ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 302 เถ้ากระดูกมัมมี่
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 302 เถ้ากระดูกมัมมี่
ตอนที่ 302 เถ้ากระดูกมัมมี่
มาดามเมจิกเชี่ยนไม่ได้เล่าอะไรต่อ เพียงถามอีกครั้ง
“เธอจะกลับคาบาเร่ต์ลมเอื่อยตอนนี้เลย หรือจะอยู่ที่นี่จนถึงเที่ยง”
อย่าว่าแต่ทวีปใต้เลย ลูเมี่ยนไม่เคยออกจากอินทิสมาก่อน พอดีช่วงนี้ว่างอยู่ จึงพยักหน้าแล้วพูด
“ผมอยากเดินเล่นสักหน่อย”
มาดามเมจิกเชี่ยนผงกหัวเบาๆ แล้วก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา
แทบจะในเวลาเดียวกัน ลมหนาวเย็นเยียบพัดผ่านฝูงชน มากระทบตัวของลูเมี่ยน
จากทรีอาร์ในช่วงฤดูร้อน เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
เสียงล้งเล้งของตลาด ซึ่งเมื่อครู่รู้สึกเหมือนอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร พัดพามาพร้อมกับลมหนาว ทำให้ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนได้เข้ามาในดินแดนแห่งนี้อย่างแท้จริง
เมื่อนึกถึงการปรากฏตัวและการหายตัวไปของมาดามเมจิกเชี่ยน ซึ่งไม่มีใครรอบข้างสังเกตเห็นเลย ลูเมี่ยนก็เริ่มได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว:
เธอสร้างกำแพงวิญญาณในพริบตา หรือพาเราเข้าไปในมิติส่วนตัวบางแห่ง?
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนเห็นชายหญิงที่เดินผ่านไปผ่านมามองตนด้วยสายตาระแวดระวังปนสงสัย เพราะในช่วงอากาศหนาวเย็นของที่ราบสูง เขากลับสวมเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆ เสื้อกั๊กสีดำ และกางเกงขายาวบางๆ
“มองอะไรกัน ไม่เคยเห็นคนทำเป็นเท่หรือไง” ลูเมี่ยนพึมพำ แล้วเดินเข้าไปในตลาดอย่างไม่สะทกสะท้านโดยพึ่งพาความอดทนของ ‘ภิกษุบิณฑบาต’
กลิ่นมูลสัตว์สด กลิ่นข้าวโพดหอมฉุย และกลิ่นเนื้อย่างโรยเครื่องเทศ ผสมปนเปกันลอยเข้ามาในจมูกเด็กหนุ่ม
ลูเมี่ยนมองไปรอบตัว แลเห็นแผงขายอาหารจำนวนมาก ส่วนประกอบหลักคือข้าวโพด มีทั้งข้าวโพดต้มทั้งฝัก ข้าวโพดย่างทาซอสสีแดง ข้าวโพดหั่นชิ้นใส่ในซุปข้น ข้าวโพดห่อรวมกับชิ้นเนื้อวัว เนื้อแกะ หัวหอม และมันฝรั่งแล้วนำไปย่าง ข้าวโพดบดเป็นแป้งต้มจนเหนียวใส่ชิ้นเนื้อต่างๆ ข้าวโพดทำเป็นแผ่นแป้งหยาบใหญ่ โรยด้วยเครื่องปรุง…
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ลูเมี่ยนก็เดินผ่านกลุ่มคนที่มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งล้วนพร้อมใจกัน ‘หลีกทางให้’ และตรงไปยังแผงขายอาหารแผงหนึ่ง
ผู้ขายเป็นชายอายุสามสิบกว่า ผิวสีแทนแดง ใบหน้าผอมเกร็ง โหนกแก้มสูง ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผมสีดำยาวมันเลื่อม
เขาสวมหมวกสักหลาดสีดำ เสื้อคลุมยาวสีแดงเข้มทอผสมระหว่างขนแกะกับวัสดุอื่น
ลูเมี่ยนชี้โจ๊กข้าวโพดสีเหลืองที่ปรุงในหม้อใหญ่สีเหล็ก แล้วถามเป็นภาษาอินทิสว่า
“ราคาเท่าไร”
ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มสังเกตเห็นแล้วว่า บางคนที่นี่ฟังภาษาอินทิสออก และใช้เหรียญกษาปณ์โลหะหลายชนิดเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน รวมถึงเฟลคินด้วย
เจ้าของแผงทำหน้าหวาดกลัว เอ่ยตอบอย่างพินอบพิเทาด้วยภาษาอินทิสตะกุกตะกัก
“ถ้วยละห้าโกเปต์ครับ”
แค่ริกต์เดียวเองหรือ ถูกอยู่นะ… ลูเมี่ยนมองไปทางโจ๊กข้าวโพดที่มีชิ้นเนื้อวัวและแกะลอยอยู่ไม่น้อย แล้วหยิบเหรียญทองสีเหลืองซึ่งด้านหัวเป็นลายภูเขาโฮนาซิสออกมา
เจ้าของแผงถอนหายใจแผ่วเบา รีบหยิบถ้วยกระดาษอย่างคล่องแคล่ว เป็นถ้วยที่ดูไม่เข้ากับระดับความเจริญของตลาดสักเท่าไร ตักโจ๊กใส่จนเต็มถ้วย แถมใส่เนื้อให้อีกหลายชิ้น
ลูเมี่ยนรับถ้วยมา แล้วพลันสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากฝ่ามือ
สำหรับคนที่กำลังเผชิญลมหนาว นี่ถือเป็นประสบการณ์อันแสนวิเศษ
และที่วิเศษยิ่งกว่าคือ โจ๊กข้าวโพดร้อนๆ ไหลผ่านปาก ผ่านหลอดอาหาร แล้วเทลงกระเพาะ ส่งความอบอุ่นไปยังทุกส่วนของร่างกาย
มันมีรสชาติหวานอ่อน ผสมกับความเผ็ดเปรี้ยวเล็กน้อย พอดีกับกลิ่นคาวของเนื้อวัวและแกะ ช่วยให้รสชาติแสนอร่อยของเนื้อกระจายไปทั่วปุ่มรับรสบนลิ้น มอบความรู้สึกแปลกใหม่และชวนให้อยากลิ้มลอง
ต่อหน้าสตรีที่สวมชุดคลุมสีสดซึ่งกำลังเผยท่าทีหวาดระแวง ต่อหน้าสายตาเปี่ยมความกลัวปนเกลียดชังของชายที่ต้อนฝูงวัวฝูงแกะ ท่ามกลางอากาศในที่ราบสูงดวงดาวที่บางเบากว่ากรุงทรีอาร์พอสมควร ลูเมี่ยนจิบโจ๊กข้าวโพดในถ้วยไปพลาง เดินไปยังท้ายตลาดไปพลาง
ไม่นาน เด็กหนุ่มก็เข้าสู่เขต ‘เศวตนคร’ ลาปุส เห็นวิหารสุริยันเจิดจรัสสีทองอร่าม รวมถึงวิหารเทพจักรกลไอน้ำที่แกะสลักชิ้นส่วนเครื่องจักรใหญ่ เห็นอาคารหลายหลังที่มีสีขาวเป็นโทนหลัก เห็นร้านค้าจำหน่ายหนังวัว หนังแกะ และผ้าทอหลากหลาย เห็นป้าย ‘บริษัทนำเข้าส่งออกที่ราบสูง’ และ ‘สมาพันธ์เหมืองแร่ลาปุส’ เห็นรถม้าที่ถูกลากโดยวัวขนยาวและม้าขนาดกลางหลายคัน เห็นชนพื้นเมืองจำนวนมากที่ส่วนใหญ่สวมเสื้อคลุม เห็นชาวต่างถิ่นส่วนน้อยที่แต่งกายด้วยชุดสูทและรองเท้าหนัง
เจ้าของร้านเป็นชาวอินทิส อายุราวสี่สิบ มีผมดำตาฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวปักลวดลาย เสื้อผ้าขนสัตว์ถักทอหนา และเสื้อโค้ตสีน้ำเงินเข้มขลิบทอง
เมื่อเห็นลูเมี่ยน เขาทักทายด้วยความยินดี
“อรุณสวัสดิ์ สหายร่วมชาติที่รัก”
จากนั้น เขามองสำรวจเสื้อผ้าลูเมี่ยน แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณถูกปล้นมาหรือ?”
“ผมเพิ่งมาถึงลาปุส ระหว่างทางเกิดเหตุไม่คาดฝันนิดหน่อยน่ะ” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ ด้วยสำเนียงทรีอาร์
เจ้าของร้านขายยาลับทำหน้าพึงพอใจ
“ทวีปใต้ไม่ได้ดีเด่อย่างที่เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์หรอกนะครับ แต่ก็เป็นสวรรค์ของนักผจญภัยอย่างเขาว่า”
“ผมมาถึงไบลัมตะวันออกตั้งแต่สิบห้าปีก่อน เที่ยวแสวงหาโอกาสตามเมืองต่างๆ ของทวีปใต้ จนกระทั่งมาถึงเศวตนครแห่งนี้ ชีวิตของผมก็เพิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ไอน้ำจงพวยพุ่ง!”
เขาพูดด้วยความซาบซึ้ง พลางวาดตราศักดิ์สิทธิ์รูปสามเหลี่ยมกลางหน้าอก
“ไอน้ำจงพวยพุ่ง!” ลูเมี่ยนตอบกลับด้วยธรรมเนียมเดียวกัน
เจ้าของร้านยิ่งยิ้มอย่างเป็นกันเอง
“นี่… พี่น้อง… อยากลองผงมัมมี่ไหม? ผงมัมมี่ของแท้เลยนะ!”
ลูเมี่ยนกวาดตามองรอบร้านที่ไม่กว้างนัก แล้วพูดยิ้มๆ
“ทำไมคุณไม่เอามัมมี่มาตั้งในตู้โชว์ล่ะ เพื่อพิสูจน์ความแท้ของเถ้ากระดูก”
เจ้าของร้านยิ้มแหยๆ
“มันจะไปกระตุ้นพวกคนเถื่อนเอาน่ะสิ”
“แม้ในหมู่พวกเขาจะมีคนซื้อผงมัมมี่ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับให้มัมมี่เป็นสินค้าหรอก”
ลูเมี่ยนลองถามหยั่งเชิง
“ตอนที่ผมจากทรีอาร์มา ผงมัมมี่ขาดตลาดมาก ราคาพุ่งสูงมาก คุณไม่ลองขนมัมมี่กลับไปขายทรีอาร์ดูบ้างล่ะ”
“การค้าทางทะเลมันเสี่ยงเกินไป ถ้าฝากพวกบริษัทนำเข้าส่งออก ก็ไม่แคล้วโดนกดราคายับ แถมยังจะเก็บภาษีก้อนโต ไอ้พวกไฮยีน่าระยำ!” เจ้าของร้านเหล่มองลูเมี่ยนแล้วพูดหยั่งเชิง “แต่หากคุณยอมรับความเสี่ยงแทนได้ เราอาจร่วมมือกันได้นะ”
“คุณมีมัมมี่อยู่เท่าไร” ลูเมี่ยนเผยสีหน้าไม่ไว้ใจ
เจ้าของร้านตอบยิ้มๆ
“ก็แล้วแต่ว่าคุณต้องการเท่าไร ผมมีลู่ทางหามาได้”
จะเอาเท่าไรก็ได้เท่านั้น? พวกนายไปขุดเจอสุสานตระกูลขุนนางใหญ่ของอาณาจักรที่ราบสูงมาหรือไง? หรือว่าไปหาศพคนมาทำมัมมี่เอง? หรือผลิตสดจากคนเป็นเลย? ลูเมี่ยนคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกับเจ้าของร้าน ‘ยาลับที่ราบสูง’ เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายชื่อซาเรียนต์·เอ็นปาญา ก็อ้างว่าขอคิดดูก่อน แล้วเดินออกจากร้านไป
หลังจากเดินไปอีกสักพัก ลูเมี่ยนเห็นชาวพื้นเมืองจำนวนไม่น้อย แห่เข้าไปในตึกสีขาวสามชั้นริมถนน ซึ่งมีรูปทรงอลังการและบรรยากาศขึงขัง
เขาสงสัยจึงเดินตามเข้าไป พบว่ามีทหารอินทิสหลายนายที่สวมหมวกสามเหลี่ยมสีดำ เสื้อโค้ตสีน้ำเงินปักขอบทอง กางเกงขายาวสีขาว และรองเท้าบูตหนังสีดำ ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
นั่นสินะ ลาปุสเป็นเมืองอาณานิคมของอินทิส… ลูเมี่ยนกวาดตามอง และหยุดอยู่ที่ตัวอักษรสีทองเหนือประตูทางเข้าตึกขาวหลังดังกล่าว:
ศาลพิเศษลาปุส
ลูเมี่ยนตามฝูงชนเข้าไปในห้องพิจารณาคดี นั่งลงในมุมเปลี่ยว ฟังการพิจารณาคดีอย่างเงียบงัน
ผู้ถูกพิจารณาคดีคือทหารอินทิสสองนาย ถูกกล่าวหาว่าในคืนวันหนึ่งเมื่อกว่าหนึ่งเดือนก่อน พวกเขาดักตรวจคู่สามีภรรยาใหม่แถวชานเมือง แล้วลงมือสังหารสามีอย่างทารุณ ตามด้วยผลัดกันข่มขืนภรรยา
โชคดีที่ภรรยารอดชีวิตมาได้ กอปรกับมีพยานพบเห็นไม่น้อย หลักฐานเหลือเฟือ ทำให้แนวโน้มของคดีนี้ค่อนข้างชัดเจน
ผู้พิพากษาซึ่งเคยพิจารณาคดีของอาชญากรทั้งสองมาสองครั้งแล้ว หลังจากใช้เวลาพิจารณาค่อนข้างนาน ก็ได้ลงคำตัดสินชี้ขาด:
คำตัดสินมีผลบังคับใช้ทันที ให้ขับไล่ทั้งสองออกจากที่ราบสูง รอจนกว่าจะกลับถึงอินทิส แล้วให้ศาลทหารลงโทษเพิ่มเติมต่อไป
คำตัดสินดังกล่าวสร้างความไม่พอใจเป็นวงกว้าง ชาวบ้านท้องถิ่นที่ฟังการพิจารณาคดีต่างลุกขึ้นประท้วงเสียงดัง แต่ผู้พิพากษาไม่ยอมอ่อนข้อ สั่งให้ตำรวจและทหารที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ขับไล่พวกเขาออกไปจากศาล
ลูเมี่ยนที่นั่งอยู่ตรงมุม มองใบหน้าของชาวบ้านที่โกรธแค้น เจ็บปวด และน้อยใจอย่างเงียบงัน จนกระทั่งทุกคนถูกไล่ออกไป เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อนแล้วเดินออกจากศาล
เมื่อเดินผ่านจัตุรัสด้านนอกวิหารสุริยันเจิดจรัส เขาก็พบกลุ่มบาทหลวงที่สวมชุดคลุมสีขาวขลิบทอง
พวกเขารักษาระยะห่างจากคนรอบข้างพอประมาณ พลางสนทนากันเสียงเบาขณะเดินไปยังวิหาร
ลูเมี่ยนเอียงคอเล็กน้อย พยายามใช้หูของ ‘นักล่า’ แอบฟังบทสนทนาของบาทหลวง
เนื่องจากอยู่ห่างเกินไป จึงจับใจความได้แค่สองวลีสั้นๆ
“พลังแห่งรัตติกาล… รุกล้ำเข้ามาในนี้…”
หมายถึงอะไร? ศาสนจักรเทพธิดารัตติกาลของโลเอ็น แอบสอดมือเข้ามาในที่ราบสูงดวงดาว? ลูเมี่ยนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเตร่ต่อไป
…………
เที่ยงครึ่งตามเวลาทรีอาร์ ลูเมี่ยนถูกมาดามเมจิกเชี่ยนพาตัวกลับมายังคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ภายในห้องนอนบนชั้นสอง
เด็กหนุ่มนั่งที่โต๊ะไม้ เริ่มเรียบเรียงการตีความสัญลักษณ์ในความฝันของมิสเตอร์กวี
ท่ามกลางกระแสความคิด เขาได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคย และเสียงเคาะประตูที่ไม่มีมารยาทเท่าไรนัก
วางปากกาในมือลง ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน มองไปทางประตู
“เข้ามาเถอะ”
ฟรังก้าเปิดประตูเข้ามา แต่งกายในชุดคล้ายเดิม เสื้อเชิ้ตสตรี กางเกงขายาวสีเบจ รองเท้าบูตสีแดง แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ คราวนี้เธอสวมกระโปรงยาวสีอ่อนแบบมีจีบทับกางเกงไว้
“ดูแปลกๆ นะ” ลูเมี่ยนแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา
ฟรังก้าถอนหายใจด้วยความปลาบปลื้มระคนเศร้าหมอง
“ฉันยังไม่ชินกับกระโปรงสักที คงต้องแก้ไขแบบนี้ไปก่อน…”
“นี่ก็เพื่อเตรียมตัวสำหรับ ‘สุขสม’ น่ะ”
“สุขสม?” ลูเมี่ยนไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าเหตุใดคำนามถึงโผล่เข้ามาในบทสนทนา
ฟรังก้าเอื้อมมือปิดประตูห้อง พูดด้วยสีหน้าซับซ้อน
“เพราะคุณได้เข้าร่วมชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กแล้ว ภารกิจของฉันก็ถือว่าสำเร็จไปบางส่วนเช่นกัน ต่อไปก็คือ พยายามหาทางเข้าร่วมหากมีโอกาส ระหว่างนั้นก็คอยสนับสนุนคุณ”
“ในเมื่อภารกิจสำเร็จไปเบื้องต้นแล้ว ก็ย่อมต้องได้รับรางวัลตอบแทน… ลำดับถัดไปของแม่มดคือ ‘นางมารสุขสม’”
“อา… รวมกับที่ทยอยสะสมมาเรื่อยๆ วัตถุดิบหลักของฉันครบหมดแล้ว วัตถุดิบเสริมก็เกือบครบแล้วเหมือนกัน ขาดก็แต่เถ้ากระดูกมัมมี่ของแท้… ที่ฉันมาหาก็เพื่อจะฝากให้คุณช่วยถามๆ ในชุมนุมศาสตร์เร้นลับให้หน่อย… บัดซบ! ร้านพวกนั้นไม่มีขายของแท้สักร้านเลย!”
……………………………………………….
.