ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 280 ผู้เคาะประตู
ตอนที่ 280 ผู้เคาะประตู
เมื่อนึกออกว่าบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดเป็นสถานที่แบบใด สิ่งแรกในหัวลูเมี่ยนคือ การ์ดเนอร์·มาร์ตินต้องการทำร้ายตน
ตึกประหลาดที่แม้แต่ผู้วิเศษทางการยังแก้ไขไม่ได้ แล้วนายจะให้ฉันเข้าไปอยู่ทั้งคืน?
ลูเมี่ยนยังจำได้ว่า ครั้งหนึ่งหลังจากที่สวมแว่นส่องความลับ เขาเห็นตึกไหม้เกรียมสีดำอึมครึม เห็นใบหน้าเลือนรางที่มีดวงตาว่างเปล่าเหลือเกินอยู่หลังหน้าต่างกระจกบานหนึ่งของตึกหลังนั้น
ตอนนั้นเขารู้สึกไม่สบายใจโดยสัญชาตญาณ ทราบได้ทันทีว่า ตึกหลังนี้คือ ‘สถานที่อันตราย’ ที่ออสตา·ทรูเอลกล่าวถึง แต่เนื่องจากเขาไม่มีความคิดที่จะเข้าไปสำรวจ ขาดจิตวิญญาณในการผจญภัย ไม่มีทางเข้าไปกระตุ้นความผิดปกติภายในนั้นแน่ เด็กหนุ่มจึงหันหลังให้ และผลักเรื่องนี้ออกจากสมองทันที
ท่ามกลางความคิดที่แล่นปราดราวสายฟ้า ลูเมี่ยนตัดความเป็นไปได้ที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินจะวางกับดักในตึกไหม้นั่นเพื่อสังหารตนออกไป
ในฐานะสมาชิกขององค์กรลับ ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ในฐานะผู้วิเศษฝีมือฉกาจฉกรรจ์ ขั้นต่ำสุดคือลำดับ 6 และอาจเป็นถึงลำดับ 5 หากบอสใหญ่พรรคซาฟาห์คนนี้ต้องการกำจัดลูกน้องคนหนึ่งซึ่งมีใจคิดคดทรยศ เขาย่อมมีสรรพวิธีการ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมหรือซับซ้อนให้ยุ่งยาก
ขณะเดียวกัน ลูเมี่ยนนึกถึงสิ่งที่ตนเห็นและได้ยินมาในช่วงหลัง:
ตึกไหม้หลังดังกล่าวอยู่ใกล้กับถนนเสื้อนอกขาว ทุกครั้งที่เขาเดินจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อยไปยังบ้านลับ หรือไปหาฟรังก้า ก็มักจะผ่านมันเสมอ และมักเห็นคนไร้บ้านนอนหลบฝนอยู่ข้างใน ไม่เคยเห็นผู้วิเศษทางการหรือตำรวจลาดตระเวนมาไล่ และไม่เคยได้ยินว่าเคยมีใครตายในนั้น
เด็กหนุ่มมีเหตุผลหลักสามข้อที่เชื่อว่าตึกไหม้หลังนั้นอันตรายอย่างยิ่ง: หนึ่ง การชี้นำจากสัมผัสวิญญาณของออสตา·ทรูเอล สอง มันยังไม่ถูกรื้อถอน ราวกับมีพลังลึกลับคอยขัดขวางไม่ให้เกิดขึ้น และสาม ความรู้สึกเชิงญาณของตัวเขาเองหลังจากสวมแว่นส่องความลับ
เมื่อผนวกทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกัน ลูเมี่ยนเชื่อว่าที่นั่นมีปัญหา และเป็นปัญหาใหญ่ไม่น้อย แต่ในสถานการณ์ปกติ ความพิสดารจะถูกกระตุ้นไม่ง่ายนัก จำเป็นต้องมีเงื่อนไขเฉพาะ
“แต่ถ้าปัญหาไม่ปะทุ การ์ดเนอร์·มาร์ตินจะส่งเราไปอยู่ทั้งคืนทำไม… เพื่อทดสอบความกล้า? นี่มันไร้ความหมายที่สุดเลย” ลูเมี่ยนรำพันโดยไม่เปล่งเสียง
เด็กหนุ่มเชื่อว่า ในความประทับใจที่ตนทิ้งไว้ให้การ์ดเนอร์·มาร์ตินและคนอื่น สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นความกล้าหาญ
หลังจากใคร่ครวญสักพัก ลูเมี่ยนมองการ์ดเนอร์·มาร์ติน พูดอย่างไม่ปิดบังความกังวลและความสงสัย
“บ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด… ผมได้ยินมาว่าที่นั่นไม่ค่อยปกติ”
“ถ้ามันปกติ การส่งคุณไปอยู่ในนั้นทั้งคืนจะถือเป็นการทดสอบได้อย่างไร?” การ์ดเนอร์·มาร์ตินตอบยิ้มๆ “ถ้าคุณรับมือได้ไม่แย่นัก จะต้องออกมาอย่างปลอดภัยได้แน่”
นี่เป็นการทดสอบว่า เราจะรับมือกับเหตุการณ์ผิดปกติที่ ‘เกิดขึ้นกะทันหัน’ อย่างไร ภายใต้เงื่อนไขที่มีข้อมูลไม่มากนัก? ลูเมี่ยนพยักหน้าอย่างเข้าใจในทีแรก ก่อนจะเกิดความสงสัยมากขึ้น:
“ถ้ามีเป้าหมายแบบนั้นจริง ทำไมการ์ดเนอร์·มาร์ตินถึงมาหาเราดึกๆ ดื่นๆ และบอกให้ไปบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดทันที? ไม่รอให้ถึงเวลากลางวันก่อนแล้วค่อยสั่ง? แบบนั้นยังจะได้ทดสอบฝีมือในการรวบรวมข้อมูลของเรา ได้เห็นว่าเราติดต่อกับใครบ้าง…”
“ด้วยคำสั่งแบบนี้ สิ่งที่กระทบต่อเรามากที่สุด คือไม่มีโอกาสอัญเชิญผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยนเพื่อขอความคิดเห็นและความช่วยเหลือ ไม่ต้องเผชิญหน้ากับภัยแฝงในตึกไหม้ตามลำพัง…”
“แต่การ์ดเนอร์·มาร์ตินไม่รู้ว่าเราสามารถอัญเชิญผู้ส่งสารของครึ่งเทพได้ สิ่งที่เขาระแวงคงไม่ใช่ประเด็นนี้… ถ้าเขาสงสัยว่ามีกลุ่มอิทธิพลอื่นคอยหนุนหลังเรา ก็คงไม่เปิดโอกาสให้แทรกตัวเข้าสู่แกนหลักของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กแน่ คงคิดหาวิธีทำให้เรา ‘หายตัวไป’ อย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว…”
“อา… ถ้าเขาสงสัยทำนองนั้นจริง ก็ต้องบอกเราล่วงหน้านานกว่านี้ เพื่อดูว่าแอบไปที่ไหนบ้าง ติดต่อใครบ้าง แล้วค่อยยืนยันว่ามีปัญหาหรือไม่…”
“ที่มาสั่งอย่างกระชั้นชิดแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์อื่น…”
“หรือกลัวว่าถ้าให้เวลาเตรียมตัวนาน เราอาจเปลี่ยนใจ ไม่ไปบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด แต่เลือกขายข้อมูลที่ว่า ‘ตึกไหม้อาจเกี่ยวข้องกับชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ให้ทางการแทน?”
“แต่ปัญหาคือ ต่อให้เราอยู่ถึงเช้าได้สำเร็จ ก็ยังสามารถเปลี่ยนใจและทรยศพวกเขาได้อยู่ดี… หรือจะรับตัวไปทันที แล้วทำพันธสัญญากันเลย?”
ลูเมี่ยนคิดจนปวดหัว แต่ก็ยังคาดเดาเจตนาที่แท้จริงของการ์ดเนอร์·มาร์ตินไม่ออก
การทดสอบคงเป็นส่วนหนึ่ง แต่แน่นอนว่ายังมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่!
สิ่งเดียวที่ลูเมี่ยนมั่นใจคือ การ์ดเนอร์·มาร์ตินยังไม่คิดสังหารตน ภารกิจคราวนี้อาจเสี่ยงต่อชีวิต แต่ก็คงไม่มากนัก ภัยแฝงซ่อนอยู่ที่อื่น
ท่ามกลางกระแสความคิดที่ทยอยผุดขึ้นมาและจมลงไปทีละหนึ่ง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจ
“ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินยิ้มให้
“ดีมาก ถ้าคุณตอบตกลงอย่างเต็มใจทันที ผมกลับจะไม่พอใจเสียอีก”
“หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของผู้ที่จะเข้าร่วมแกนหลัก คือต้องมีสมอง รู้จักคิด ไม่อย่างนั้น ผมซื้อหุ่นยนต์ไอน้ำรุ่นใหม่จากศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำไม่ดีกว่าหรือ?”
กำลังจะบอกว่า ฟรังก้ามีสมองแต่ไม่มากนัก รู้จักคิดแต่ไม่รอบด้าน? ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะรำพัน
แน่นอน เขารู้ดีว่าเหตุผลที่บอสไม่ให้ฟรังก้าเข้าร่วมแกนหลัก คงไม่ใช่เรื่องนี้แน่
หลังจากรำพันเสร็จ ลูเมี่ยนก็ตอบการ์ดเนอร์·มาร์ตินพร้อมรอยยิ้ม
“ชักอยากเป็นแล้วสิ ไอ้แกนหลักที่บอสพูดถึงเนี่ย”
พูดไปก็พลางหมุนตัว เตรียมเดินลงบันไดเพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด
การ์ดเนอร์·มาร์ตินเรียกรั้งเขาไว้ พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“อย่านำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด รวมถึงพวกที่นอนข้างหมอนคุณด้วย อย่างเช่น จินนาที่กำลังร้องเพลงอยู่ข้างล่าง”
“ได้ครับ” ลูเมี่ยนตอบไปแบบนั้น แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วย
เรื่องนี้จะถูกนำไปแบ่งปันกับฟรังก้าและจินนาแน่นอน!
แต่ว่า สองคนนั้นกำลังยุ่งกับการสืบสวนคดี ‘คนเฝ้าประตูอารามในหุบเขาลึกหายตัวไป’ หรืออะไรสักอย่าง จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจกับธุระกงการของพรรคซาฟาห์เท่าไร
ลูเมี่ยนเดินออกจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ยกมือลูบหน้าอกซ้าย
ต่อมา เขาวาดตราสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งกำลังวิงวอนขอพรให้โชคดีจากเทพจักรกลไอน้ำ
พื้นถนนที่เพิ่งผ่านพ้นสายฝนยังเหลือน้ำขังอยู่ ลูเมี่ยนเดินตามเสาไฟถนนสีดำเหล็กต้นแล้วต้นเล่า ไม่เร็วไม่ช้า มาถึงทางแยกใกล้ถนนเสื้อนอกขาว
ตรงหน้าเยื้องๆ คือตึกหกชั้นที่ไหม้จนดำสนิท ผนังหลุดล่อนเป็นจุดๆ ราวกับตัวตึกงอก ‘ตา’ ดำมืดอันว่างเปล่าออกมาหนึ่งคู่
ยามนี้มีคนไร้บ้านสองสามคนนอนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ซึ่งไม่มีทั้งประตูใหญ่และวงกบหน้าต่าง เหลือเพียงอิฐหินดำเกรียม และไม้ที่ไหม้เป็นถ่านเกลื่อนกลาดไปหมด
ลูเมี่ยนยืนอยู่ริมถนน เงยหน้าสังเกตอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่พบใบหน้าเลือนรางบนหน้าต่างบานใดเลย
จำเป็นต้องใส่แว่นส่องความลับก่อนจึงจะ ‘เห็น’? ลูเมี่ยนไม่ลังเลอีก ก้าวข้ามช่องประตูสกปรก เข้าไปในตึกเป้าหมาย
ตัวเขาไม่ตระหนักถึงความผิดปกติใดเลย ทั้งร่างกายและวิญญาณ
เลี่ยงคนไร้บ้านเหล่านั้นไป ลูเมี่ยนพบห้องที่เหมือนจะเป็นห้องนั่งเล่น
ภายในนั้นยังมีห้องขนาดเล็ก ประตูไม้ถูกไฟไหม้จนโยกเยกแต่ไม่ได้เสียหายทั้งหมด นอกหน้าต่างกระจกแตกคือตรอกด้านหลังถนนใหญ่ตลาด
ลูเมี่ยนเดินเข้าไป ปิดประตูไม้บานนั้นอย่างระมัดระวัง
จากนั้น เด็กหนุ่มนั่งลงข้างหน้าต่าง พร้อมกระโดดออกจากตึกพิสดารนี้ทุกเมื่อ
ในสภาวะที่เลี่ยงความกดดันไม่ได้ นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านพ้นไป ยิ่งตกดึกลูเมี่ยนก็ยิ่งไม่พบปัญหา เงียบสงัดเสียจนมีเพียงเสียงไอของคนไร้บ้านดังก้องเป็นครั้งคราว
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มกระตุกหลังตรงกะทันหัน
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเชื่องช้า
เสียงฝีเท้านั้นดังขึ้นต่อเนื่อง จนกระทั่งมีประตูไม้ทรุดโทรมที่มิอาจลงกลอนปิดตายได้สมบูรณ์ส่งเสียง ‘ตุกตุก’ ขึ้นมา ทำเอาบรรยากาศค่ำคืนอันเงียบสงบพลันท่วมท้นด้วยความอึดอัด
ในเวลาเดียวกัน เสียงกังวานซ้อนทับกันของเทอร์มีโพลอสก็ดังขึ้นในความคิดของลูเมี่ยน
“อย่าตอบสนอง”
อย่าตอบสนอง… ขนของลูเมี่ยนลุกชันขึ้นทันที
ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อเทวทูตแห่งชะตากรรมอย่างสนิทใจ แต่เมื่อพิจารณาถึงภาพรวม และชั่งน้ำหนักอยู่สองสามวินาที สุดท้ายก็ยังเลือกมองประตูเงียบๆ โดยไม่ตอบโต้
ตุก ตุก ตุก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นระยะ คั่นด้วยช่วงห่างนาน เชื่องช้าและหนักแน่น
ตุก ตุก ตุก
หลังจากที่คนด้านนอกเคาะอีกพักใหญ่ ในที่สุดก็เปล่งเสียงออกมา
“ช่วยผมด้วย ผมคือคนที่นอนอยู่ข้างนอก”
“ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วย มีฆาตกรบุกเข้ามาในตึก!”
เล่นใหญ่ไปหน่อยไหม… ลูเมี่ยนผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการจิกกัดที่ตัวเองถนัด
เด็กหนุ่มไม่ตอบสนองใดๆ ประหนึ่งไม่มีใครอยู่ในห้องเล็กนี้
เสียงด้านนอกใส่อารมณ์มากขึ้น แต่จังหวะการพูดกลับช้าลงเล็กน้อย มีการชะงักแปลกๆ อย่างคลุมเครือ
“มัน… มา… แล้ว! มัน… มา… แล้ว! ผม… กำลังจะ… ถูกฆ่า!”
“คน… ต่อไป… ก็… คือ… คุณ!”
พอพูดจบ คนที่เคาะประตูก็ส่งเสียงร้องโหยหวนทันที
ลูเมี่ยนได้ยินเสียงกระแทกทื่อๆ ดังตามมา
ตุ้บ! เหมือนมีใครล้มลงบนพื้น
จากนั้น ของหนักด้านนอกประตูก็ถูกลากไปไกลๆ อย่างเชื่องช้า
ไม่นานนัก เสียงสับหั่นที่ทำให้ฟันสั่นก็ดังเล็ดลอดเข้ามาในห้องเล็ก คั่นด้วยเสียงแทะและเสียงเคี้ยวกร้วมกร้าม
ภาพหนึ่งผุดขึ้นในความคิดลูเมี่ยนทันที
ร่างดำทะมึนกำลังนั่งยองอยู่บนพื้น ใช้ขวานหรือของมีคมสักอย่างหั่นศพมนุษย์ สลับกับหยิบแขนข้างหนึ่งขึ้นมา ฉีกกัดไปสองสามคำ
ผ่านไปสักพัก เสียงพรรค์นั้นก็เลือนหายไป
ตุก ตุก ตุก
ใครบางคนเคาะประตูห้องเล็กที่ลูเมี่ยนอยู่อีกครั้ง
“ถ้าคุณ… ไม่เปิดประตู… อีก… ผม… จะ… เข้าไป… เอง” คนพูดยังคงเป็นเสียงเดิมที่ร้องขอความช่วยเหลือเมื่อครู่
ลูเมี่ยนมองประตูไม้ที่จะพังตอนไหนก็ไม่แปลก ในใจผุดความคิดบางอย่าง:
“ตราบใดที่เราไม่ตอบสนอง ความผิดปกติภายนอกก็มิอาจเปิดประตูบานนี้ เพื่อเข้ามาคุกคามเราได้อย่างแท้จริง?”
“ประตูไม่ถูกลงกลอน แถมยังไหม้จนทรุดโทรม เปราะบางมาก แต่มันกลับเปิดไม่ได้…”
“มันเปิดประตูเองไม่ได้เลยสักบาน จำเป็นต้องให้คนหลังประตูตอบสนอง จึงจะสร้างการเชื่อมโยงทางศาสตร์เร้นลับได้?”
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันลึกซึ้งยิ่งขึ้น และมั่นใจในตัวเองมากขึ้นหลายส่วน
ตุก ตุก ตุก พร้อมกับเสียงเคาะประตู คนด้านนอกพูดเป็นช่วงๆ
“ผมไม่ได้… โกหกคุณ”
“ผมจะ… เปิดประตู… เข้าไป… จริงๆ”
“ผมจะให้เวลา… คุณ… อีก… สิบ… วินาที”
ลูเมี่ยนนึกดูแคลน ในใจยิ่งแน่วแน่
เด็กหนุ่มอยากเย้ยหยันในใจทำนอง ‘ถ้าแน่จริงก็เปิดเข้ามาเลย’ แต่กลัวว่านั่นจะถือเป็นการตอบสนองเช่นกัน จึงข่มความคิดเหล่านั้นอย่างยากลำบาก
ตุก ตุก ตุก
หลังจากเว้นช่องไปนาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกสามครั้ง
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนได้ยินเสียงแหลมเบาจนแทบไม่ตระหนักถึง
เด็กหนุ่มมองเห็นประตูไม้ทรุดโทรมที่โยกเยกนั่น บรรจงถอยหลังกลับไป เปิดออกเป็นร่องแคบสีดำสนิท
มันกำลังเปิดออก
………………………………………….
.