ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 305 ทดสอบ
ตอนที่ 305 ทดสอบ
ลูเมี่ยนมิได้รีบร้อนที่จะอ่านเอกสารเกี่ยวกับสัตว์โลกวิญญาณซึ่งค่อนข้างหนา เพียงวางเอกสารเหล่านั้นลงในตู้เหล็กที่เพิ่งซื้อมา ด้วยกันกับสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์
ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นที่ต้องทำ
เด็กหนุ่มเปิดฝาขวดปากกว้าง แล้วสอดมือเข้าไปในสุราสีเขียวเข้ม คว้าเข็มกลัดทรงดอกสก็อตบรูมนามว่า ‘มีหน้ามีตา’ ออกมา
ลูเมี่ยนอยากลองทดสอบคุณสมบัติและความรุนแรงของผลข้างเคียงของมันเดี๋ยวนี้เลย
เขาไม่อาจรอจนถึงเวลาต่อสู้จริงแล้วค่อยหัดทำความคุ้นเคย เพราะมันฉุกละหุกเกินไป คงยากที่จะใช้งานให้สอดคล้องกับพลังวิเศษและจังหวะการโจมตีของตน
ในทำนองเดียวกัน ระดับความรุนแรงของผลข้างเคียง จำเป็นต้องทดสอบขณะร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเฉกเช่นในปัจจุบัน มิใช่เสี่ยงเผชิญหน้ากับมันขณะร่างกายและจิตใจอ่อนแอลงจากการต่อสู้
หากลูเมี่ยนศึกษาธรรมชาติของผลข้างเคียงไว้ล่วงหน้า ก็ย่อมตัดสินใจได้ง่ายว่าควรหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงส่วนใหญ่อย่างไร เมื่อถูกบังคับให้ต้องใช้ ‘มีหน้ามีตา’
นักล่าที่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธของตัวเอง มักจะพบกับความพ่ายแพ้ได้ง่าย!
ลูเมี่ยนติดเข็มกลัดรูปดอกสก็อตบรูมไว้บนหน้าอก แล้วเริ่มจดจ่อสมาธิ พยายามรับรู้สัมผัส
ระหว่างนี้ เด็กหนุ่มตระหนักถึงกระแสลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่าง จึงลุกขึ้นยืนด้วยความคิดหนึ่ง ยื่นมือขวาออกไปปิดหน้าต่างที่เปิดแง้มให้สนิท
เมื่อสิ้นสุดการกระทำ ลมในห้องก็อันตรธานหายไปทันใด ราวกับถูกกระจกหน้าต่างกั้นไว้อย่างสิ้นเชิง
ลูเมี่ยนหมุนตัวเดินไปทางประตู เปิดประตูห้องแล้วปิดเบาๆ
บ้านลับแห่งนี้กลายเป็นเงียบสงัดทันใด ประหนึ่งมิติที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
ลูเมี่ยนนั่งลงอีกครั้ง ปล่อยให้ร่างกายแผ่บรรยากาศที่สัตว์เล็กๆ รังเกียจ จนพวกมันเกิดความเกลียดชังและแค้นเคือง
นี่เป็นการประยุกต์ใช้พลัง ‘ยั่วยุ’ อย่างหนึ่ง
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียง ‘จิ๊ดๆ’ ดังแว่ว หนูตัวหนึ่งโผล่ออกจากที่ใดสักแห่ง ขู่ฟ่อใส่ลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มงอนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเข้าหากัน แล้วดีดออกไปอย่างไม่ยี่หระ
ประกายไฟสีแดงพุ่งออกจากนิ้ว ชนกับตัวหนูขนดำ เผาจนมันร้องจิ๊ดจ๊าดด้วยความทรมาน
หนูที่ถูกย่างจนเจ็บปวดรวดร้าวหลุดพ้นจากอิทธิพลการ ‘ยั่วยุ’ ทันที เริ่มวิ่งวุ่นไปทั่วห้องเพื่อหาทางหนี
แต่ไม่ว่าจะเป็นร่องประตูหรือรูหนูที่มันเคยขุดไว้ ต่างก็ถูกปิดกั้นด้วยพลังที่มองไม่เห็น ผลักมันกลับมา
มันขาดความสามารถในการ ‘เปิดประตู’
ลูเมี่ยนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ใช้หนูตัวนี้ทดสอบความสามารถด้านอื่นของเข็มกลัด ‘มีหน้ามีตา’
ผ่านไปราวๆ สิบสองสิบสามนาที ลูเมี่ยนซึ่งไม่มีนาฬิกาพกสำหรับจับเวลาอย่างแม่นยำ เลือกที่จะไม่เสี่ยง ตัดสินใจถอดเข็มกลัดมีหน้ามีตาออก แล้วโยนมันใส่สุราสีเขียวเข้ม
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มดีดลูกไฟเล็กๆ สีแดงสดออกไปอีกครั้ง ยุติชีวิตของหนูตัวนั้น กลิ่นหอมของไขมันที่ถูกย่างลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง
ลูเมี่ยนเก็บขวดปากกว้างใบดังกล่าวให้เรียบร้อย แล้วออกจากบ้านลับ เตรียมทดสอบดูว่า ‘ความน่ารังเกียจ’ จะร้ายแรงสักเพียงใด
ณ ยามเย็นที่โคมไฟถนนถูกจุดให้สว่างทีละดวง เมื่อเด็กหนุ่มเดินออกจากประตูอพาร์ตเมนต์ ก็รู้สึกเหมือนคนเดินถนนและพ่อค้าแม่ขายรอบข้าง พากันหันมามองเป็นตาเดียว
ทุกคนทำราวกับกำลังมองสิ่งที่ตัวเองเกลียดชังที่สุด คิดแต่จะหยิบมีดที่ถืออยู่ หรือขวดบรรจุสุรา หรือหม้อเหล็กที่กำลังต้มอาหาร ขึ้นมาทำร้ายร่างกายลูเมี่ยน
เรือนผมสีทองปนดำอันเป็นเอกลักษณ์ของ ‘ราชสีห์’ ชาร์ล ทำให้พวกเขาไม่เปลี่ยนแรงกระตุ้นเป็นการลงมือทำ
นี่มัน… ยังกับการ ‘ยั่วยุ’ วงกว้าง… แต่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเรา… ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปเบื้องต้น พลางเดินริมถนนท่ามกลางสายตาไม่เป็นมิตรจากรอบข้าง มุ่งหน้าไปยังถนนใหญ่ตลาด
พอดีกับตอนนั้น ตำรวจสองนายในเครื่องแบบสีดำ สวมอินทรธนูเงิน คาดปืนพกประจำกาย เดินลาดตระเวนมา
ทันทีที่พวกเขาเห็นลูเมี่ยน ก็ชี้ไม้ชี้มือมาทันที ตะโกนเสียงดังโหวกเหวก
“หยุดนะ! มาให้ค้นตัวเดี๋ยวนี้!”
ทรงพลังชะมัด… ลูเมี่ยนไม่พูดสักคำ หมุนตัวแล้วเผ่นหนีทันที
“หยุดนะ!”
ตำรวจทั้งสองนายตะโกนอีกสองสามหน พลางชักปืนพกออกมา เล็งใส่แผ่นหลังลูเมี่ยน
ลูเมี่ยนขยับขาหลบเท้าขวาที่ยื่นมาจากฝูงชนได้ทันฉิวเฉียด เลี้ยวพลิกตัวอย่างแคล่วคล่อง เข้าไปในตรอกที่มีเครื่องกีดขวางบดบังไปกว่าครึ่ง พุ่งเข้าทางลงใต้ดินทรีอาร์โดยไม่หันหลังกลับ
เด็กหนุ่มมิได้พกโคมไฟคาร์ไบด์ และไม่มีเนตรมองกลางคืน แต่นักวางเพลิงสามารถสร้างแสงสว่างได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด
ลูกไฟสีแดงสว่างขึ้นเหนือศีรษะและหัวไหล่ทั้งสองของลูเมี่ยน ไม่นานเขาก็สลัดตำรวจทั้งสองนายได้ไม่ยากเย็น มุ่งหน้าไปยังทางออกใต้ดินอีกแห่งใกล้ๆ ถนนเสื้อนอกขาว
ระหว่างเดินไป ลูเมี่ยนพลันหมุนตัวไปด้านข้าง หลบร่างดำที่พุ่งออกจากมุมหนึ่ง
มันคือสัตว์เลื้อยคลานที่มีเกล็ดสีดำอมเขียว
อีกฝ่ายยกครึ่งบนร่างกายขึ้น แลบลิ้นสีแดงสดคุกคาม พลางเผชิญหน้ากับลูเมี่ยน
ไอ้ที่เกลียดเราไม่ได้มีแค่มนุษย์สินะ… ต้องเห็นหรือสัมผัสจึงจะส่งผล… ลูเมี่ยนถอนหายใจพลางส่ายหน้า ยิงไฟออกไปหนึ่งลูก ระเบิดงูพิษสีดำอมเขียวนั่นเป็นสามท่อน ส่งกลิ่นหอมย่างลอยฟุ้งไปทั่ว
เนื่องจากยืนยันความรุนแรงของผลข้างเคียงได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มไม่คิด ‘เสี่ยง’ อีกต่อไป มองหาถ้ำหินปลอดสิ่งมีชีวิตใกล้ๆ แล้วดับลูกไฟนั่งท่ามกลางความมืด รอให้ผลข้างเคียงเลือนหายไปอย่างเงียบงัน
ราวๆ หนึ่งชั่วโมงถัดมา เขาลุกขึ้นยืน สร้างลูกไฟสีแดงสามลูกขึ้นมาใหม่ หนึ่งเหนือศีรษะ หนึ่งบ่าซ้าย และหนึ่งบ่าขวา เพื่อมอบแสงสว่างแก่ทางเดินด้านหน้า
ไม่นานนัก ลูเมี่ยนก็มาถึงทางออกใต้ดินใกล้กับถนนเสื้อนอกขาว มองเห็นร่างหนึ่งถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินมาจากอุโมงค์ด้านข้าง
เด็กหนุ่มหัวเราะ ยกมือขวาโบกไปมา
“เธอก็กลายเป็นหนูที่ชอบทำกิจกรรมในทรีอาร์ใต้ดินไปอีกคนหรือ?”
อีกฝ่ายคือจินนา
จินนาก็เห็นลูเมี่ยนเช่นกัน จึงพูดพลางขมวดคิ้ว
“คุณใช้ ‘ยั่วยุ’ สินะ? ทำไมถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้!”
“ก็ทำนองนั้น” ลูเมี่ยนตอบกำกวม
จินนามิอาจควบคุมความรู้สึกเกลียดขี้หน้าภายในใจ จึงเผลอพูดออกมา
“บัดซบ! ทำไมคุณต้องใช้ ‘ยั่วยุ’ กับฉันด้วย!”
ไม่เลว… ไม่ได้ปรี่เข้ามาชกทันที แสดงว่ายังมองเราเป็นเพื่อนอยู่… ขณะผลข้างเคียงค่อยๆ จางลง ความรุนแรงก็คงทำนองนี้สินะ… ลูเมี่ยนยิ้ม อธิบายอย่างรวบรัด
“ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตัวผมเลยมีกลิ่นอายที่ทำให้คนเกลียด แต่อีกเดี๋ยวก็หายไปแล้ว”
เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องคุย พลางมองจินนาที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวอ่อน กระโปรงยาวสีเหลืองอ่อน ผมยาวสลวยปล่อยสยาย ไม่แต่งหน้าเลย ซ้ำยังมีตราศักดิ์สิทธิ์สุริยันแผ่นเล็กห้อยอยู่ตรงคอ
“แล้วเธอมาทำอะไรในทรีอาร์ใต้ดิน?”
จินนาที่ดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยในเขตหอรำลึก หยักปากเล็กน้อยก่อนจะเล่า
“มาพบ ‘ผู้ชำระ’ สองคนนั้นน่ะ”
“คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าให้ฉันทำตัวศรัทธาต่อองค์สุริยันอย่างแรงกล้า? นี่ถึงกับลงทุนแต่งตัวตามบรรทัดฐานที่ศาสนจักรส่งเสริม รวมถึงห้อยตราศักดิ์สิทธิ์สุริยัน แต่พวกเขาดันนัดเจอที่ทรีอาร์ใต้ดิน บอกว่าเพื่อหลบสายตาคน… บัดซบ! แต่งตัวแบบนี้มาลงทรีอาร์ใต้ดิน มันโคตรจะมีพิรุธเลยไม่ใช่หรือไง!”
บางที ผลข้างเคียงจาก ‘มีหน้ามีตา’ คงใกล้หมดแล้ว จินนาที่สัมผัสได้ว่าตนกลับมาควบคุมอารมณ์ได้อีกครั้ง เริ่มแบ่งปันประสบการณ์ให้ลูเมี่ยนฟัง
“แล้วได้ผลไหม” ลูเมี่ยนมองกล่องไม้สีน้ำตาลที่จินนาใช้มือขวากอดไว้กับหน้าอก แต่ไม่รีบร้อนถามว่ามันคืออะไร
จินนาถามไถ่ด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง
“ก็ได้ผลอยู่นะ ท่าทีของผู้ชำระที่ชื่อวาเลนไทน์เปลี่ยนไปมากทีเดียว อิมเรก็มีแนวโน้มคล้ายกัน แต่ไม่รู้ทำไม ดูเหมือนพวกเขาจะระแวงฉันมากขึ้น”
“คงรู้สึกว่าเธอพยายามเอาอกเอาใจเกินไป จึงสงสัยว่าอาจมีเป้าหมายอื่น” ลูเมี่ยนลองวิเคราะห์จิตใจของสองผู้ชำระ พลางใช้คางชี้กล่องไม้ที่จินนากอดอยู่ “นั่นคือรางวัลจากพวกเขาหรือไง”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าจินนาโดยไม่รู้ตัว
“ใช่ พวกเขาตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวกรองแล้ว ยังบอกด้วยว่า นั่นเป็นข่าวที่สำคัญมาก พร้อมกับให้วัตถุดิบหลักโอสถ ‘นักกระตุ้น’ มาสองอย่าง กับวัตถุดิบเสริมอีกหนึ่งอย่าง ส่วนที่เหลือให้ฉันไปหาเอง”
“ฟรังก้าคงมีวัตถุดิบเสริมเหลืออยู่” ลูเมี่ยนกล่าวด้วยใบหน้าครุ่นคิด “วัตถุดิบหลักของโอสถลำดับ 8 ไม่ใช่ถูกๆ เลยนะ ถึงขั้นเรียกได้ว่ามีมูลค่าสูงมาก ข่าวกรองของเหมืองหินในหุบเขาลึกมีค่ามากขนาดนั้นเชียว?”
มันพัวพันกับอะไรกันแน่?
จินนาอืมหนึ่งครั้ง
“พวกเขาไม่ได้อธิบายละเอียด แต่บอกฉันว่า ด้วยปัญหาระหว่างสองศาสนจักร ตอนนี้ผู้ชำระยังไม่สามารถเข้าไปสืบข่าวในเหมืองหินนั่นอย่างเปิดเผยได้ แต่พวกเขาจะคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์แย่ลง”
“ทางนั้นยังให้ฉันติดต่อกับผู้ว่าจ้างในชุมนุมศาสตร์เร้นลับต่อไป ดูว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หนึ่งในวัตถุดิบหลักโอสถถือเป็นรางวัลที่จ่ายล่วงหน้า”
“แบบนี้ถึงจะสมเหตุสมผล” ลูเมี่ยนผงกศีรษะแผ่วเบา
จินนาถอนหายใจทันที
“ฉันเสียคนไปแล้ว”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น?” ลูเมี่ยนเลิกคิ้วหนึ่งข้าง
จินนาดึงปอยผมที่ปล่อยลงมา
“อันที่จริง ฉันควรเรียกรางวัลตอบแทนเป็นเงิน แล้วนำไปจ่ายหนี้ที่ครอบครัวค้างอยู่ เหลือเท่าไรค่อยมาคิดเรื่องโอสถนักกระตุ้น”
“พอคุณได้เป็นนักกระตุ้นเมื่อไร เงินแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก” ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ “หรือยังคิดจะร้องเพลงใต้ดินเพื่อหาเงินใช้หนี้ต่อ?”
จินนานิ่งไปสองสามวินาทีก่อนจะพูด
“แต่ฉันไม่อยากทำร้ายใคร”
“ก็เลือกเฉพาะพวกอันธพาลสันดานเสียสิ” ลูเมี่ยนพยายาม ‘จุดไฟ’ ในใจจินนา
“บัดซบ! นักกระตุ้นมันคุณต่างหาก!” จินนาพึมพำไปคำหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ฉันควรแบ่งเงินให้ฟรังก้าเท่าไรดี? ข่าวกรองนั่นพวกเราได้มาด้วยกัน ฉันไม่ควรเอาไปแลกเงินคนเดียว โดยที่เธอไม่ได้อะไรเลย”
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“ถ้านับรวมสูตรโอสถที่ฟรังก้าให้มา ต่อให้คิดราคามิตรภาพแล้ว คุณก็ต้องจ่ายเกือบๆ สองหมื่นเฟลคิน”
“เกือบๆ สองหมื่นเฟลคิน…” จินนาทำหน้าเจ็บปวดราวกับถูกคนเฉือนเนื้อเถือหนัง “คงต้องติดไว้ก่อนสินะ… เป็นไปได้ไหมว่ายิ่งลำดับสูงก็ยิ่งหนี้เยอะ? ก็สูตรโอสถกับวัตถุดิบมันแพงเสียขนาดนั้น…”
“แต่ความสามารถในการหาเงินก็จะยิ่งยอดเยี่ยมตาม” ลูเมี่ยนปลอบโยนผสมยั่วยุเล็กๆ
เด็กหนุ่มดับลูกไฟทั้งสามบนตัว อาศัยแสงจากโคมไฟคาร์ไบด์ของจินนา เดินออกจากทางลงทรีอาร์ใต้ดิน
เดินไปได้สองสามก้าว จินนาก็ถามด้วยความฉงน
“ทำไมคุณถึงต้องสร้างไฟหนึ่งลูกเหนือศีรษะ และอีกสองลูกไว้บนสองบ่า มันมีความหมายอะไร?”
“คุณไม่เคยได้ยินหรือ? มนุษย์เรามีตะเกียงสามดวงบนร่างกาย หนึ่งดวงเหนือหัว หนึ่งดวงบ่าซ้าย และอีกหนึ่งดวงบ่าขวา” ลูเมี่ยนย้อนถาม
“ไม่เคยเลย” จินนาส่ายหน้า ถามด้วยความใฝ่รู้อย่างยิ่ง “หรือนี่คือปัญญาศาสตร์เร้นลับ?”
“ไม่ใช่ แค่ตำนานพื้นบ้านน่ะ” ลูเมี่ยนเผยรอยยิ้ม “ผมคิดว่ามันเท่ดี ก็เลยลองทำตามดู”
จินนาอดไม่ได้ที่จะสบถ
“บัดซบ! นี่คุณอายุเท่าไรแล้วเนี่ย!”
ระหว่างที่คุยกันไป ทั้งสองก็เดินออกจากทรีอาร์ใต้ดิน เข้าไปในอพาร์ตเมนต์เลขที่ 3 ห้อง 601 ท่ามกลางสายตาระแวดระวังของฟรังก้า
……………………………………………..
.