ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 300 สัญลักษณ์อื่นๆ
ตอนที่ 300 สัญลักษณ์อื่นๆ
เมื่อได้ยินคำถามจากมิสเตอร์กวี ลูเมี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนความหนาวเหน็บแล่นขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง แล้วแล่นเข้าสู่สมองทันที
ไม่ว่าจะเป็นโอลัวร์ที่ทำร้ายตนในความฝันแล้วพาไปยังสถานที่ประกอบพิธี หรือรองอธิการโบสถ์มิชล·การีกูที่ทำเรื่องแบบเดียวกันในโลกความจริง ก็ล้วนเป็นผู้ที่มีกิ้งก่าเอลฟ์น้อยคลานออกจากปากหรือถูกมันปนเปื้อนอย่างเงียบเชียบ!
และถ้าหากลูเมี่ยนมิได้กลายเป็นภาชนะ ไม่ถูกลากขึ้นแท่นบูชา ไม่ได้ยืนอยู่ต่อหน้าโอลัวร์ พิธีสถิตร่างของเทอร์มีโพลอสก็อาจสำเร็จลุล่วงไปแล้ว เพราะจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่โอลัวร์ผลักภาชนะออกจากแท่นบูชาจนพิธีกรรมถูกทำลาย และรอยประทับของมิสเตอร์ฟูลบนตัวลูเมี่ยนก็คงไม่ถูกกระตุ้น!
เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงนี้ ความคิดลูเมี่ยนเริ่มยุ่งเหยิง
เด็กหนุ่มคาดไม่ถึงว่ากิ้งก่าเอลฟ์น้อยจะเป็นผู้ทำลายพิธีกรรม ด้วยการแอบกัดกินโอลัวร์กับรองอธิการโบสถ์ สร้างความเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว จนละเลยบางสิ่งบางอย่างและพลาดโอกาสสุดท้ายที่จะช่วยให้ตัวเองรอด!
“ม…มันต้องการอะไรกันแน่ จุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร?” ลูเมี่ยนถามด้วยสีหน้าค่อนข้างเจ็บปวด
กวีผู้ถูกหมอกควันหุ้มตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผมเพียงแค่ตีความสัญลักษณ์ในความฝันของคุณเท่านั้น ไม่สามารถสร้างความจริงของเรื่องราวได้ครบถ้วน”
“แต่แน่นอน ผมสามารถลองอนุมานดูได้”
“กิ้งก่าเอลฟ์น้อยคือตัวแทนของฝ่ายที่หวังฉวยโอกาสจาก ‘พิธีกรรมอัญเชิญเทวทูต’ ของเหล่าสาวกแห่งชะตากรรม เพื่อให้ฝ่ายตัวเองบรรลุเป้าหมายลับบางอย่าง โดยที่ไม่ต้องการเห็นเทอร์มีโพลอสถือกำเนิดบนโลก”
“พวกมันกับองค์ซ่อนเร้นนามชะตากรรมคงมีความขัดแย้งกันในเป้าหมายระยะสั้น หรือแม้แต่เป้าหมายสูงสุด”
ลูเมี่ยนพยักหน้าฟังไปพลางคิดว่า นี่คือคำอธิบายที่ฟังขึ้นที่สุด ณ ปัจจุบัน
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวพลางถาม
“เป้าหมายของพวกมันคืออะไรกันแน่?”
“นั่นคือหนึ่งในทิศทางการสืบสวนต่อไปของคุณ” มิสเตอร์กวีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การถอดรหัสมิใช่การทำนายหรือคำทำนาย จำเป็นต้องมีข้อมูลเพียงพอจึงจะอนุมานได้ มิอาจกล่าวลอยๆ”
ลูเมี่ยนพยักหน้าแผ่วเบา ยิ่งรู้สึกร้อนใจอยากจับตัวหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์
มิสเตอร์กวีโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย วางข้อศอกสองข้างไว้บนโต๊ะไม้ มือยังคงประสานกันอยู่
“สำหรับสัญลักษณ์สำคัญๆ ผมตีความไปหมดแล้ว เหลือเพียงอันสุดท้าย”
“ตัวความฝันของคุณก็มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่เข้มข้นมากเช่นกัน”
“ตัวความฝัน?” ลูเมี่ยนครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่ไม่พบความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่เจาะจง
เสียงของกวีทุ้มลงเล็กน้อย มิได้ล่องลอยผิดวิสัยเหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังแฝงเสน่ห์มากขึ้น
“มันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘การคุ้มครอง’”
“ในช่วงเวลาดังกล่าว อารมณ์ของคุณพลุ่งพล่านเกินไป จิตใจใกล้จะพังทลาย คุณจึงได้เข้าสู่ภวังค์นิทรา… หากไม่มี ‘ฝันแท้จริง’ ซึ่งช่วยปลอบประโลมและมอบความหวัง บางทีคุณอาจพังทลายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ถูกแรงผลักดันแห่งการทำลายตัวเอง ชักนำให้กระทำในสิ่งที่ไร้เหตุผล จนกระทั่งเสียชีวิต”
“นอกจากนี้ เราสามารถยืนยันได้ว่า ตัวคุณไม่มีพลังในการสร้างฝันแท้จริง และไม่สามารถฝืนดึงเหล่าผู้สืบสวนเข้าไปในความฝัน เทอร์มีโพลอสที่ถูกผนึกอยู่ก็ทำไม่ได้เช่นกัน นั่นหมายความว่า ฝันแท้จริงเกิดจากการแทรกแซงภายนอก”
“เรายังมิอาจสืบรู้พลังในลำดับสูงของเส้นทางชะตากรรม มิอาจฟันธงได้ว่าเป็นฝีมือ ‘คนโปรดของชะตากรรม’ ที่แทนด้วยนกฮูก หรือเกิดจากอิทธิพลของฝ่ายอื่น พิจารณาจากการตีความเมื่อครู่และสถานการณ์จริง ดูเหมือนว่าทุกฝ่ายล้วนมีแรงจูงใจมากพอ”
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน ยกเว้นเพียงองค์ซ่อนเร้นนามว่าชะตากรรม ไม่มีใครอยากเห็นเทอร์มีโพลอสถือกำเนิดบนโลกอย่างแท้จริง”
ลูเมี่ยนเชื่อมโยงเข้ากับ ‘เขตหลับใหล’ รอบๆ ภูเขาสีเลือดในซากปรักหักพังของหมู่บ้านกอร์ตูทันที
เด็กหนุ่มยังไม่ทันจะพูดออกไป มิสเตอร์กวีก็เสริมขึ้นมาเอง
“เมื่อนำไปผนวกกับ ‘อาณาเขตภวังค์นิทรา’ ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่ประกอบพิธี มิใช่บ้านที่คุณนอนหลับ ผมเอนเอียงไปทางว่า เกิดจากอิทธิพลของฝ่ายอื่น จุดประสงค์หลักคือการทำลายพิธีกรรม ส่วนการปลอบโยนคุณเป็นผลพลอยได้”
“หากเป็นฝีมือคนโปรดของชะตากรรมที่แทนด้วยนกฮูก ตำแหน่งของอาณาเขตผิดปกติจะต้องกลับตาลปัตร”
ถ้าไม่ใช่ฝีมือของพวกกิ้งก่าเอลฟ์น้อย ก็ต้องเป็นอีกลุ่ม? ยังมีอีกกลุ่มด้วยหรือ? ยิ่งลูเมี่ยนเข้าใจสถานการณ์เมื่อครั้งกระนั้นมากเพียงใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าความจริงเบื้องหลังหายนะหมู่บ้านกอร์ตู ช่างลึกลับซับซ้อนกว่าที่ตนคาดเดาไว้มากนัก
เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถาม
“แล้วเปลเด็กว่างเปล่าในปราสาทเจ้าหน้าที่ปกครอง คือสัญลักษณ์ของสิ่งใด?”
“เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ค่อยสำคัญนัก” กวีใช้เวลาครุ่นคิดหลายวินาทีก่อนจะตอบ “มันสื่อถึงบุตรแห่งองค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่ ตามข้อมูลที่คุณให้มา มันคงแอบลงมายังโลกของเราในพิธีกรรมสังเวยครั้งสุดท้าย โดยอาศัยลูกแท้ๆ ที่คุณนายปัวริสซ่อนไว้เป็นสื่อกลาง ซึ่งในภายหลังแอบหนีออกจากหมู่บ้านกอร์ตูอย่างเงียบเชียบ ทิ้งไว้เพียงเปลเด็กอันว่างเปล่า”
บุตรแห่งองค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่… ลูเมี่ยนทวนคำเงียบๆ ในใจ โดยรู้สึกว่าความร้ายแรงของเหตุการณ์นี้ มิได้ด้อยกว่าการเสด็จเยือนของเทอร์มีโพลอสเลย
ฝ่ายชะตากรรมต้องแบกรับความเสี่ยงมหาศาลและคร่ำเคร่งอยู่เกือบปี เพื่อแลกมากับเทวทูตที่ถูกผนึก มิหนำซ้ำยังสร้างประโยชน์ให้องค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่
ท่ามกลางความคิดอันยุ่งเหยิง ลูเมี่ยนลดความกังวลลง
สำหรับเรื่องนี้ เหล่านักบุญและเทวทูตแห่งชุมนุมทาโรต์ของมิสเตอร์ฟูลไม่มีทางปล่อยผ่านแน่ ผู้วิเศษลำดับ 7 ตัวเล็กๆ อย่างตนไม่จำเป็นต้องกังวลแทน
เหนือสิ่งอื่นใด ทารกดังกล่าวเพียงฉวยโอกาสจากพิธีกรรมสังเวย แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับต้นตอการเกิดโศกนาฏกรรมหมู่บ้านกอร์ตู ลูเมี่ยนควรมุ่งความสนใจไปที่การสืบเสาะและจับกุมหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ให้ได้มากกว่า
เด็กหนุ่มถามต่อไป
“หมู่บ้านกอร์ตูถูกทำลายไปเกือบหมด ทำไมถึงมีแค่บ้านของผมกับโอลัวร์ที่ยังสมบูรณ์?”
กวีครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบ
“ผมคิดว่านี่แสดงถึงความผูกพัน ความห่วงหาอาทร และความเสียใจของโอลัวร์”
“ในช่วงท้ายของพิธี เธอคนนั้นคงได้สติกลับคืนมาบ้าง ระหว่างที่เลือดเนื้อของชาวบ้านกำลังหลอมรวมเข้าด้วยกัน จิตใต้สำนึกของเธอพยายามปกป้องสิ่งปลูกสร้างที่เป็นตัวแทนช่วงเวลาอันแสนวิเศษในอดีตเอาไว้”
“แน่นอน เธออาจใช้ประโยชน์จากพลังอื่นๆ ที่แทรกแซงเข้ามาในพิธีกรรมร่วมด้วย”
ความผูกพัน… ความห่วงหา… ช่วงเวลาอันแสนวิเศษในอดีต… ลูเมี่ยนเงียบไปครู่ใหญ่ ไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน
เมื่อเห็นเช่นนั้น กวีจึงคลายมือที่ประสานกันแล้วกล่าวกับเด็กหนุ่ม
“สัญลักษณ์ต่างๆ ในความฝันของคุณ ผมช่วยตีความให้หมดแล้ว”
“ขอบคุณครับ มิสเตอร์กวี” ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ทาบมือลงบนอกแล้วโค้งศีรษะคำนับเล็กน้อย ตามมารยาทของศาสนจักรเดอะฟูล
เด็กหนุ่มเข้าสู่ภวังค์ชั่วขณะ เห็นมิสเตอร์กวี โต๊ะไม้ ชั้นหนังสือ ผนัง ป่าดึกดำบรรพ์ และแมลงมากมายรอบกระท่อม แตกสลายไปราวกับความฝัน กลับคืนสู่ความมืดมิดอันลึกล้ำ
ความมืดหายวับไปในพริบตา ลูเมี่ยนพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ริมขอบตลาดแห่งหนึ่ง
ไกลออกไปคืออาคารที่ใช้สีขาวเป็นโทนหลัก มีหอระฆังและยอดแหลมสีดำสนิท แซมด้วยสีเหลืองอมน้ำตาล ส่วนใกล้ๆ มีเต็นท์เรียงรายราวกับปุยเมฆ รวมถึงฝูงวัว แกะ และม้าอยู่เต็มไปหมด
คนส่วนใหญ่ที่เตร็ดเตร่อยู่ในตลาดมีผิวค่อนข้างดำ ราวกับโดนแสงแดดแผดเผาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากเป็นบุรุษจะสวมหมวกสักหลาดกับชุดคลุมยาวสีแดงเข้มหรือสีฟ้า ส่วนสตรีจะสวมกระโปรงสีสันสดใสหลายชั้น
ลมหนาวเหน็บพัดหวีดหวิวเข้ามา ลูเมี่ยนมองไปยังยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวไกลออกไป รู้สึกสับสนงุนงงไปชั่วขณะ
การสนทนากับมิสเตอร์กวี รวมถึงเหตุการณ์ที่ตนเพิ่งประสบ เป็นราวกับความฝันที่สมจริงอย่างยิ่ง
ไม่สิ นั่นคือความฝัน!
สิ่งนี้อธิบายว่าเพราะเหตุใด ตนถึงมองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมิสเตอร์กวี
เมื่อครู่เราไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังฝัน… เริ่มตั้งแต่ตอนไหนกันแน่… นี่เหมือนกับความฝันในซากปรักหักพังหมู่บ้านกอร์ตูมาก… มิสเตอร์กวีคือตัวแทน ‘เส้นทางสู่เทพ’ ในขอบเขตที่สามารถบังคับให้ผู้อื่นหลับใหลและเข้าสู่ ‘ฝันแท้จริง’ อย่างนั้นหรือ… อาณาเขตผิดปกติรอบๆ ภูเขาสีเลือดเกิดจากพลังที่คล้ายคลึงกันใช่ไหม? ลูเมี่ยนตกอกตกใจในทีแรก ตามด้วยชุดความคิดอีกมากมาย
ในตอนนั้นเอง มาดามเมจิกเชี่ยนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวครีม กระโปรงยาวสีน้ำตาลอ่อน และรองเท้าบูตหนังสีน้ำตาลเข้ม ได้ปรากฏกายเบื้องหน้าเด็กหนุ่ม
“เธออยากกลับคาบาเร่ต์ลมเอื่อยเลยไหม” เจ้าของไพ่อาร์คาน่าใหญ่ไถ่ถาม
“ที่นี่ที่ไหนครับ” ลูเมี่ยนเอ่ยปากถามกลับ
มาดามเมจิกเชี่ยนเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามและเมฆขาวโพลน แล้วจึงตอบว่า
“‘ลาปุส’ แห่งที่ราบสูงดวงดาว เคยเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญอันดับหนึ่งของอาณาจักรที่ราบสูง หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘เศวตนคร’”
ที่ราบสูงดวงดาว… ลูเมี่ยนนึกถึงโรงเรียนกุหลาบขึ้นมาได้ จึงเล่าเรื่องที่ตนถูกมนุษย์หมาป่าโจมตี รวมถึงปฏิกิริยาของการ์ดเนอร์·มาร์ตินให้มาดามเมจิกเชี่ยนฟัง จากนั้นก็ถาม
“โรงเรียนกุหลาบเข้ามาในเขตตลาดเพราะเรื่องพฤกษาเงาใช่ไหมครับ? ทำไมพวกมันถึงไม่มีข้อมูลของผมล่ะ… ไม่ได้คุยกับสมาคมเสียวซ่านหรือไง?”
มาดามเมจิกเชี่ยนหัวเราะในคอ
“เมื่อสักครู่เธอน่าจะถามเรื่องพวกนี้ไปด้วยนะ สุภาพบุรุษที่ช่วยถอดรหัสความฝันให้นั้น คือผู้เชี่ยวชาญการรับมือกับโรงเรียนกุหลาบ… อา… เดี๋ยวฉันไปถามให้แทน”
พูดจบเธอก็อันตรธานหายไปต่อหน้าลูเมี่ยน ผ่านไปสักสองสามนาที ก็กลับมาใหม่ในลักษณะเดิม โดยที่ผู้คนสัญจรในตลาดไม่มีใครสังเกตเห็นเลย
มาดามเมจิกเชี่ยนมองหน้าลูเมี่ยนแล้วพูดยิ้มๆ
“ตามประสบการณ์ของสุภาพบุรุษท่านนั้น มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายกับองค์กรที่บูชาพระองค์ แม้ในภาพกว้างจะแสดงออกถึงจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน แข็งแกร่งเพียงพอที่จะดำเนินการไปตามแผน สามารถคาดคะเนอนาคตได้แม่นยำ ซ้ำยังวางแผนได้ดีพอสมควร แต่เมื่อต้องแบ่งออกเป็นหลายภาพย่อย ก็มักจะปรากฏความยุ่งเหยิงให้เห็น ปรากฏความไร้ระเบียบและบ้าคลั่ง ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะของเทพมารองค์ดังกล่าว”
“โดยสรุปก็คือ องค์กรที่บูชามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย ส่วนมากมักมิได้สื่อสาร มิได้ติดต่อ มิได้ร่วมมือกัน บ่อยครั้งจะทำตัวบ้าบอ แต่บางครั้งก็ฉลาดขึ้นมา”
“ทว่า ในช่วงหนึ่งถึงสองปีหลัง สุภาพบุรุษท่านนั้นสังเกตเห็นว่า หลายองค์กรที่บูชามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย เริ่มมีความร่วมมือกันในระดับหนึ่ง กระทั่งตระกูลปีศาจก็ยังเข้าไปมีส่วนร่วม”
“ตระกูลปีศาจ?” ลูเมี่ยนไม่เคยได้ยินศัพท์นี้มาก่อน
มาดามเมจิกเชี่ยนอธิบาย
“ตระกูลที่ถือครองเส้นทางปีศาจ หรืออีกชื่อหนึ่งคือเส้นทาง ‘อาชญากร’ … บางส่วนในพวกมันมีร่องรอยการบูชามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย”
………………………………………………
.