึ่งแสนเฟลคิน? หลังจากเข้าสู่โลกศาสตร์เร้นลับเต็มตัว มุมมองเรื่องเงินๆ ทองๆ ของจินนาก็เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เท่าที่เธอทราบ เงินสดในปัจจุบันของชาร์ล ยังน้อยกว่าที่เธอมีเสียอีก แต่หมอนี่กลับกล้าติดหนี้หนึ่งแสนเฟลคิน เพียงเพื่อพันธสัญญาสำหรับใช้พลังวิเศษ
ฟรังก้าเดาะลิ้นพลางหันไปถาม
“ทำไมคุณไม่ใช้ ‘ท่องเที่ยว’ ตั้งแต่แรกล่ะ? ถ้าเป็นตอนนั้นประตูยังไม่ปิด มันจะไม่สร้างความแตกตื่น”
“พวกคุณไม่คิดบ้างหรือ ว่าการใช้ในจังหวะสุดท้ายมันเท่ระเบิดไปเลย?” ลูเมี่ยนย้อนถามแทนการตอบ
แน่นอน เหตุผลแท้จริงคือ เขาเพิ่งได้รับพลัง ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ มาหมาดๆ ยังไม่เกิดนิสัยใช้งานผ่านจิตสำนึก พอประตูไม้สีดำของห้องใต้ดินปิดลง เขาก็กลัวว่าการ ‘ท่องเที่ยว’ ครั้งสุดท้ายจะกลายเป็นหมัน จึงไม่กล้าลองส่งเดช
ในภายหลัง ฟรังก้าประสบความสำเร็จในการทำนายด้วยกระจกวิเศษ สื่อเป็นนัยว่ามิติดังกล่าวสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ จึงตัดสินใจใช้งานทันที
ท่ามกลางเสียงสบถเจือความไม่เชื่อของฟรังก้ากับจินนา ลูเมี่ยนลูบศีรษะที่ยังปวดตุบๆ พลางกล่าว
“หาโรงแรมกัน ผมขอนอนสักงีบให้พลังวิญญาณฟื้นฟูก่อน”
“ตกลง” ฟรังก้าไม่รีบร้อนหาโรงแรม แต่เลี้ยวเข้าตรอกปลอดคน ดึงกระจกแต่งหน้าสุดประณีตออกมา
“เธอจะทำนายถามอะไรอีก?” จินนาใคร่รู้
มุมปากฟรังก้ายกโค้ง
“ทำนายภาพที่เห็นผ่านกระจกอีกบานหนึ่ง”
เมื่อเห็นว่าจินนาไม่เข้าใจ เธอจึงอธิบายเสริมด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อสักครู่ฉันแอบทิ้งกระจกชิ้นเล็กๆ ที่เหมือนเศษแตกไว้ข้างนอกห้องใต้ดิน”
พูดจบ ฟรังก้าก็ลูบกระจกแผ่วเบา ปากท่องคาถา
ไม่นานนัก ผิวกระจกสะท้อนฉากหนึ่ง:
เถ้าแก่ซาเรียนต์ในเสื้อคลุมสีน้ำเงินขลิบทอง กำลังยืนอยู่หน้าประตูไม้สีดำ ค้อมตัวโค้งหลัง ร้องตะโกนเสียงดัง
“มีเพียงความตายเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์!”
…………………………………………………….