ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 290 ท่าเรือลาวีน
ตอนที่ 290 ท่าเรือลาวีน
“เอ่อ…” ฟรังก้าใช้เวลาตรึกตรองอยู่สองสามวินาทีก่อนที่จะพูดกับจินนา “ถ้าพูดถึงการคลุ้มคลั่งและเสียสติ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาจารีตหรือผู้วิเศษเถื่อน ก็ล้วนเท่าเทียมกันหมด พวกนักบวชเหล่านั้นก็เช่นกัน มีโอกาสคลุ้มคลั่งกลายเป็นสัตว์ประหลาด หรือมีปัญหาทางจิต เดินบนเส้นทางที่นำไปสู่ขุมนรก”
สีหน้าของจินนายิ่งฟังก็ยิ่งเครียด
ฟรังก้าเคยอธิบายเรื่องทำนองนี้ให้ฟังแล้ว แต่เธอยังขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จนกระทั่งได้เห็นโพรงลับในความมืดกับตาตัวเอง ได้เห็นแขนขาเรียงรายบนผนังถ้ำ และเชื่อมโยงมันเข้ากับภาวะคลุ้มคลั่ง การเสียสติ เธอถึงเริ่มเข้าใจความโหดร้ายและน่ากลัวของทั้งสองคำอย่างแท้จริง
ลูเมี่ยนพูดต่อ
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ‘การสวมบทบาท’ ถึงสำคัญมาก”
“แต่ต้องจำไว้เสมอว่า ตัวเองกำลังแสดงบทบาท ในฐานะนักแสดง เธอคงเข้าใจดีว่าห้ามจมอยู่กับบทบาทใดๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้วิเศษ การทำแบบนั้นก็อาจก่อให้เกิดปัญหาทางจิตตามมา” ฟรังก้าและลูเมี่ยนผลัดกันให้คำแนะนำเด็กใหม่
เมื่อเห็นจินนาพยักหน้าอย่างหนักแน่น ฟรังก้าวกกลับมาที่คดีการหายตัวไปของคนเฝ้าประตูอารามในหุบเหว
“แผนของฉันคือ หนึ่ง อาศัยช่องทางของตัวเอง เปิดเผยตำแหน่งและรายละเอียดของถ้ำลับนั่นกับคนของศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส ส่วนทางการจะดำเนินการอย่างไรต่อหลังจากนั้น ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขา เราเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว พวกเขาจะเลือกฝังกลบเรื่องนี้ไว้ แต่ก็ถือว่าได้รับรู้และระวังตัวแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่ แล้วอีกอย่าง ในการชุมนุมครั้งหน้า ฉันจะบอกข้อมูลนี้กับผู้ว่าจ้างด้วย เพื่อดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร บางทีอาจจะได้ค่าจ้างติดไม้ติดมือบ้าง”
“ฉันไม่คัดค้าน” หลังจากฟังลูเมี่ยนกับฟรังก้าพูดมาตั้งมาก จินนาก็ตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงความเสี่ยงใหญ่หลวงที่แฝงอยู่ในภารกิจ แม้ว่าจะอยากได้ค่าตอบแทนสองหมื่นเฟลคินมากเหลือเกิน แต่เธอก็ยังคุมตัวเองได้อยู่
ฟรังก้าหันไปพูดกับลูเมี่ยน
“สำหรับ ‘พิธีเก็บเกี่ยว’ ฉันหาผู้ซื้อได้แล้ว แต่ยังไม่ได้แลกเปลี่ยนกันอย่างเป็นทางการ ราคาอยู่ที่หนึ่งหมื่นเฟลคิน”
“ก่อนหน้านี้ฉันให้คุณไปแล้วสี่พัน อีกสองวันจะให้อีกหนึ่งพัน”
“ขายเก่งจริงๆ” ลูเมี่ยนชมด้วยรอยยิ้ม
“คุณนี่นะ ฉันแทบจะแยกไม่ออกแล้วว่า คุณกำลังชมหรือกำลังเสียดสีกันแน่” ฟรังก้าพึมพำ
จินนาฟังอยู่ข้างๆ ด้วยความอิจฉา
การซื้อขายที่ฟรังก้าและชาร์ลพูดถึงอย่างไม่ใส่ใจ กลับมีมูลค่ามากถึงหนึ่งหมื่นเฟลคิน ในขณะที่ตอนนั้น ต่อให้การรักษาแม่เธอดำเนินไปในทิศทางเลวร้ายที่สุด แต่ครอบครัวของเธอก็จะเป็นหนี้อยู่ราวๆ เจ็ดแปดพันเฟลคินเท่านั้น
นี่น่ะหรือผู้วิเศษ… ความเข้าใจของจินนาในแง่นี้ยิ่งทวีความชัดเจน
ลูเมี่ยนมองผ้าม่านที่รูดปิดไว้ตั้งแต่แรก แล้วพูดออกมาตรงๆ โดยไม่ได้บอกให้จินนาออกไป
“เมื่อคืนผมผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายแล้ว กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกแกนหลักของบอสเต็มตัว”
“เป็นการทดสอบแบบไหน?” แม้ว่าจะยังหลงเหลืออารมณ์น้อยใจ ไม่พอใจ และโกรธแค้นอย่างไม่อาจเลี่ยง แต่ฟรังก้าที่ได้ระบายออกไปแล้วครั้งหนึ่ง กำลังเกิดความสงสัยใคร่รู้มากกว่า
ลูเมี่ยนเล่าตั้งแต่ตอนที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินมาหาตนถึงคาบาเร่ต์ลมเอื่อยในยามวิกาล และสั่งให้ไปค้างคืนในบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด จนถึงตอนที่เขาหลีกเลี่ยงมลทินสำเร็จและรอจนพระอาทิตย์ขึ้น
เด็กหนุ่มปิดบังการมีอยู่ของเทอร์มีโพลอส ทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นคนฉลาด เด็ดเดี่ยว ฉับไว และมั่นคง อาศัยรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเพื่อตัดสินแก่นแท้ของปัญหา และยังคงยึดมั่นในหลักการ ‘ไม่ตอบสนอง’ แม้จะถูกอิทธิพลมากมายก่อกวน
การแต่งเรื่องเป็นจุดแข็งของลูเมี่ยนอยู่แล้ว
ฟรังก้าฟังแล้วรู้สึกทั้งหวาดหวั่นปนสงสัย
“ตอนนั้นคุณไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยจริงๆ หรือ?”
จินนาพยักหน้าตามเงียบงัน โดยคิดว่าถ้าเป็นเธอ คงอดใจไม่ไหวและตอบสนองไปตอนที่ประตูเปิด ส่วนฟรังก้าคงอดทนได้แค่จนกระทั่งถูกเลือดหยดใส่เต็มหน้า
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“ต้องหวั่นไหวแน่นอน แต่ผมเชื่อในหลักการของตัวเองมากกว่า”
ฟรังก้ามองเด็กหนุ่มขึ้นลงสองสามหน แล้วถามด้วยท่าทีกังขา
“คุณคิดหลักการ ‘อย่าตอบสนอง’ ออกมาได้เองจริงหรือ?”
“…” ฟรังก้าและจินนาต่างก็อึ้งไป
เด็กหนุ่มฉวยโอกาสเปิดประเด็นใหม่ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“พวกคุณนี่โง่หรือเปล่า? ก็ต้องได้รับข้อมูลล่วงหน้าอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น คนอย่างผมที่เพิ่งหลุดพ้นจากการเป็นไอ้โง่ศาสตร์เร้นลับ จะคิดออกเองได้ยังไง?”
“ถ้าคุณมีโอกาสไปเฝ้ายามกลางคืนบ้าง นอกจาก ‘อย่าตอบสนอง’ แล้วอย่าลืมนำกระจกที่เชื่อมกับ ‘โลกในกระจกใต้ดิน’ ไปด้วย ตามข้อมูลระบุว่า ถ้าเป็นคนละเส้นทาง ‘ความผิดปกติ’ ในบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดอาจมีรูปแบบแตกต่างกันไป”
ฟรังก้าเข้าใจทันทีว่าแหล่งข้อมูลของลูเมี่ยนมาจากไหน
เธอบ่นพึมพำ
“ไอ้หนู ปากแบบนี้ระวังจะหาแฟนไม่ได้นะ!”
เมื่อครู่เธอเกือบจะถูกยั่วยุสำเร็จ นี่ถ้าเป็นผู้หญิงจริงคงไม่รอดแล้ว
ฟรังก้าแอบถอนหายใจโล่งอก เชื่อว่าเด็กหนุ่มปากหมาคนนี้คงแทบไม่มีเสน่ห์กับเพศตรงข้ามเลย อย่างน้อยก็ในปัจจุบัน
จินนานอกจากจะรู้สึกโกรธที่ถูกเยาะเย้ยแล้ว ก็ยังได้ความมั่นใจกลับคืนมาพอสมควร
ทีแรกเธอนึกว่าสติปัญญาระหว่างชาร์ลกับตน จะห่างกันมากจนเกินเยียวยาแล้ว
แน่นอนว่าการที่ชาร์ลเชื่อมั่นในข้อมูลโดยไม่หวั่นไหว คือเรื่องที่น่าชื่นชมเช่นกัน
เธอเม้มปากพูด
“ฉันเริ่มจะเข้าใจความน่ากลัวของโลกศาสตร์เร้นลับมากขึ้นแล้ว”
ความผิดปกติในบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดนั้น น่ากลัวและน่าตกใจยิ่งกว่าฉากในถ้ำลับหุบเขาเหมืองหินเสียอีก
เมื่อเทียบกันแล้ว เหตุการณ์ก่อนหน้าที่เธอถูกวิตถารเฮิดซ์มอมยาและพาลงใต้ดิน ดูจะใกล้เคียงกับคดีอาชญากรรมมากกว่า
“ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เหตุการณ์ประหลาดทำนองนี้จะยิ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง” ฟรังก้าไม่พลาดโอกาสสอนจินนา พยายามกระตุ้นให้เธอมีแรงผลักดัน มีแรงกระหายที่จะก้าวหน้า
ลูเมี่ยนยังเสริมว่า ‘ตัวเขา’ เดาว่าการเข้าไปในบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดในช่วงเวลาที่ไม่เจาะจง จะส่งอิทธิพลต่อผู้วิเศษเส้นทาง ‘นักล่า’ กับ ‘แม่มด’ เท่านั้น
หลังจากสนทนากันอีกพักใหญ่ เมื่อฟรังก้าและจินนาเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว พวกเธอก็พากันถือนิตยสารศาสตร์เร้นลับหนาเป็นปึก ออกจากโรงแรมระกาทอง แล้วกลับไปยังถนนเสื้อนอกขาว
…………
บ่ายสามโมงวันถัดมา หลังจากแสร้งทำเป็นหมกตัวอยู่ที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยตลอดทั้งวัน ลูเมี่ยนแอบโดยสารรถม้าสาธารณะ เปลี่ยนเส้นทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงท่าเรือลาวีนในเขตจัตุรัส เพื่อฟังการเทศนาจากบิชอปแห่งมิสเตอร์ฟูล
ที่นี่เป็นท่าเรือแม่น้ำที่คึกคักมาก เต็มไปด้วยเรือกลไฟคอยพ่นไอน้ำสีขาว คนงานท่าเรือจำนวนมากอาศัยเครื่องมือต่างๆ หรือร่างกายของตัวเอง ขนลังสินค้าลงมาวางซ้อนกันบนแผ่นกระดานเรียบที่วางอยู่บนราง
นอกจากนี้ ริมท่าเทียบเรือยังเต็มไปด้วยเครื่องจักรขนาดมหึมาตั้งตระหง่าน บางอันสูงถึงกว่าสิบยี่สิบเมตร ประกอบจากโครงสร้างเหล็กกล้าล้วน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรไอน้ำขนาดยักษ์ อาศัยการควบคุมโดยช่างชำนาญการ คอยยกกล่องเหล็กที่มนุษย์จนปัญญาจะยกขึ้นมาทีละใบ
ลูเมี่ยนกวาดตามองสอดส่าย สัมผัสได้ว่าที่นี่ทั้งวุ่นวายและคึกคัก ทั้งยิ่งใหญ่และสกปรก ทั้งเต็มไปด้วยพลังชีวิต และแฝงความโหดร้ายอย่างไม่ปิดบัง
เด็กหนุ่มถอนสายตากลับ เดินเล่นอ้อมไปรอบท่าเรือ โดยมิได้ถามไถ่คนต่างถิ่นที่หน้าตาเหมือนชาวทะเลว่า วิหารของเดอะฟูลอยู่ตรงไหน ทำตัวราวกับเป็นนักท่องเที่ยวที่นึกสนุกแวะมาเยี่ยมชม
รอบท่าเรือมีตึกรามเรียงรายเป็นวง เต็มไปด้วยบาร์ โรงแรม โกดังสินค้า ร้านเบียร์ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และคาบาเร่ต์ บนถนนก็มีพ่อค้าแม่ค้าตะโกนขายของเต็มไปหมด
ลูเมี่ยนยังเห็นหน้าต่างกระจกฝ้าที่มีบานเกล็ดสีเขียวด้วย
มันเป็นตึกขายบริการสำหรับโสเภณีถูกกฎหมาย
หลังจากเดินวนไปเกือบรอบ ลูเมี่ยนก็มองเห็นวิหารของมิสเตอร์ฟูล
ตัวอาคารตั้งแยกออกมาโดดเดี่ยว ภายนอกดูธรรมดา เหมือนดัดแปลงมาจากบ้านปกติสี่ชั้น ต่อเติมหอระฆังและหลังคาแหลม
ตัวอาคารสีดำทั้งหลัง บนผนังด้านหน้าแกะสลักสัญลักษณ์ทางศาสตร์เร้นลับที่ลูเมี่ยนคุ้นเคยดี
นั่นคือสัญลักษณ์ของมิสเตอร์ฟูล มีสีเงินขาว เป็นการผสมผสานระหว่าง ‘ดวงเนตรไร้ม่านตา’ ที่ไม่สมบูรณ์ กับส่วนหนึ่งของ ‘เส้นเกลียว’
ในฐานะ ‘นักล่า’ การเก็บรายละเอียดภาพแวดล้อมไว้ล่วงหน้าเมื่อมีโอกาส ถือเป็นสัญชาตญาณติดตัวประเภทหนึ่ง
เดินไปสิบกว่าเมตร เด็กหนุ่มเลือกบาร์ที่ชื่อ ‘ลมทะเล’ โดยตั้งใจจะฟังพ่อค้า กะลาสี และชาวเมืองในย่านนี้ ถึงความเห็นเกี่ยวกับวิหารเดอะฟูล
บาร์ลมทะเลตกแต่งเหมือนห้องเก็บของในเรือ มีสิ่งของมากมายแขวนไว้บนผนัง เช่นตัวอย่างปลา พวงมาลัยเรือ เศษใบเรือ กลิ่นเหล้าและเครื่องสำอางราคาถูกลอยอบอวลในอากาศ
สำหรับคนที่แต่งตัวเป็นกะลาสี บางคนจับกลุ่มนั่งเล่นไพ่ บางคนก็คลอเคลียโสเภณีตรงมุมห้อง บางคนก็ซดเหล้าไม่ยั้งตรงเคาน์เตอร์บาร์พร้อมกับคุยโว
ลูเมี่ยนกวาดตามองรอบห้อง แลเห็นชายคนหนึ่งซึ่งไม่อาจมองข้ามได้
อีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงโซฟาเดี่ยวใกล้เคาน์เตอร์บาร์ สองมือไพล่หลังพาดบนพนักเก้าอี้ เป็นครั้งคราวหยิบเบียร์ข้าวโอ๊ตขึ้นมาจิบ สองขายกขึ้นพาดขอบโต๊ะกลมตัวเล็ก มาดค่อนข้างหยิ่งผยอง
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของลูเมี่ยนมิใช่สภาพของชายคนนี้ แต่เป็นท่าทีของพวกกะลาสีรอบๆ
หากไม่จงใจหลีกเลี่ยงการเดินผ่านหน้า ก็จะผ่านไปด้วยสีหน้าพินอบพิเทาเคลือบความเคารพยำเกรง บางคนพูดคุยหยอกล้อชายคนนั้นไม่กี่คำ แล้วก็โดนล้อเลียน แต่กลับยังทำหน้าภูมิอกภูมิใจ
บุคคลสำคัญจากทะเล? มีชื่อเสียงมาก? ลูเมี่ยนแสร้งทำเป็นมองอีกฝ่ายผ่านๆ
อายุราวสามสิบ สวมเสื้อเชิ้ตลินิน เสื้อกั๊กสีน้ำตาล กางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้ม รองเท้าบูตหนังสีดำ คิ้วและผมสีเหลืองไหม้ ราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มแต่สว่างสดใส โครงหน้าเหมือนคนอินทิสภาคใต้
ลูเมี่ยนรู้สึกถึงสายตาของชายคนนั้นเผยรอยยิ้ม ชูเบียร์ข้าวโอ๊ตในมือเล็กน้อย
ลูเมี่ยนยิ้มตอบ เดินตรงไปตรงเคาน์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มอย่าง ‘แลงติร้อนแรง’ ที่โจรสลัดและกะลาสีชื่นชอบที่สุด
หลังจากจิบเหล้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นมอลต์และรสชาติเผ็ดร้อน เด็กหนุ่มมิได้ปิดบังความสงสัย ใช้คางชี้ไปทางโซฟาเดี่ยวใกล้ๆ แล้วถามบาร์เทนเดอร์ด้วยเสียงต่ำ
“นั่นใครหรือ?”
สีหน้าของบาร์เทนเดอร์กลายเป็นเคร่งขรึมทันที ถามกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำเช่นกัน
“คุณไม่รู้จักหรือ?”
ในสายตาของเขา การไม่รู้จักชายคนนั้น ดูจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
……………………………………………….
.