ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 279 อารามในหุบเขาลึก
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 279 อารามในหุบเขาลึก
ตอนที่ 279 อารามในหุบเขาลึก
สองสามวินาทีให้หลัง ฟรังก้ายิ้มฝืดพูดว่า
“ไม่ต้องสนใจเขาหรอก หมอนั่นมีชุมนุมศาสตร์เร้นลับของตัวเอง”
จินนาผงกศีรษะเบาๆ โดยไม่พูดต่อ
ทั้งสองสวมเสื้อผ้า หน้ากาก และเครื่องสำอางพอเป็นพิธีเพื่อปลอมตัว ออกจากบ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว เดินไปทางถนนใหญ่ตลาด นั่งรถไฟใต้ดินสาย 2 ที่เชื่อมสถานีรถไฟซูสิต เขตตลาด กับสถานีรถไฟทรีอาร์เหนือ เขตมหาวิหาร จนมาถึงเขต 9 ซึ่งก็คือเขตโรงอุปรากรอันโด่งดังไปทั่วทวีปเหนือ
ย่านนี้มีถนนอาเขตเส้นใหญ่และคึกคักที่สุดในโลก สองข้างทางเป็นห้างสรรพสินค้าและร้านรวงหรูหรา เพดานกระจกที่รองรับด้วยโครงเหล็กด้านบนมีสีสันสดใส วาดภาพศักดิ์สิทธิ์หรือมหากาพย์ ทำให้แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านลงมาเกิดความงดงามอย่างน่าประหลาด
เพื่อชดเชยแสงสว่างที่ไม่เพียงพอจากกระจกสี ตะเกียงน้ำมันก๊าดแบบใหม่บนเสาไฟถนนสีเหล็กดำจึงส่องสว่างอยู่ตลอด แสงขาวเจิดจ้า
สิ่งนี้เรียกว่าตะเกียงเจ้าพายุ พึ่งพาความร้อนในตัวเองหลังจากจุด อาศัยการเปลี่ยนน้ำมันก๊าดให้เป็นไอน้ำ ฉีดพ่นไปตามเส้นใยผ้าอันร้อนระอุรอบๆ เพื่อสร้างแสงสีขาวสว่าง
ในแง่ประสิทธิภาพการส่องสว่าง มันทรงพลังกว่าตะเกียงแก๊สทั่วไปและตะเกียงน้ำมันก๊าดธรรมดาในบ้านหลายเท่า เกิดจากการปรับปรุงโดยศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ
จินนาตามฟรังก้าเข้าไปในห้องน้ำสาธารณะกลางถนนอาเขตโรงละคร แต่ละคนหาห้องแยกกัน เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าง่ายๆ ปกปิดรัศมีเดิมของตน
จากนั้น พวกเธอลงใต้ดินผ่านทางเข้าใกล้ๆ
แตกต่างจากเขตอื่นของทรีอาร์ ถนนใต้ดินที่สอดคล้องกับอาเขตโรงละคร ก็มีผู้คนพลุกพล่านไม่แพ้ด้านบน มีร้านกาแฟ หอศิลป์ โรงเบียร์ และร้านขายสินค้าจิปาถะเต็มไปหมด ไม่รู้สึกมืดมิด เย็นชา หรือปิดทึบเลย
เดินตรงไปเรื่อยๆ จนพ้นย่านดังกล่าว ทรีอาร์ใต้ดินก็กลับสู่รูปแบบที่จินนาจดจำได้
ในฐานะ ‘นักลอบสังหาร’ เธอกับฟรังก้าต่างก็มองเห็นในที่มืด แต่เพื่อมิให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมคนอื่นคาดเดาลำดับถูก จึงถือโคมไฟคาร์ไบด์คนละดวง ปล่อยให้แสงสีเหลืองอมฟ้าฉายไปข้างหน้า
จินนาสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของฟรังก้าและเลียนแบบ สวมหน้ากากโลหะสีเงินขาวที่ปกปิดครึ่งบนของใบหน้า เดินไปตามอุโมงค์ที่ค่อนข้างชื้น ลงไปยังใต้ดินชั้นลึกกว่าเดิมด้วยฝีเท้าแผ่วเบาจนแทบไร้เสียง
หลังจากเดินเตร่อยู่พักหนึ่ง ฟรังก้าชี้ทางแยกด้านหน้า หัวเราะพลางพูดว่า
“ตรงนั้นมีตำนานสยองขวัญ”
“ตำนานอะไร?” จินนาถามอย่างให้ความร่วมมือ
ฟรังก้าพูดยิ้มๆ
“กล่าวกันว่าคนจากโรงอุปรากรมักได้ยินเสียงแปลกๆ ของผู้ชายดังมาจากใต้ดิน จ้างนักล่าเงินรางวัลไปสืบหาสาเหตุอยู่หลายคน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครได้กลับมา”
“ผู้วิเศษทางการไม่ทำอะไรเลยหรือ?” จินนาถามกลับด้วยความสงสัย
“สืบสวนแล้ว แต่ไม่ได้อะไร เพราะนี่เป็นแค่ตำนานที่พวกเราแต่งขึ้นมา” ฟรังก้าหัวเราะหนึ่งชุด
จินนายิ่งงุนงงมากกว่าเดิม
“ทำไมต้องเสียเวลาแต่งตำนานพรรค์นี้?”
เพื่อความสนุก?
ฟรังก้าอธิบายพลางยิ้ม
“เพื่อไม่ให้พวกชาวทรีอาร์ที่ชอบมุดลงใต้ดิน มารบกวนการชุมนุมของเรา”
จินนาพบว่าตนเข้าใจสาเหตุแล้ว เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า:
“ขู่ให้พวกเขากลัว ไม่กล้าเข้าใกล้แถวนี้?”
“ไม่ใช่” ฟรังก้าส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ล่อให้พวกเขาสนใจแค่ตรงนั้น จนละเลยสถานที่ข้างเคียงไป หรือก็คือ หาอะไรให้ชาวเมืองกับพวกนักศึกษามหาวิทยาลัยทรีอาร์ที่ชอบผจญภัยทำ”
จินนาซึ่งเกิดและเติบโตในทรีอาร์ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ อึกอักอยู่สองสามวินาทีก่อนจะพูด
“บัดซบ! คนทรีอาร์รอบตัวฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย!”
ทุกคนต่างทำงานหนักมาก เพียงแต่ชอบไปดื่มอะไรสักหน่อยตามผับหรือคาบาเร่ต์หลังสิ้นสุดวันทำงานอันวุ่นวาย เพื่อร้องเพลง เต้นรำ หรือระบายอารมณ์ด้วยการด่าทอกันไปมา
“คนทรีอาร์กับคนทรีอาร์ก็ไม่เหมือนกัน” ฟรังก้าส่ายหน้าพลางเดาะลิ้น
ระหว่างพูดคุย พวกเธอแทรกตัวไปตามช่องแคบ เลี้ยวเข้าอุโมงค์ใหม่ มาถึงโพรงเหมืองหินที่มีมอสส์สีเขียวเข้มแซมเล็กน้อย
ด้านนอกของโพรงเหมืองหิน มีโครงกระดูกสีขาวยืนอยู่ โดยสวมหน้ากากสีเหล็กบนใบหน้า เบ้าตาว่างเปล่า มืดลึกและมืดมิด
จินนาผู้แทบไม่เคยสัมผัสกับโลกศาสตร์เร้นลับ พอได้เห็นภาพตรงหน้า หัวใจก็เต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้ รู้สึกหวาดหวั่นโดยสัญชาตญาณ
ฟรังก้าโบกมือทักทาย
“ส่งโครงกระดูกมาทุกครั้งไม่เคยขาด… จำเป็นต้องรอบคอบขนาดนี้เลยหรือไง?”
“แม่ง! แถมยังใส่หน้ากากให้โครงกระดูกอีก มีอะไรที่ไม่อยากให้เห็นหรือไง?”
โครงกระดูกสีขาวนั่น เปล่งเสียงราวกับเส้นเสียงเสียดสีกับโลหะ
“ฉันชอบประโยคหนึ่งจากนิยายชุด ‘นักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่’ มากเลยล่ะ…”
“‘มันเป็นมารยาท’”
พูดจบ มันก็หันไปมองจินนาด้วยเบ้าตาอันมืดมิดไร้เปลวไฟ
“แล้วนี่ใคร?”
“เพื่อนฉัน พามาเปิดหูเปิดตาหน่อย” ฟรังก้าตอบรวบรัด
โครงกระดูกนั่นมิได้ถามต่อ กระดิกคอเป็นเสียง ‘กึกกัก’ ส่งสัญญาณว่าทั้งสองสามารถเข้าไปในโพรงเหมืองหินด้านหลังได้
เมื่อเข้าไปข้างใน จินนาเห็นว่ามีคนอยู่ไม่น้อยแล้ว ทุกคนแต่งกายปลอมตัวแตกต่างกันไป บ้างนั่งอยู่บนหิน บ้างยืนอยู่ตรงมุม ไม่มีใครพูดคุย เงียบสงบอย่างยิ่ง
หลังจากมองปราดหนึ่งรอบ จินนากดเสียงต่ำลงถามฟรังก้า
“ปล่อยฉันเข้ามาแบบนี้เลยหรือ?”
ง่ายดายและสะดวกเกินไปไหม?
อาจเป็นคนน่าสงสัยก็ได้ไม่ใช่หรือไง? ไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยเลยหรือ?
ฟรังก้าแค่นหัวเราะ
“ฉันเชื่อใจเขา เขาก็เชื่อใจฉัน”
“อย่างนี้นี่เอง…” จินนาพยักหน้าเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็พบความไม่ชอบมาพากล “แล้วโครงกระดูกนั่นจำเธอได้ยังไง? ทำยังกับไม่ได้ปลอมตัว”
“เขามีวิธีจำคนที่พิเศษ” ฟรังก้าอธิบายคลุมเครือไปคำหนึ่ง
ในอีกสิบห้านาทีต่อมา ยังคงมีผู้คนทยอยมาสมทบอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งโครงกระดูกที่สวมหน้ากากสีเหล็กประกาศว่าช่วงเวลาการค้าขายเริ่มต้นแล้ว ในโพรงเหมืองหินแห่งนี้ก็มีผู้คนมารวมตัวกันเกือบยี่สิบคน
จินนาด้วยใจที่อยากสัมผัสและอยากรู้อยากเห็น คอยจับตาดูการซื้อขายแต่ละรอบ ไถ่ถามฟรังก้าเสียงเบาสองสามคำ เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ มากมาย
ระหว่างนี้ เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับราคาของโอสถ สมบัติวิเศษ อาวุธวิเศษ และวัตถุดิบต่างๆ แม้แต่ราคาถูกที่สุด เธอก็ต้องร้องเพลงใต้ดินทั้งสัปดาห์จึงจะหาเงินได้พอ ส่วนกลุ่มสินค้าราคาแพง เธอรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันเอื้อมถึง
รายการในช่วงท้ายของการค้าขาย ส่วนใหญ่เป็นการมอบหมายงาน จินนานั่งหลังตรงโดยไม่รู้ตัว อยากจะดูว่ามีงานที่ตัวเองทำได้และสามารถทำเงินก้อนโตได้หรือไม่
ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำ ภาพลักษณ์คล้ายกับ ‘จอมเวท’ ตามเรื่องสยองขวัญ พูดด้วยเสียงที่จงใจบีบให้แหลม
“ผมมีภารกิจหนึ่ง มูลค่า 20,000 เฟลคิน”
20,000 เฟลคิน? ทุกคนต่างหันเหสายตาไปหาผู้ว่าจ้าง
จินนาก็เช่นกัน เธอมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยเห็นเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาก่อน
ชายคนดังกล่าวเหลียวซ้ายแลขวาแล้วพูด
“คนเฝ้าประตูอารามในหุบเขาลึก เขตภูเขา หายตัวไปสามวันแล้ว ผมอยากให้พวกคุณช่วยตามหาตัวหรือศพให้พบ”
“ผมไม่สันทัดด้านการตรวจสอบความจริงเท็จของเบาะแส ดังนั้น มีเพียงผู้ที่นำตัวเขาหรือศพของเขามายังอารามในหุบเขาลึกเท่านั้น จึงจะได้รับเงิน 20,000 เฟลคินไป”
“แน่นอน พวกคุณจะนำมาส่งที่นี่ก็ได้เช่นกัน”
อารามในหุบเขาลึกสังกัดศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ เป็นศูนย์รวมของนักบวชน้อยใหญ่ที่ตั้งใจศึกษาค้นคว้าเครื่องจักรและไอน้ำ ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่เผยแผ่ศาสนา ไม่สั่งสอน
อารามนี้ตั้งอยู่ในเขตเนินเขา หรือก็คือเขต 19 ฝั่งทิศตะวันตกติดกับมหาวิหารเทพจักรกลไอน้ำ รวมถึงสถานีรถไฟทรีอาร์เหนือในเขตมหาวิหาร ส่วนฝั่งทิศตะวันออกติดกับเขต 20 หรือก็คือเขตสุสานรวม
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบรับ ชายคนเดิมพูดต่อไป
“ทางการลงมาสืบสวนแล้ว แต่ก็ไม่คืบหน้า”
“ทุกคนสามารถรับงานนี้ได้ ทำทีว่าเป็นนักล่าเงินรางวัลไปลองสืบข้อมูลที่อารามในหุบเขาลึก ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสงสัย หลังจากนี้ผมจะไล่ติดประกาศตามบาร์ คาบาเร่ต์ โรงเบียร์ทุกเขต”
ลองดูก็ไม่เสียหาย ถึงคว้าน้ำเหลวก็ไม่เจ็บตัวอะไร อย่างมากก็เสียเวลาหาเงินไปนิดหน่อย… จินนาหันไปมองฟรังก้าด้วยใจที่ค่อนข้างตื่นเต้น
ฟรังก้าก็พยักหน้าเล็กน้อย เห็นว่าภารกิจนี้รับได้
แง่หนึ่งก็เพราะความอยากรู้อยากเห็น อีกแง่หนึ่งก็มองว่าเป็นประสบการณ์สำหรับจินนา เพื่อให้เธอได้เห็นด้านอื่นของนักลอบสังหารบ้าง มิใช่เอาแต่เดิมพันด้วยชีวิต หากเมื่อใดที่เริ่มได้กลิ่นของอันตรายหรือความผิดปกติ พวกเธอก็มีเวลาเหลือเฟือในการถอนตัว
แน่นอนว่าหนึ่งในเหตุผล คือเงินรางวัลที่ค่อนข้างสูง
หลังจากเงียบไปสักพัก ผู้เข้าร่วมชุมนุมคนอื่นเริ่มตั้งคำถามทีละคนสองคน
ทุกคนต้องการข้อมูลในระดับหนึ่งก่อนจะเริ่มสืบสวนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
ผู้ว่าจ้างตอบกลับอย่างรวบรัด เพียงแค่บอกทุกคนว่า คนเฝ้าประตูอารามที่หายตัวไปชื่อพิงเกอร์ อายุห้าสิบกว่า เป็นชาวเมืองหุบเขาลึกละแวกนั้น ศรัทธาในเทพจักรกลไอน้ำอย่างเคร่งครัด โสดตลอดชีวิต หลงใหลเครื่องจักรอย่างบ้าคลั่ง จึงเป็นสาเหตุที่เขาทำงานเป็นคนเฝ้าประตูอารามในหุบเขาลึก แม้ตัวเองจะเป็นเจ้าของที่ดิน
เขากลับบ้านสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละหนึ่งวัน แต่ไม่ได้หายตัวไประหว่างอยู่ที่บ้าน
เย็นวันก่อนเกิดเหตุ ระหว่างที่เหล่านักบวชคลั่งกลไกกำลังทดสอบสิ่งประดิษฐ์ไอน้ำในลานวัด ก็ยังเห็นพิงเกอร์ยืนอยู่ตรงประตูเรือนผู้ดูแลอยู่เลย คอยมองมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น ใครจะรู้ว่าเช้าวันรุ่งขึ้น เขากลับถูกพบว่าหายตัวไป
จินนาจดจำข้อมูลเหล่านี้อย่างตั้งใจ เฉกเช่นตอนที่เรียนการแสดง
ไม่นานนัก ชุมนุมศาสตร์เร้นลับก็ถึงคราวยุติลง ผู้เข้าร่วมทยอยแยกย้ายออกไปเป็นระยะ ด้วยความเข้าใจโดยปริยาย
…………
หลายวันต่อมาในยามค่ำคืน ลูเมี่ยนนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ในคาบาเร่ต์ลมเอื่อย จิบเครื่องดื่มอัปแซ็งต์ของโปรดพลางดูจินนาร้องเพลงและเต้นรำ
ขณะนั้น ลูอิสเดินเข้ามาใกล้ ก้มลงกระซิบข้างใบหู
“ลูกพี่ บอสมาแล้วครับ รออยู่ที่ร้านกาแฟชั้นสอง”
“บอสมาด้วยตัวเองเลยหรือ?” ลูเมี่ยนค่อนข้างตกใจ
เด็กหนุ่มไม่ถามมาก ดื่มของเหลวสีเขียวที่เหลือรวดเดียวจนหมด ลุกเดินไปทางบันได
การ์ดเนอร์·มาร์ตินกำลังยืนริมหน้าต่าง มิได้สวมชุดทางการ แต่เป็นเสื้อนอกสีน้ำตาลเข้ม หมวกปีกกว้างทรงกลมสีเดียวกัน เหมือนพึ่งมาจากท่าเรือหรือลานกองสินค้า
เขาจ้องลูเมี่ยนหนึ่งวินาทีด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลแดง แล้วส่งสัญญาณบอกให้คนอื่นออกไป
ในไม่ช้า ภายในร้านกาแฟก็เหลือเพียงการ์ดเนอร์·มาร์ตินกับลูเมี่ยนสองต่อสอง
บอสใหญ่พรรคซาฟาห์หัวเราะในลำคอก่อนจะพูด
“ผมเคยแสดงความชื่นชมในตัวคุณหลายครั้งแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ขอบคุณครับบอส” ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ
สีหน้าของการ์ดเนอร์·มาร์ตินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขึงขัง
“สนใจจะเข้าร่วมกลุ่มของผมไหม? คุณจะได้พบกับผู้วิเศษมากขึ้น มีพลังแข็งแกร่งขึ้น และมีทรัพยากรมากขึ้น”
จบการ ‘ประเมิน’ แล้วหรือ? ลูเมี่ยนไม่ได้ปิดบังความสงสัย
“แล้วผมต้องแลกกับอะไร”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินยิ้มอีกครั้ง
“แลกกับการเสี่ยงอันตรายมากขึ้น รวมถึงต้องเชื่อฟังคำสั่ง เพื่อทำภารกิจบางอย่างให้สำเร็จ”
“แต่ถ้าคุณทำได้ดี ต้องได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วแน่นอน บางทีอาจไม่ถึงสองสามปี คุณก็อาจได้มานั่งตำแหน่งของผมแล้ว”
ลูเมี่ยนแกล้งลังเลใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่มีปัญหาครับ”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพยักหน้าเคร่งขรึม
“แต่ก่อนหน้านั้น คุณต้องผ่านการทดสอบหนึ่งอย่างก่อน”
“ไปที่บ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดตอนนี้เลย อยู่ที่นั่นจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น”
13 ถนนใหญ่ตลาด? ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว พยายามนึกย้อนความจำ
จนในที่สุดเขาก็นึกออก
มันคืออาคารที่ ‘ผู้วิงวอนความลับ’ ออสตา·ทรูเอลเน้นย้ำว่าอันตรายที่สุดในเขตตลาดแล้ว
อาคารที่ถูกเผาทำลายและยังคงไม่ถูกรื้อถอนจวบจนปัจจุบัน!
………………………………………………..
.