ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 286 ทำนายด้วยกระจกวิเศษ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 286 ทำนายด้วยกระจกวิเศษ
ตอนที่ 286 ทำนายด้วยกระจกวิเศษ
โอลเซ่นมิได้สนใจลูเมี่ยนที่เปลี่ยนไปทำหน้าเครียดกะทันหัน เพียงกล่าวด้วยเสียงแหบเล็กน้อย
“ตามธรรมเนียมแล้ว ‘จเร’ อย่างผมต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวสักครั้ง”
ลูเมี่ยนถอนหายใจแผ่วเบา
“คุยเรื่องอะไร”
โอลเซ่นวางกระเป๋าหนังสีน้ำตาลอ่อนใบเล็กตรงขาข้างซ้ายลง
“ถ้าคุณพบว่า ‘ผู้การ’ ของคุณ หรือก็คือการ์ดเนอร์·มาร์ติน มีปัญหาหรือเกิดความผิดปกติ ให้รายงานมาที่ผมทันที”
ก็คิดจะทำอยู่แล้ว… มีเพียงการพบปัญหาในตัวบอสเท่านั้น ตำแหน่งถึงจะว่างลงได้… ลูเมี่ยนรำพันจิกกัดในใจแผ่วเบา จากนั้นจึงกล่าว
“ผมต้องติดต่อคุณยังไง”
โอลเซ่นมองตาลูเมี่ยนแล้วพูด
“ฝากข้อความไว้ที่ห้องใต้ดินของบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด”
บ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด… ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กพัวพันกับอาคารที่ถูกเผาจนเกรียมนั่นจริงๆ สินะ… โอลเซ่นคงเคยเข้าไปในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่แล้ว จนถูกมลทินปนเปื้อนอย่างลึกซึ้ง ทำให้มีวิธีใช้ประโยชน์จาก ‘ความผิดปกติ’ ของบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด… ลูเมี่ยนนึกถึงประสบการณ์เมื่อคืนก่อน รู้สึกว่า ‘จเร’ โอลเซ่นดูลึกลับยิ่งกว่า ‘ผู้การ’ การ์ดเนอร์·มาร์ตินเสียอีก
เขาสงสัยว่าคนที่แอบจับตาดูทุกการกระทำของตนในบ้านหลังดังกล่าวคือโอลเซ่น — คนอย่างการ์ดเนอร์·มาร์ตินคงไม่เต็มใจเข้าไปในนั้นหากไม่จำเป็น
หากคำนึงจากข้อเท็จจริงที่ว่า บ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดถูกเผาทำลายเมื่อสิบกว่าปีก่อน รวมถึงคำพูดของมิสเตอร์ K ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กเริ่มห่างเหินจากองค์กรที่ศรัทธาพระองค์ท่านในช่วงไม่กี่ปีหลัง’ เมื่อนำมาผนวกกับคำพูดของมาดามเมจิกเชี่ยน ที่บอกว่า ‘พิธีค้างคืน’ มิใช่การทดสอบตามปกติของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ลูเมี่ยนก็เริ่มมองเห็นเค้าโครงของเหตุการณ์ได้อย่างคลุมเครือ แม้จะยังไม่สมบูรณ์นักก็ตาม
เด็กหนุ่มสงสัยว่า ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กอาจไม่ใช่ตัวการเผาทำลายบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด แต่เป็นคนค้นพบความลับของอาคารในภายหลัง จนถูกมลทินปนเปื้อนในระดับหนึ่ง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ
แน่นอน มันอาจตรงกันข้ามก็ได้ บางที ชาวชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กบางคนอาจถูกปนเปื้อนมาจากสถานที่อื่น จึงช่วยให้ค้นพบ ‘ความผิดปกติ’ ของบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด
“ได้ครับ” ลูเมี่ยนพยักหน้าตกลง
ท่ามกลางกระแสความคิดที่หมุนวน เด็กหนุ่มมอง ‘จเร’ โอลเซ่น และถามโดยไม่ปิดบังความสงสัย
“ผู้ค้าที่ผมเห็นในโพรงเหมืองอัลแบร์คือคุณจริงหรือ? หัวของคุณสามารถแยกออกจากร่างกายและยังดำรงอยู่ได้?”
“หรือว่านั่นเป็นภาพลวงตาที่คุณสร้าง?”
โอลเซ่นหัวเราะในคอ
“พอดีเลย ‘จเร’ อย่างผมมีสามสิ่งที่ต้องบอกคุณ”
“หนึ่ง สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป”
“สอง ในท้ายที่สุดพวกเราทุกคนจะเข้าสู่ทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่ นี่คือชะตากรรมของเรา”
“สาม อย่าเชื่อคำพูดใครง่ายๆ”
อย่าเชื่อคำพูดใครง่ายๆ … น่าสนใจดีนี่… งั้นฉันควรเชื่อประโยคแรกของนายไหม? สิ่งที่เราเห็นในโพรงเหมืองอัลแบร์คือความจริง ไม่ใช่ภาพลวงตา? หึหึ… กล้าพูดเรื่องชะตากรรมต่อหน้าฉัน ทางนี้น่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่เทอร์มีโพลอส แกทนได้หรือ? ลูเมี่ยนฝืนข่มใจไม่ยกมือขวาขึ้นมาทาบหน้าอกซ้าย
เมื่อเห็นโอลเซ่นหยิบกระเป๋าหนังสีน้ำตาลอ่อนใบเล็กขึ้นมาอีกครั้ง ทำท่าเหมือนจะจากไป ลูเมี่ยนถามรั้งด้วยความสงสัย
“ข้างในใส่อะไรไว้กันแน่ ทำไมคุณถึงต้องถือมันตลอด?”
โอลเซ่นยิ้ม
“ถ้าผมเป็นคุณ คงสวดวิงวอนให้ตัวเองไม่มีวันได้ทราบคำตอบ”
พูดจบแล้ว จเรนายนี้ก็เปิดประตูห้องโดยสารของรถม้าที่กำลังวิ่ง กระโดดเข้าไปในความมืดด้านนอก อันตรธานหายไปทันที
เขาไม่ได้ใช้พลังเพื่อตบตาประสาทสัมผัสของลูเมี่ยนเหมือนตอนที่แอบเข้ามา
“ลึกลับซับซ้อนจริงๆ …” ลูเมี่ยนพึมพำเสียงค่อย
หลังจากนั่งรถม้ากลับมาถึงเขตตลาด เด็กหนุ่มไม่รีบกลับโรงแรมระกาทองหรือบ้านลับในถนนเสื้อนอกขาวทันที เพื่ออัญเชิญผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยนและเขียนแจ้งข่าวการเข้าร่วมชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กอย่างเป็นทางการ แต่เลือกเดินเข้าคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
นั่นก็เพราะว่า เขายังระแวงว่าพวกชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กสุดแสนจะเจ้าเล่ห์ อาจฉวยโอกาสจากช่วงเวลาที่ตนประมาทเป็นพิเศษนี้ เพื่อแอบสอดแนมเป็นครั้งสุดท้าย
แม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยน แต่การกลับห้อง 207 หรือบ้านลับในช่วงเวลานี้ จะไม่สอดคล้องกับรูปแบบของลูเมี่ยน ซึ่งอาจทำให้ถูกสงสัยได้ง่าย
ลูเมี่ยนนั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์ สั่งไวน์แดงอ่อนหนึ่งแก้ว จิบไปพลางชมดนตรีและการเต้นรำบนเวที
คืนนี้จินนาหยุดพัก นักร้องคือ ‘นางพญา’ อีกสองคน กับนักร้องใต้ดินชายที่โด่งดังด้านความทรงพลังของเสียง
…………
เขตเนินเขา ด้านนอกอารามในหุบเขาลึก
จินนาซึ่งสวมหน้ากากครึ่งหน้าสีเงินขาว มองฟรังก้าที่แต่งชุดนักลอบสังหารด้วยใบหน้าเจือความกังวล
“คืนนี้เราจะทำอะไร?”
“อย่าบอกนะว่าคิดจะแอบเข้าไปสืบข่าวในอาราม?”
“ไม่มีทาง!” ฟรังก้าปฏิเสธทันควัน “อารามในหุบเขาลึกถือเป็นอารามที่มีชื่อเสียงของศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยผู้วิเศษมากฝีมือ แต่ยังซุกซ่อนของวิเศษแปลกๆ ที่นักบวช ‘ช่างฝีมือ’ พวกนั้นสร้างขึ้น ลำพังพวกเราสองคน ถ้าเข้าไปก็ไม่ต่างจากการประเคนอาหารให้ถึงปาก ไม่สิ… ไม่ต่างจากการประเคน…”
พูดถึงตรงนี้ ในความคิดของฟรังก้าเต็มไปด้วยเรื่องแย่ๆ
เธอได้ยินมาว่า แม้นักบวชที่นี่จะไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ทุ่มเทกายใจให้กับการศึกษาไอน้ำและเครื่องจักร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่แตะต้องผู้หญิงหรือผู้ชาย
ศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำไม่ได้ห้ามเรื่องนี้!
ตามข่าวลือ พระสงฆ์บางส่วนจะหาโสเภณีมาคลายเครียดเป็นระยะ และบางส่วนก็ทำกับเพื่อนร่วมงาน หรือผู้ชายขายบริการ
ที่เหลือส่วนใหญ่คลั่งไคล้เครื่องจักร หรือบำเพ็ญตนอย่างเคร่งครัด สามารถควบคุมตัวเองได้
แน่นอนว่าเมื่อเป็นข่าวลือสีกุหลาบพรรค์นี้ ชาวทรีอาร์มักชอบใส่สีตีไข่เกินจริง หรือใส่ความคิดของตัวเองลงไป ซึ่งทำให้หลุดกรอบไปจากข้อเท็จจริงมาก ฟรังก้าจึงมิได้ปักใจเชื่อทั้งหมด แต่ก็ไม่กล้าไม่เชื่อทั้งหมด
เธอคิดว่านักบวชบางส่วนคงมีปัญหาทำนองนั้นจริง แต่ไม่ใช่กระแสหลัก แต่ถึงแม้จะไม่ใช่กระแสหลัก การแอบเข้าไปในอารามด้วยสถานะ ‘ผู้วิเศษเถื่อน’ ก็ยังถือเป็นเรื่องอันตราย มีสิทธิ์ถูกเครื่องจักรเชือดทิ้งโดยไม่ตั้งใจ ถูกจับไปเป็นหนูทดลอง หรือกลายเป็นของเล่นของนักบวชส่วนน้อย มีโอกาสเพียงไม่มากที่จะสืบข่าวสำเร็จและรอดกลับออกมาได้
โดยสรุป ไม่ว่าชายหรือหญิง หากยังไม่ถึงลำดับ 4 หรือไม่มีความมั่นใจมากพอ ก็อย่าคิดจะแอบเข้าไปในอารามในหุบเขาลึก
ใบหน้าของฟรังก้าที่ซ่อนอยู่ใต้ฮู้ดเผยรอยยิ้ม อธิบายอย่างอารมณ์ดี
“วันนี้ทั้งวัน พวกเราตรวจสอบละแวกนี้จนทั่วแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดเลย”
“แต่มีอยู่สถานที่หนึ่งที่พวกเรายังไม่เคยเข้าไป”
จินนาพยายามนึกย้อนกลับไป ก่อนจะลองตอบ
“เหมืองหินในหุบเขาลึก?”
“ถูกต้อง” ฟรังก้าพูดยิ้มๆ “คืนนี้เราจะแอบเข้าไปข้างใน ลองสำรวจดูสักครั้ง”
อันที่จริง เธอไม่คิดว่าพวกตนจะค้นพบเบาะแสใด อย่างไรเสีย ผู้วิเศษทางการคงสำรวจไปหมดแล้ว เธอแค่ให้จินนาเห็นขั้นตอนการทำงาน เมื่อเจอสถานการณ์ที่คล้ายกันจะได้รับมือถูก
“อา” จินนาพยักหน้ารับ
ฟรังก้าฉวยโอกาสสอน
“แต่ก่อนที่จะแอบเข้าไป เราต้องเตรียมตัวเบื้องต้นก่อน”
“สำหรับ ‘นักลอบสังหาร’ มันคือการทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม เก็บข้อมูล สำรวจสถานที่และเส้นทาง แต่ในกรณีของ ‘แม่มด’ มันคือการทำนายล่วงหน้าสักครั้ง”
ฟรังก้าพูดไปพลางหยิบกระจกขนาดเท่าฝ่ามือที่พกติดตัวมาด้วย
จินนารวบรวมสมาธิทันที
เธอสงสัยเกี่ยวกับพลังประเภทกระจกของ ‘แม่มด’ มานานแล้ว
ก่อนหน้านี้ ตอนเธอลอบสังหารฮิวจ์·อาร์ทัวส์แล้วหนีไปยังโรงแรมระกาทอง ฟรังก้าได้ยินว่าเธอทิ้งเลือดไว้ที่เกิดเหตุ จึงรีบใช้ ‘กระจกตัวแทน’ ช่วยตัดการเชื่อมโยงทางศาสตร์เร้นลับระหว่างร่างต้นของเธอกับเลือดเหล่านั้น
“เมื่อกลายเป็นแม่มด เธอจะได้รับความรู้เกี่ยวกับ ‘การทำนายด้วยกระจกวิเศษ’ และ ‘การทำนายด้วยไม้เท้า’ โดยปริยาย ส่วนศาสตร์การทำนายด้านอื่นต้องมาเรียนรู้เพิ่มเติมเอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับแม่มด”
“สำหรับ ‘การทำนายด้วยกระจกวิเศษ’ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกเป้าหมายการสวดวิงวอนให้ดี เพราะแก่นแท้ของ ‘การทำนายด้วยกระจกวิเศษ’ คือการวาดเครื่องหมายเร้นลับบนผิวกระจก เชื่อมต่อกับองค์ซ่อนเร้น และรับคำตอบจากอีกฝ่าย หากองค์ซ่อนเร้นดังกล่าวมีเจตนาร้าย หรืออยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง ก็อาจสร้างอิทธิพลแง่ลบกับเราโดยตรง หรือไม่ก็มอบผลการทำนายที่เคลือบแฝงกับดักมาด้วย นำพาอันตรายมาสู่พวกเรา”
“เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะบอกพระนามของสิ่งที่สามารถวิงวอนได้อย่างปลอดภัยสักสองสามชื่อ พวกท่านล้วนได้รับการพิสูจน์แล้ว จากบรรดาทั้งหมด มีท่านหนึ่งมอบคำทำนายได้แม่นยำยิ่งกว่าใคร เพียงแต่ท่านจะเรียกร้องค่าตอบแทนที่เหมาะสมจากเราด้วย… หากไม่ใช่เรื่องใหญ่หลวงหรือคอขาดบาดตาย ฉันจะไม่วิงวอนถึงท่านเด็ดขาด”
“ค่าตอบแทนอะไร?” จินนาถูกกระตุ้นความสนใจ
ฟรังก้ากระแอมอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“ค่าตอบแทนที่อาจทำให้เธอตายทางสังคม… อาจไม่ร้ายแรงขนาดนั้น แต่จะทำให้เธออับอายแน่นอน”
ฟรังก้ายังไม่ลืมว่า ครั้งแรกที่เธอขอร้องอีกฝ่ายเพื่อ ‘ทำนายด้วยกระจกวิเศษ’ ต่อหน้ามาดามจัดจ์เมนต์ อีกฝ่ายถามกลับมาว่า “ในยามที่ช่วยตัวเอง คุณเคยจินตนาการถึงผู้ชายบางคนและอยากลองทำดูใช่ไหม?”
คำถามดังกล่าวทำให้เธอแทบอยากทุบกระจกสื่อกลางให้แหลกละเอียด ตอนนั้นฟรังก้าเพิ่งกลายเป็นแม่มดได้ไม่นาน การตระหนักรู้ในตัวเองยังคงเป็นเพศชายเต็มร้อย แต่ร่างกายได้กลายเป็นสตรีไปแล้ว ด้วยนิสัยชอบลองของใหม่ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงผู้ชายเป็นครั้งคราว ทุกครั้งจะรู้สึกผิดอย่างยิ่ง ละอายใจอย่างยิ่ง ส่งผลให้เรื่องนี้ถูกเปิดเผยต่อหน้าครึ่งเทพ และยังต้องตอบอย่างซื่อสัตย์ด้วย
จนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่ฟรังก้านึกย้อนกลับไป เธอยังคงอยากฝังหัวลงในทราย ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น ไม่มองอะไรทั้งสิ้น
อะไรคือการตายทางสังคม? นี่แหละคือคำตอบ!
ฟรังก้ารู้สึกว่า ในภายหลังที่เธอไปลองทำกับการ์ดเนอร์·มาร์ติน ก็ได้รับอิทธิพลจากเรื่องนี้ไปไม่น้อย ส่งผลให้กำแพงทางใจเกิดรอยร้าว รู้สึกสิ้นหวังกับตัวเองอยู่หลายส่วน
อับอาย… ตายทางสังคม… เคยประสบด้วยตัวเองมาแล้วสินะ แถมยังฝังใจจนถึงทุกวันนี้… จินนาตระหนักถึงความนัยแฝงจากคำพูดของฟรังก้า
หญิงสาวรำพันในใจสองสามคำ แต่มิได้ถามต่อ
ฟรังก้าอธิบายขั้นตอน ‘การทำนายด้วยกระจกวิเศษ’ อย่างรวบรัด และปิดท้ายด้วยการสาธิต
เธอใช้มือลูบไล้ผิวกระจกอย่างทะนุถนอม และสวดคาถาถึงองค์ซ่อนเร้นที่ถูกยืนยันแล้วว่าปลอดภัย
เมื่อกระจกเริ่มส่องแสงพรายราวกับผิวน้ำ เธอถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“การสำรวจเหมืองหินในหุบเขาลึกของทรีอาร์ในค่ำคืนนี้ จะมีอันตรายหรือไม่”
เนื่องจากเป็นการทำนายแบบคำถาม ข้อกำหนดของ ‘ประโยคทำนาย’ จึงไม่เข้มงวดนัก
ขณะจินนากำลังเพ่งมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นปนคาดหวัง เสียงแหบชราราวกับก้องกังวานอยู่ใต้ก้นแม่น้ำ ก็ดังออกมาจากในกระจก
“อันตรายปานกลาง”
…………………………………………………….
.