ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 308 ทางเลือกที่ไม่อาจทำความเข้าใจ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 308 ทางเลือกที่ไม่อาจทำความเข้าใจ
ตอนที่ 308 ทางเลือกที่ไม่อาจทำความเข้าใจ
อ็องโตนี·รีดวัยกลางคนที่มีน้ำมีนวล ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง
“ตอนนั้นอารมณ์ของผมค่อนข้างคุกรุ่น ถึงขนาดอ่านไม่ออกว่าประโยคนั้นจริงหรือเท็จ”
“อย่างที่คิด ผู้ชมควรทำตัวเป็นผู้ชมเฉยๆ ก็พอสินะ”
ลูเมี่ยนกลับไปนั่งลงใหม่ ยิ้มแล้วพูด
“ผิดแล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น”
“ทำไมผมถึงต้องลงจากเก้าอี้สูง ทำไมผมต้องกระซิบข้างหูคุณจากด้านหลัง? ก็เพื่อไม่ให้คุณเห็นสีหน้ากับภาษากายของผมไงล่ะ”
“ตอนนั้นอารมณ์ของคุณกำลังปั่นป่วน ยิ่งไม่เห็นกิริยาท่าทางของผม ก็ยิ่งอ่านข้อเท็จจริงไม่ออก”
อ็องโตนี·รีดเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูด
“นั่นคือหนึ่งในเหตุผล อีกเหตุผลก็คือ พฤติกรรมแบบนั้นของคุณ ค่อนข้างสอดคล้องกับนิสัยปกติของคุณ… ผมไม่แน่ใจว่าคุณรู้ตัวไหม บางครั้งคุณก็ทำเป็นเท่ หรือถ้าจะเรียกตามกระแสสมัยนี้คือ ‘แอ็ค’”
“เมื่อสักครู่ ผมมองว่าพฤติกรรมเหล่านั้น คือสิ่งที่คุณมักจะทำในสถานการณ์แบบเดียวกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอตัวเอง รวมถึงเสริมอำนาจให้กับคำพูด จึงไม่เกิดความสงสัย”
ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ
“คนหนุ่มอย่างผม คงเลี่ยงการทำเท่ไม่ได้หรอก ซึ่งมันดันช่วยอำพรางเจตนาที่แท้จริงได้พอดี ไม่สิ ทั้งสองอย่างล้วนเป็นของจริง จึงไม่มีใครมองทะลุมันได้”
เฉกเช่นในยามที่เขาชอบสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง โฉบวนด้วยอีกาเพลิง ระดมยิงศัตรูไปพร้อมกับย่างสามขุมเข้าหาอีกฝ่าย นอกจากจะเท่ระเบิดแล้ว ยังถือโอกาสกำนิ้วของมิสเตอร์ K เพื่อรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน
อ็องโตนี·รีดครุ่นคิดพลางพยักหน้า
“เจตนาชั้นนอกจะต้องมีความจริงมากพอ จึงจะหลอกผู้ชมได้”
ลูเมี่ยนยกเท้าขวาพาดหัวเข่าซ้าย แล้วดึงบทสนทนากลับสู่ประเด็น
“ที่เรายังไม่สืบหาตัวบุคคลหรือกลุ่มอิทธิพลเบื้องหลังฮิวจ์·อาร์ทัวส์ ก็เพราะตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ แต่ไม่ต้องห่วง หลังจากสัปดาห์หน้า เราจะติดตามคดีนี้อย่างจริงจัง โดยอาศัยแหล่งข่าวกรองจากวงใน”
แผนของเด็กหนุ่มคือ ให้จินนาไปสอบถามความคืบหน้าการสืบสวนขยายผลในคดีฮิวจ์·อาร์ทัวส์จาก ‘ผู้ชำระ’ โดยทำทีเป็นว่าอยากเสนอตัว ‘ช่วยเหลือ’
ในฐานะผู้ลอบสังหารฮิวจ์·อาร์ทัวส์ ย่อมไม่แปลกหากจินนาจะสนใจความคืบหน้าของคดี รวมถึงการนำตัวคนผิดทั้งหมดมาลงโทษอย่างสาสม
ในเมื่อจินนาเองก็คิดและเต็มใจจะทำแบบนี้อยู่แล้ว ลูเมี่ยนไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มเติม เพียงแค่ตักเตือนนิดหน่อยก็พอ
เมื่อถึงตอนนั้น ถ้ามีงานที่ผู้ชำระไม่สะดวกออกหน้าหรือลงมือทำเอง อีกฝ่ายจะบอกใบ้เป็นนัยผ่านการให้ข้อมูล เพื่อชี้นำให้จินนากับผองเพื่อนลงมือแทน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะต้องมีส่วนที่เป็นประโยชน์กับอ็องโตนี·รีดแน่นอน
กระจกตาสีน้ำตาลเข้มของผู้ชมรายนี้ สะท้อนภาพของลูเมี่ยน พลางเงียบฟังบทสนทนาจนพบ
นักค้าข่าวพยักหน้าแผ่วเบา จนแทบไม่สังเกตเห็น
“ผมจะพักที่นี่ต่ออีกสักระยะ”
การสื่อสารกับผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมนี่สะดวกสบายจริงๆ ไม่ต้องแต่งเรื่องหาข้ออ้างมาโน้มน้าวให้เชื่อใจกัน อีกฝ่ายสามารถตัดสินใจได้เองว่าเราพูดจริงหรือโกหก… ลูเมี่ยนยิ้มพลางชี้ไปบนเตียง
“นั่งสิ”
เพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวจริงของจินนา ไม่ต้องเปิดเผยเรื่องที่เธอกลายเป็นสายข่าวให้ผู้ชำระแล้ว
อ็องโตนี·รีดยืนอยู่หน้าประตู ไม่ขยับเขยื้อนไปสักพัก จนกระทั่งเอ่ยปาก
“ประสบการณ์ของผม คุณเดาได้เกือบหมดแล้ว ยังมีอะไรที่อยากฟังอีกหรือ”
“ผมอยากฟังอย่างละเอียด” ลูเมี่ยนไม่เกรงใจ
หลังจากผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งการปะทะกับแก๊งหนามพิษ สมาคมเสียวซ่าน หายนะที่หมู่บ้านกอร์ตู การจากไปของคู่รักรูเอลมิเชล โรงงานเคมีโกลด์ไวร์ระเบิด เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกเกลียดชังเหล่าเทพมารและบรรดาสาวก ผิดกับแต่ก่อนที่แทบไม่ใส่ใจ
เดิมทีเขาเคยคิดว่า คนอื่นอยากนับถืออะไรก็นับถือไป ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน แต่ตอนนี้มุมมองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สาวกเทพมารที่ดี มีแค่สาวกเทพมารที่ไม่หายใจเท่านั้น ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะนำพาความฉิบหายมาสู่ตัวเองและคนรอบข้าง
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงมิได้หลอกอ็องโตนี·รีด เมื่อสักครู่ เขาตั้งใจจริงว่าถ้ามีเวลาว่าง จะลองสืบสาวคดีของฮิวจ์·อาร์ทัวร์ดู เพื่อจับกุมสาวกเทพมารให้ได้มากขึ้น
อีกทั้งนี่ยังเป็นการเอาใจมิสเตอร์ K กับชุมนุมแสงเหนือไปในตัว
แน่นอน การที่หัวหน้าหน่วยแก๊งซึ่งยังถูกออกหมายจับอยู่ อาสาช่วยเหลือทางการปราบปรามลัทธินอกรีต มันก็ฟังดูประหลาดชอบกล
สีหน้าของอ็องโตนี·รีดหม่นลงเล็กน้อย
“ในช่วงท้ายของสงครามกับราชอาณาจักรโลเอ็น ผมกับเพื่อนร่วมรบประจำการอยู่ ณ เส้นทางยุทธศาสตร์บริเวณเชิงเขาโฮนาซิสฝั่งเหนือ ผู้บังคับบัญชาของเราในตอนนั้นคือพันตรีฮิวจ์·อาร์ทัวร์”
“เราถูกแบ่งออกเป็นสามกองร้อย กระจายกันไปสามจุด ทั้งเพื่อป้องกันมิให้หน่วยผู้วิเศษจากราชอาณาจักรโลเอ็นข้ามเส้นทางอันตรายมาตลบหลังเรา และเพื่อต้านรับการโจมตีจากแนวรบ”
“คืนนั้น ผมถูกปลุกจากนิทราด้วยเสียงปืนและเสียงระเบิด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก เห็นเพื่อนร่วมรบถูกเล่นงานด้วยการโจมตีทีเผลอ เป็นศพไปทีละคนสองคน เห็นศีรษะของพวกเขาระเบิดกระจาย ร่างกายถูกฉีกขาด พื้นเต็มไปด้วยแอ่งเลือดบ่อใหญ่…”
เล่าถึงตรงนี้ อ็องโตนี·รีดเริ่มหายใจหอบ ราวกับเพิ่งตระหนักถึงการกระทบกระเทือนทางจิตที่ได้รับจากเหตุการณ์ดังกล่าว
เขาหยุดไปสองสามวินาทีก่อนจะเล่าต่อ
“ในช่วงกลางสงคราม ผมบังเอิญสัมผัสกับประสบการณ์บางอย่าง จนมีโอกาสได้เลื่อนลำดับ แต่มิได้รายงานให้ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ทราบ ในคืนเกิดเหตุ ผมใช้พลังใหม่ที่ได้รับมา พาเพื่อนร่วมรบที่บาดเจ็บอีกสี่คนหนีออกจากวงล้อม แล้วถอยร่นไปแนวหลัง”
“ในบรรดาพวกเขา มีสองคนบาดเจ็บสาหัส จนต้องถูกทิ้งร่างไว้กลางภูเขาไปตลอดกาล ผมยังจำแววตาที่เจ็บปวดและไม่ยินยอมพร้อมใจของพวกเขาได้จนถึงทุกวันนี้”
“เดิมที ผมคิดว่าอีกหนึ่งในสองค่ายของเราถูกตีแตก หรือไม่ก็มีเรือบินลำเลียงพลของโลเอ็นข้ามฝั่งมาส่งกำลังพลตลบหลัง แต่ในภายหลังได้ทราบว่า สาเหตุเกิดจากกองร้อยที่ฮิวจ์·อาร์ทัวส์สั่งการด้วยตัวเอง ถอยร่นไปหลังจากถูกข้าศึกโจมตีทดสอบเชิงยุทธวิธี โดยไม่ยอมแจ้งข่าวให้พวกเราทราบ!”
ลูเมี่ยนคิดสักพักก่อนจะพูด
“ตอนที่ฮิวจ์·อาร์ทัวส์สั่งถอย ไม่มีทหารในกองร้อยของมันสงสัยบ้างหรือ ไม่มีใครเรียกร้องให้แจ้งข่าวกับพวกพ้องในอีกสองกองร้อยที่เหลือเลยหรือ?”
“ฮิวจ์·อาร์ทัวส์เป็นผู้บังคับบัญชาของเรา หมอนั่นเป็นคนมีวาทศิลป์ ซ้ำยังอ้างว่าเป็นคำสั่งจากนายพลฟิลิปโดยตรง” อ็องโตนี·รีดเล่าด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ตอนนั้น ทหารในกองร้อยของเขาต่างก็เชื่อว่า ฮิวจ์·อาร์ทัวส์สั่งการให้อีกสองค่ายถอยทัพแล้ว… จวบจนปัจจุบัน ผมก็ยังไม่เข้าใจเลยว่า ทั้งที่พวกเขามิได้ถูกคุกคามระหว่างล่าถอย เหตุใดฮิวจ์·อาร์ทัวส์ถึงต้องสังเวยพวกเรา… แค่ยิงสัญญาณแจ้งเตือนสักนิด ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องเสียเวลามากมาย หรือเกิดความเสียหายใดเลย”
“อาจแค่ตื่นเต้นเกินไปจนลืมก็ได้” ลูเมี่ยนไม่มีเจตนาจะแก้ต่างให้ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ที่ตายไป เพียงแต่ชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ทางอื่น
อ็องโตนี·รีดส่ายหน้า
“เขาไม่ใช่ทหารใหม่เพิ่งหัดรบเสียหน่อย ในศึกก่อนหน้านั้นสองสามหน เขาบัญชาทัพได้ดีมาก ซ้ำยังเคยผ่านการพิสูจน์ตัวเองในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาแล้ว”
ลูเมี่ยนเลิกคาดเดา เพียงรอให้อ็องโตนี·รีดเล่าต่อ
“หลังจากได้ล่วงรู้ความจริง ผมกับเพื่อนอีกสองคนพยายามแจ้งความต่อกรมสารวัตรทหารและศาลทหาร หวังเอาผิดกับฮิวจ์·อาร์ทัวส์ให้ได้ แต่กลับไม่มีความคืบหน้าเลย พวกเขาแจ้งเพียงว่า ไม่สามารถใช้การคาดเดามาเป็นหลักฐาน”
“เราสามคนทำได้เพียงมองฮิวจ์·อาร์ทัวส์เข้าสู่เส้นทางการเมืองหลังสงครามจบ มองดูมันได้ดิบได้ดีเมื่อเวลาผ่านไป”
“เพื่อนอีกสองคนสุขภาพไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทยอยจากไปทีละคนท่ามกลางความโกรธแค้นและเจ็บปวด จนกระทั่งฮิวจ์·อาร์ทัวส์ประกาศลงสมัครสส. ในเขตตลาดในนามพรรคหัวก้าวหน้า ผมจึงย้ายมาพักอยู่ที่นี่”
ลูเมี่ยนพยักหน้าแผ่วเบา แล้วจึงถาม
“นักค้าข่าวคือตัวตนที่คุณใช้บังหน้าสินะ?”
“ไม่เชิง ตลอดหลายปีมานี้ ผมดำรงชีพด้วยการขายข้อมูล” อ็องโตนี·รีดหัวเราะเยาะตัวเอง “แล้วอีกอย่าง ตัวตนแบบนี้ยังง่ายต่อการตามสืบฮิวจ์·อาร์ทัวส์ด้วย”
“แล้วได้อะไรบ้างไหม” ลูเมี่ยนถือโอกาสถาม
อ็องโตนี·รีดตอบด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“เส้นทางการเมืองของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ดูไม่ผิดปกติเท่าไร นายพลฟิลิปเป็นคนชักชวนมันเข้าวงการ แถมยังคอยหนุนหลัง จนได้รับเสียงชื่นชมจากสมาชิกเก่าแก่ของพรรคหัวก้าวหน้าหลายคน อีกทั้งยังมีฝีปากเก่งกล้า ช่ำชองการปราศรัย คอยสานสัมพันธ์กับตระกูลขุนนางเก่าแก่อย่างเป็นเรื่องเป็นราว จนมีทรัพยากรบุคคลเป็นของตัวเอง”
“แล้วได้ตามสืบนายพลฟิลิปไหม” ลูเมี่ยนถามตรงไปตรงมา
อ็องโตนี·รีดถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะตอบ
“ผมยังไม่ทันจะเริ่มสืบเรื่องของนายพล เขาก็ชิงเสียชีวิตไปก่อน ข้อมูลเปิดเผยว่าตายเพราะอาการป่วย”
ลูเมี่ยนซักถามอีกสองสามประโยค ก่อนจะกล่าวว่า
“ไว้ผมได้รับข้อมูลเพิ่มเติม จะมาปรึกษากับคุณใหม่”
“ตกลง” อ็องโตนี·รีดสังเกตเห็นความจริงใจในตัวเด็กหนุ่ม
…………
หลังออกจากโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนกลับไปยังบ้านลับบนถนนเสื้อนอกขาว เปิดตู้นิรภัยโลหะ แล้วหยิบเอกสารสัตว์โลกวิญญาณปึกหนาๆ ออกมา
ในนั้นมีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งแทรกอยู่ หน้าปกเขียนว่า ‘รอบรู้โลกวิญญาณ’ ลูเมี่ยนพลิกอ่านไปได้เพียงสองหน้า ก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ วิงเวียนศีรษะ กระวนกระวาย และวิตกกังวล
เป้าหมายของเขาในตอนนี้มิใช่การทำความเข้าใจโลกวิญญาณ แต่เป็นการค้นหาสัตว์โลกวิญญาณที่เหมาะสม จึงรีบปิดสมุดบันทึก แล้วมุ่งความสนใจไปยังนิยามของสัตว์โลกวิญญาณชนิดต่างๆ
ด้วยเหตุผลบางประการ หลังจากอ่านไปได้เพียงครึ่งชั่วโมงกว่า ลูเมี่ยนก็รู้สึกเหมือนพลังงานถูกสูบออกจากร่าง หัวสมองขาวโพลน จึงต้องยุติเร็วกว่ากำหนด แล้วทิ้งตัวนอนบนเตียง เข้าสู่ห้วงนิทราอันลึกล้ำ
เช้าตรู่วันถัดมา ลูเมี่ยนมาที่ห้อง 601 อพาร์ตเมนต์เลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว สั่นกริ่งหน้าประตู
ฟรังก้าตื่นนอนแล้ว จึงแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขี่ม้าเหมือนอย่างเคย สองตามองลูเมี่ยนพลางถามไถ่
“เช้าขนาดนี้มาทำอะไร”
ลูเมี่ยนมองไปยังจินนาในห้องนั่งเล่น ยิ้มแล้วตอบ
“ไม่ใช่ว่าวันนี้จินนาจะเลื่อนลำดับเป็นนักกระตุ้นหรอกหรือ? ผมเลยอยากมาดูหน่อย”
ฟรังก้าย่นคิ้วเล็กน้อยพลางพึมพำ
“เป็นห่วงเป็นใยจังนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ลูเมี่ยนยิ้มร่าเริง “พอเธอได้เป็นนักกระตุ้น ก็จะมีประโยชน์กับผมในปฏิบัติการล้อมจับกิโยม·เบเนต์ ถึงแม้จะคาดหวังให้สู้ตรงๆ ไม่ได้ แต่หากเป็นการลอบเร้น หรือการสืบข้อมูล หรือการเฝ้าระวัง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
จินนา ‘เฮ่อ’ หนึ่งคำอย่างเหยียดหยัน ส่วนฟรังก้าเดาะลิ้นพลางพูดติดตลก:
“ปากคุณนี่ยังกับทาน้ำผึ้งไว้เลยนะ”
“แบบที่ย่อยแล้วน่ะหรือ?” ลูเมี่ยนรู้จักตัวเองดี
………………………………………………