ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 317 เป้าหมายการอัญเชิญ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 317 เป้าหมายการอัญเชิญ
ตอนที่ 317 เป้าหมายการอัญเชิญ
สมัยยังอยู่ที่หมู่บ้านกอร์ตู หากได้พบเจอเรื่องทำนองนี้ ลูเมี่ยนคงเก็บเทียบเชิญนั่นไว้ แล้วไปที่คาบาเร่ต์แกะดำในคืนจันทร์เต็มดวงด้วยความคึกคะนอง เพื่อลงมือก่อเรื่องอุกอาจ ตอบโต้ความตกใจที่ได้รับเมื่อครู่ทั้งหมด
แต่ตอนนี้ เด็กหนุ่มได้เรียนรู้โลกศาสตร์เร้นลับไปบ้าง ผ่านเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมาไม่น้อย จึงทำเพียงดีดนิ้ว ปล่อยประกายไฟแดงฉานออกไป ตกลงบนกระดาษแข็งพื้นหลังสีดำนั่น
ท่ามกลางแสงไฟที่ลุกลามรวดเร็ว ลูเมี่ยนถือโคมไฟคาร์ไบด์ ออกจากโพรงเหมืองหินทันที มุ่งหน้าสู่ทางออกใต้ดินทรีอาร์ใกล้ๆ
ระหว่างทาง เขาระแวงไปทุกสิ่ง รู้สึกว่าตะไคร่บนกำแพงหิน สัตว์เล็กสัตว์น้อยในความมืด รวมถึงสิ่งล่องหนในอากาศ ต่างกลายเป็นดวงตาของโมไนต์ จ้องมองมาโดยไม่ขยับเขยื้อน
นี่ยังไม่ถึงกับเห็นภาพหลอน แต่ก็ทำให้ลูเมี่ยนตึงเครียดตลอดเวลา หัวใจเต้นระรัว
สิ่งเดียวที่ช่วยให้วางใจคือ เทอร์มีโพลอสยังเอาแต่เงียบ มิได้แสดงความว้าวุ่นหรือกังวลใจ สื่อว่าปัญหายังไม่ร้ายแรงนัก
สิบห้านาทีต่อมา ลูเมี่ยนปีนบันไดเหล็ก กลับขึ้นมายังพื้นดิน
เมื่อแสงแดดสว่างสดใสส่องผ่านท้องนภาสีคราม ส่องผ่านปุยเมฆขาวโพลนลงมากระทบใบหน้า เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ฮึ่ย… ถึงว่ามาดามเมจิกเชี่ยนเคยแนะนำว่า ให้ใช้ชีวิตใต้แสงอาทิตย์ของทรีอาร์ให้มากเข้าไว้… ลูเมี่ยนปิดโคมไฟคาร์ไบด์ ไตร่ตรองตำแหน่งของตัวเอง แล้วเดินกลับไปยังถนนเสื้อนอกขาว
หลังจากเข้ามาในบ้านลับ สิ่งแรกที่เขาทำคืออัญเชิญผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยน เล่าเหตุการณ์หลังจากจดหมายฉบับก่อนให้ผู้ถือไพ่อาร์คาน่าใหญ่รายนี้ฟัง
ข้อความตอบกลับจากมาดามเมจิกเชี่ยนค่อนข้างสั้นกระชับ:
“ทำได้ดีมาก อยู่ห่างจากคาบาเร่ต์แกะดำเข้าไว้”
“เทวทูตกาลเวลาของมิสเตอร์ฟูลจะจัดการเรื่องนี้เอง”
เทวทูตกาลเวลาของมิสเตอร์ฟูลจะจัดการปัญหาของคาบาเร่ต์แกะดำ? มีอยู่จริงสินะ เทวทูตกาลเวลา… เทวทูตที่พวกนักต้มตุ๋นในคาบาเร่ต์แกะดำศรัทธา กับเทวทูตกาลเวลาของมิสเตอร์ฟูล มีความเกี่ยวพันกันบางอย่าง หรืออาจไม่ชอบหน้ากัน? ลูเมี่ยนใช้ความคิดสักพัก แต่ก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์
เขาวางใจลงชั่วคราว ล้มตัวลงบนเตียง ใช้การนอนหลับเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ
ยามเที่ยงวัน ลูเมี่ยนสุ่มกินพายเนื้อสองชิ้น ดื่มไซเดอร์แอปเปิลหนึ่งแก้ว แล้วนั่งลงบนโต๊ะ เริ่มพลิกอ่าน ‘ดัชนีข้อมูลสัตว์โลกวิญญาณ’ อย่างตั้งใจ
เขาอ่านด้วยความเร็วพอประมาณ พลางจับปากกาหมึกสีดำ คอยวงกลมหรือขีดเส้นใต้เป้าหมายที่คิดว่าเหมาะสมเป็นระยะ
ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง ลูเมี่ยนคัดกรองเสร็จเบื้องต้น ได้สัตว์โลกวิญญาณที่มีพลังค่อนข้างเหมาะสม ความเสี่ยงไม่สูง ราวห้าหกสิบชนิด แล้วดึงเอกสารต้นฉบับออกมา โดยอิงจากเลขหน้าที่บันทึกเขียนไว้ เพื่อทำการศึกษาอย่างละเอียด
เด็กหนุ่มอ่านไปสักครู่ สลับกับพักสักหน่อย พอถึงบ่ายแก่ๆ ก็อ่านต้นฉบับจบครบหนึ่งรอบ เริ่มมองเห็นภาพรวม จนกระทั่งได้ข้อสรุปออกมา:
ตัวแรกคือ ‘ท่อนแขนบวมเน่า’ สัตว์โลกวิญญาณซึ่งเคยทิ้งตำนานไว้ในแถบมัชฌิมทักษิณ — หลังจากถูกคนคลั่งไคล้ศาสตร์เร้นลับบางกลุ่มอัญเชิญออกมา ก็ลงมือบีบคอทุกคนในเหตุการณ์จนตาย
จากบันทึก ศพผู้ตายกระจัดกระจายอยู่ในป่า ยกเว้นรายแรกที่ตายก่อนใครในกระท่อมนายพราน เพื่อนที่เหลือเสียชีวิตเกือบจะพร้อมกัน บ่งบอกว่าหลังจาก ‘ท่อนแขนบวมเน่า’ บีบคอใครสักคนจนตาย มันจะหายตัวไปโผล่ด้านหน้าเป้าหมายถัดไปทันที แล้วลงมือบีบคอ
อ้างอิงจากภาพที่เห็นในการทำนายด้วยฝัน มันคือท่อนแขนเน่าเปื่อยที่ขาดออกจากร่าง สีดำอมเขียว บวมหนองเยิ้ม โดยจะปรากฏตัวต่อหน้าเหยื่ออย่างกะทันหัน หักคอภายในสองสามวินาที แล้วจึงหายตัวไปหาเหยื่อรายใหม่ แม้ทั้งสองฝ่ายจะอยู่ห่างกันนับร้อยเมตรก็ตาม
จากลักษณะเด่นที่ ‘ท่อนแขนบวมเน่า’ แสดงออกมา ลูเมี่ยนเชื่อว่ามันมีพลังในการ ‘เดินทางข้ามโลกวิญญาณ’ ในระดับที่ค่อนข้างสูง
ส่วนความอันตรายของมัน มาดามเมจิกเชี่ยนบรรยายไว้ค่อนข้างธรรมดา โดยจะถูกผูกมัดด้วยอำนาจของพิธีกรรมอัญเชิญ
ทว่า ผู้ถือไพ่อาร์คาน่าใหญ่รายนี้ยังเน้นย้ำเป็นพิเศษ:
“มันน่าจะเป็นส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง”
มีท่อนแขนขาดแล้ว จะมีขาขาด หัวขาด ลำตัวขาด เครื่องในขาดด้วยไหม? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกมันมาเจอกัน? ถ้าประกอบกลับไปเป็นร่างกายอีกครั้ง จะมีหน้าตาแบบไหน? ลูเมี่ยนลองนึกทบทวนตอนที่อ่านตารางดัชนี แต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตทำนองนั้นเลย เนื่องจากสนใจเพียงพลัง จุดเด่น และระดับความอันตราย แทบมิได้ปรายตาไปอ่านชื่อของพวกมัน
อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือ ส่วนที่เหลือของ ‘ท่อนแขนบวมเน่า’ จัดอยู่ในประเภท ‘ทรงพลัง’ หรือ ‘อันตราย’ ซึ่งฟรังก้า จินนา และ ‘กระต่ายพิทยา’ จงใจอ่านข้ามไป
หาก ‘ท่อนแขนบวมเน่า’ ไม่มีพลังในการ ‘เดินทางข้ามโลกวิญญาณ’ อย่างที่ลูเมี่ยนคาดเดา หรือต้องแลกมากับค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อทำพันธสัญญา เด็กหนุ่มยังมีตัวเลือกสำรองอีกมาก
สำหรับพลังในการปลอมตัว เขาให้ความสนใจกับสัตว์โลกวิญญาณที่ชื่อ ‘เจ้าสาวไร้หัว’ :
ในอาณาจักรฮาเก็นติบนทวีปใต้มีตำนานเล่าขานว่า แต่เดิม เธอคือสตรีที่หนีตามชายคนรักไป
ขณะคู่รักกำลังจัดพิธีสมรสกันตามลำพัง พ่อแม่และครอบครัวได้ตามมาพบเข้า พี่ชายจึงลงมือฆ่าเธอกลางพิธีแล้วตัดศีรษะทิ้ง โดยอ้างว่าน้องสาวดูหมิ่นพิธีสมรสอันศักดิ์สิทธิ์ ซ้ำยังทำผิดกฎตระกูล
หญิงสาวผู้นี้อาจมีพลังวิเศษอยู่ก่อนแล้ว หรือไปสัมผัสกับวัตถุเชิงโลกวิญญาณระหว่างหนีตามชายคนรัก ส่งผลให้ ท่ามกลางความทุกข์ระทม ความไม่ยอมจำนน ความเคียดแค้น รวมถึงความอาฆาตพยาบาทก่อนตาย เธอดูดซับพลังจากโลกวิญญาณ จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณมาร
สตรีในชุดเจ้าสาวสีแดงลายทอง ฆ่าล้างบางพร้อมกับสาปแช่งตระกูลตัวเองอย่างคลุ้มคลั่ง ส่งผลให้พวกเขาประสบเคราะห์กรรมนานัปการตลอดสามสิบปี จนกระทั่งสายเลือดขาดสูญ
ในปัจจุบัน ‘เจ้าสาวไร้หัว’ โลดแล่นอยู่ในโลกวิญญาณ โดยจะเปลี่ยนร่างไปเรื่อยๆ เพื่อล่อลวงสิ่งมีชีวิตโดยรอบ รวมถึง ‘นักเดินทาง’ ที่ผ่านไปมาให้เข้าใกล้ แล้วลงมือปลิดชีพ
สำหรับนักวางเพลิง นี่คือเป้าหมายที่ยังพอรับมือไหวภายใต้การปกป้องของพิธีกรรม
ตัวเลือกสำรองของ ‘เจ้าสาวไร้หัว’ คือ ‘ตั๊กแตนหน้าคน’
“มันคือสัตว์โลกวิญญาณที่ไม่ซ้ำใคร สมัยยังมีชีวิตเคยเป็นชายหนุ่มรูปงามบุคลิกดี”
“ประกอบอาชีพครูในเมืองเซน แคว้นโฮนาซิส ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐอินทิส ค่อนข้างได้รับความนิยมในหมู่สุภาพสตรี”
“เขามีพรสวรรค์ทางวรรณกรรม เขียนบทกวีได้ไพเราะ จึงเป็นที่รักของผู้คนจำนวนมาก”
“ชีวิตเช่นนี้ดำเนินไปจนกระทั่งสามีของสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ร้องเรียนต่อศาสนจักรว่าเขาเป็นจอมเวท ใช้เวทมนตร์ล้างสมองภรรยาของตน”
“ผู้ตรวจการที่ศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสส่งมา ได้ลองสอบถามผู้ชายท้องถิ่นหลายคน ได้รับคำตอบที่ใกล้เคียงกับเนื้อหาในจดหมายร้องเรียน ทั้งที่พวกเขาไม่รู้จักกันเลย ไม่เคยติดต่อกันมาก่อน”
“ในทางกลับกัน บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ต่างยืนกรานว่าตนสมัครใจเอง พยายามแก้ต่างให้ชายหนุ่มสุดชีวิต”
“ท่ามกลางกระแสความไม่พอใจของผู้ชายท้องถิ่น การพิจารณาคดีดำเนินมาถึงข้อสรุปอย่างรวดเร็ว หนุ่มเจ้าสำราญถูกจับมัดต้นเสาแล้วเผาทั้งเป็น”
“จากการตรวจสอบในภายหลัง ทางการยืนยันว่าหนุ่มเจ้าสำราญไม่ใช่จอมเวท ข้อกล่าวหาทั้งหมดเกิดจากความริษยา เกิดจากความเกลียดชังของกลุ่มคนหมู่มาก”
“มีข่าวลือว่า ‘นักกระตุ้น’ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ด้วย”
“หลังจากเสียชีวิต หนุ่มเจ้าสำราญก็กลายเป็นตั๊กแตนหน้าคนบนโลกวิญญาณ เกลียดชังทุกสิ่ง ถนัดการแปลงโฉม ถนัดการล่าเหยื่อ…”
ลูเมี่ยนอ่านข้อมูลของทั้งสองตัวจบ ก็พลันเกิดความเห็นใจ
ตลอดเกือบหกปีที่อาศัยอยู่ในชนบท เขาสัมผัสได้อย่างถ่องแท้ว่า ในหลายครั้งพวกชาวบ้านก็โง่บริสุทธิ์
เรื่องนี้ยังช่วยเปิดโลกให้เด็กหนุ่มด้วยว่า สัตว์โลกวิญญาณมิได้เกิดจากธรรมชาติทั้งหมด ในสถานการณ์เฉพาะเจาะจง มนุษย์ที่เสียชีวิตก็อาจกลายเป็นสัตว์โลกวิญญาณอายุยืนได้เช่นกัน บางที นี่คงเป็นสาเหตุที่สถานที่บางแห่งมีข่าวลือเกี่ยวกับผีสิง
หลังจากไตร่ตรองหลายตลบ ลูเมี่ยนตัดสินใจปล่อยมือจากพลัง ‘ล่องหน’ หรือ ‘พรางตัว’ โดยจะสงวนสัญญาฉบับสุดท้ายไว้ให้พลังที่สามารถเล่นงานวิญญาณได้โดยตรง
เขามีสองตัวเลือกสำรองคือ ‘มารพันเนตร’ และ ‘เงาหวีดร้อง’
ทั้งสองชนิดนี้เป็น ‘พลเมือง’ โลกวิญญาณ ปรากฏตัวเป็นครั้งคราวเฉพาะในบางฝันร้าย รวมถึงในบันทึกของจอมเวทตัวจริง
‘มารพันเนตร’ ประกอบจากเลือดเนื้อและของเหลวสีชมพู จับตัวกันเป็นก้อน แต่ละก้อนมีดวงตาไร้ขนตาติดอยู่
หากร่างของเหยื่อสะท้อนอยู่ในรูม่านตาสีดำท่ามกลางตาขาวนับพัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ร้าย หรือสิ่งมีชีวิตที่เหลือเพียงวิญญาณ ก็ล้วนเข้าสู่ภวังค์หลับใหลในพริบตา
มารพันเนตรเชื่อมโยงกับความฝันในระดับหนึ่ง จากบรรดาฝันร้ายที่ถูกบันทึกไว้ ร่างของมันปรากฏให้เห็นประปรายด้วยรูปลักษณ์อันน่าพรั่นพรึงเหนือพรรณนา
‘เงาหวีดร้อง’ คือกลุ่มก้อนเงาลึกลับขนาดใหญ่ คอยส่งเสียงร้องหวีดหวิว ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เข้าใกล้หมดสติ
นอกจากเสียงหวีดร้อง มันยังมีจุดเด่นตามธรรมชาติของเงาด้วย
ลูเมี่ยนคัดลอกข้อมูลเป้าหมายสำรองทั้งหมดลงบนกระดาษแผ่นใหม่ พับมันแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อ
เด็กหนุ่มหมกตัวอยู่ที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยสักพัก แล้วออกจากถนนใหญ่ตลาดราวสี่ทุ่มตรง หักเลี้ยวไปทางท่าเรือริสต์ เดินเข้าไปในอาคารสองชั้นที่ตัวเองเพิ่งเผาทิ้งไปเมื่อวันก่อน
ไฟดับมอดไปนานแล้ว ตัวอาคารมืดสนิท ไร้ผู้คน
คำนึงจากการที่วันนี้ ลูเมี่ยนจะวิงวอนให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเป็นสักขีพยานขณะทำพันธสัญญา มิใช่องค์ซ่อนเร้นเจ้าของนามชะตากรรม เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจไม่ลงไปทำพิธีกรรมใต้ดิน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกนักต้มตุ๋นประหลาด รวมถึงภัยอันตรายจากคาบาเร่ต์แกะดำ
เขาแค่เลือกสถานที่ปลอดคน อีกทั้งยังค่อนข้างเร้นลับ เพราะต่อให้เกิดเหตุไม่คาดฝันเล็กน้อยระหว่างพิธี สัตว์โลกวิญญาณที่อัญเชิญมาเกิดคลุ้มคลั่ง ก็จะไม่มีใครต้องโดนลูกหลง สามารถจัดการได้อย่างใจเย็น
ลูเมี่ยนเจาะจงเลือกห้องที่ยังมีสภาพค่อนข้างดีในส่วนลึกของอาคารมืดทึบ ทำความสะอาดพอเป็นพิธี แล้วเริ่มจัดแท่นบูชา
อาศัยความรู้ติดตัวจากผู้ถือพันธสัญญา คราวนี้เด็กหนุ่มมิได้อัญเชิญในนามของตัวเอง จึงต้องจุดเทียนไขเพิ่มอีกสองเล่ม เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนองค์เทพ
มิสเตอร์ฟูลคือเป้าการสวดวิงวอน รวมถึงเป็นสักขีพยานของพิธี
สร้างกำแพงวิญญาณเสร็จ จุดเทียนไข หยดน้ำมันหอมระเหยกับสารสกัดดอกไม้ลงไป ลูเมี่ยนไม่รีบร้อนท่องคาถา เพียงล้วงกระติกสนามสีเทาเหล็กออกจากกระเป๋าด้านในของเสื้อนอกสีน้ำตาล
ตรงปากกระติกสนามมีเชือกเส้นเล็กที่ลูเมี่ยนหย่อนลงไป ปลายเชือกอีกฝั่งผูกติดกับเข็มกลัด ‘มีหน้ามีตา’ ที่จมอยู่ในอัปแซ็งต์
โครงสร้างนี้ช่วยให้ลูเมี่ยนหยิบสมบัติปิดผนึกได้แม่นยำฉับไว โดยไม่ต้องเทเหล้าออกมาหา หรือใช้สองนิ้วควานหาภายใน
เพียงลูเมี่ยนงอนิ้วชี้ เข็มกลัดดอกสก็อตบรูมก็ถูกดึงขึ้นมาในพริบตา
ประกายไฟสีแดงแลบแปลบ ตัดปมเชือกที่ปลายสมบัติปิดผนึก
ลูเมี่ยนไม่ลังเล ปักเข็มกลัด ‘มีหน้ามีตา’ ที่เปล่งประกายสีทองลงบนหน้าอก
เด็กหนุ่มมองว่าการจ่ายค่าตอบแทน รวมถึงการทำสัญญากับสัตว์โลกวิญญาณ เทียบได้กับ ‘การติดสินบน’ หรือก็คือ เข็มกลัด ‘มีหน้ามีตา’ อาจมีบทบาทบางอย่าง
ติดเข็มกลัดเสร็จ ลูเมี่ยนจ้องมองเปลวเทียนสามดวงที่ลุกไหม้อย่างเงียบงัน สูดลมหายใจยาวหนึ่งครั้ง เตรียมประกอบพิธีกรรม
………………………………………..