ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 275 รุกล้ำ
ตอนที่ 275 รุกล้ำ
บนรถม้ากลับสู่ตลาด ลูเมี่ยนมองออกไปนอกหน้าต่าง ย้อนคิดวิเคราะห์ท่าทีตอบสนองของการ์ดเนอร์·มาร์ตินหลังจากที่ตนกับพรรคพวกทำภารกิจสำเร็จ
เขารู้สึกว่าบอสใหญ่แก๊งซาฟาห์มิได้สนใจกระเป๋าหนังที่พวกตนเสี่ยงชีวิตไปเอามาสักเท่าไร เพียงชำเลืองมองปราดเดียว แล้ววางมันไว้บนโต๊ะหนังสือ
“นี่คือบททดสอบ? หัวไขสันหลังกับสัตว์ประหลาดไร้หัวนั่นถูก ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ สืบรู้ข้อมูลโดยละเอียด ตราบใดที่ทำตามระเบียบ ไม่ทำอะไรอำเภอใจ ก็จะไม่ถูกมันโจมตีเลย?”
“แต่บอสอาจเป็นหรือเคยเป็น ‘นักวางแผน’ … สิ่งที่เขาแสดงออก อาจเป็นเพียงสิ่งที่ ‘อยากให้เราเห็น’ เท่านั้น มิได้สะท้อนเจตนาที่แท้จริงเสมอไป…”
“ยังไงก็เถอะ… ผู้ค้าที่เหลือแต่หัว กับสัตว์ประหลาดรูปร่างคนไร้หัวนั่น มีอยู่จริงแน่นอน… นี่เป็นตัวแทนของอะไร? คำพูดของเขาเชื่อได้ไหม? ลงไปตามหาทางเข้าทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่จนหายตัวไปหลายเดือน พานพบเหตุการณ์พิศวงบางอย่าง จนหัวกับตัวแยกจากกัน ต่างมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง?”
“ประโยคที่บอสพูดว่า ‘ปีศาจคือมิตรของเรา นรกคือคนอื่น’ เหมือนจะสื่อว่าอย่าเชื่อใจใครง่ายนัก… ที่นำเรื่องนี้มาพูดกับเรา เพราะค่อนข้างพอใจกับผลงานของเราในภารกิจ?”
“เขาส่งคนตามไปจับตามองเราอย่างละเอียด? หรือใครสักคนในซิมงต์กับคริสโตไม่ได้ขี้ขลาดเหมือนตาเห็น แต่แอบเป็นสายให้บอส?”
“ที่บอสไม่ให้เราอยู่ต่อ แสดงว่า ‘การประเมิน’ น่าจะยังไม่จบ… อา… ตอนนี้มีใครแอบตามรถม้ามาหรือเปล่า? ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดรอบด้าน?”
“หึ… มิสเตอร์ K กับลูกน้องก็ชอบทำแบบนี้ ถ้าปะกันเองคงสนุกน่าดู…”
‘มุสิก’ คริสโตกับ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ที่ขึ้นรถม้าของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยกลับเขตตลาด เห็นลูเมี่ยนไม่พูดไม่จา เอาแต่เหม่อมองออกนอกหน้าต่างรถ ต่างก็รู้สึกหวั่นวิตกเจือกระวนกระวาย
หลังจากความเงียบอันน่าอึดอัดดำเนินไปนานถึงห้านาที ในที่สุดคริสโตก็ฝืนยิ้มถาม
“ชาร์ล คุณมองอะไรอยู่หรือ?”
“แออัดไปหน่อย” ลูเมี่ยนเปรยสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับคำถาม
คริสโตกับซิมงต์มองหน้ากันไปมา สงสัยว่าชาร์ลกำลังเหน็บแนมพวกตนที่แย่งเบาะนั่งบนรถม้า
ลังเลอยู่สักพัก คริสโตเริ่มอธิบายจุดประสงค์ของตัวเองก่อน
เขากระซิบเสียงต่ำ
“ชาร์ล ผมแค่อยากใช้โอกาสนี้พูดคุยกับคุณเล็กน้อย ให้ตายสิ เจ้าเสาหินซิมงต์ดันตามมาด้วย ใครจะไปคิด!”
“ไอ้ลูกหมู เป็นทางนี้ต่างหากที่เสนอให้ติดรถมาด้วย!” ‘คนยักษ์’ ซิมงต์โพล่งแย้ง
คริสโตไม่สนใจอีกฝ่าย ขบฟันกล่าว
“ชาร์ล ภารกิจครั้งนี้ทำให้ผมต้องมองคุณใหม่ นอกจากบอสแล้ว คุณฉลาดกว่าใคร เก่งกาจกว่าใคร และใจเย็นกว่าผู้วิเศษคนใดที่ผมรู้จัก”
ใจเย็นที่สุด? เพราะนายไม่เห็นตอนที่ฉันบ้าบิ่นมากกว่า… ลูเมี่ยนรำพันเงียบ แล้วแกล้งยุแหย่
“จริงหรือ? ผมฉลาดกว่าบรินิแยร์ แข็งแกร่งกว่าฟรังก้าอีกหรือ?”
‘มุสิก’ คริสโตชะงักไป เงียบสักพักจึงค่อยพูดต่อ
“ความหมายของผมก็คือ ต่อไปถ้าบอสมอบหมายภารกิจลับให้อีก ผมอยากให้คุณช่วยวิเคราะห์ ดูว่าควรรับมือแบบใด… คราวหน้าถ้าต้องเจอกับสัตว์ประหลาดแบบนั้นอีก ผมไม่อยากสติแตกจนทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว”
โฮ่? ข่าวกรองส่งถึงที่? ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“ผมไม่มีปัญหาหรอก แต่คุณไม่กลัวบอสรู้แล้วโกรธหรือ?”
คริสโตมองลูเมี่ยน แล้วก็มอง ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ด้านข้าง พูดด้วยเสียงเย็นชาขึ้นมาหน่อย
“ถ้าคุณไม่พูด เราไม่พูด บอสก็ไม่มีทางรู้หรอก”
ซิมงต์กระตุกตาเบาๆ ก่อนจะเสริม
“ผมก็คิดคล้ายกับมุสิกเหมือนกัน”
เขาเองก็ไม่อยากตายในภารกิจลับครั้งถัดไป
ลูเมี่ยนทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพูดยิ้มๆ
“ไอ้ช่วยน่ะช่วยได้ แต่ผมไม่รับประกันหรอกนะ ว่าจะวิเคราะห์ภาพรวมได้ครอบคลุม หรือหาทางช่วยให้พวกคุณรอดพ้นจากอันตราย โดยอาศัยเพียงรายละเอียดที่พวกคุณเล่ามา… แล้วก็ผมอาจขออะไรเล็กๆ น้อยๆ เป็นการแลกเปลี่ยน”
“ไม่มีปัญหา!” ‘มุสิก’ คริสโตตอบตกลงทันที
ลำพังแค่ประสบการณ์เมื่อสักครู่ เขาอาจยังไม่กระวนกระวายถึงระดับนี้ แต่อย่าลืมว่าคริสโตพึ่งรอดจากเหตุการณ์ ‘คนในกระจก’ มาไม่นาน ในใจหวาดหวั่นเป็นทุนเดิม กำแพงทางใจจึงใกล้พังทลายเต็มทีแล้ว
‘คนยักษ์’ ซิมงต์ก็ทำท่าเห็นด้วย ก่อนจะมองลูเมี่ยนพลางตำหนิตัวเอง
เขาแค่นเสียงพูด
“พี่ใหญ่ชาร์ล ผมอยากขอโทษคุณ ที่ผ่านมาผมวางตัวไม่ค่อยดีเวลาเราเจอกัน จ้องแต่จะรังแกคุณที่พึ่งเข้าพรรคซาฟาห์มาใหม่… ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย… ยังโน้มน้าวให้คุณไปหาบอสเพื่อจัดการกับ ‘บูตแดง’ อีก”
“ผมเป็นคนหยาบกร้าน ไร้การศึกษา พูดจาไม่มีหางเสียง ก็ได้แต่หวังว่าคุณจะยอมรับคำขอโทษ… ต่อไปนี้ คุณสั่งอะไร ซิมงต์คนนี้จะทำตามแน่นอน!”
โฮ่… เข้าใจสถานการณ์เร็วดีนี่… เสียงอ่อนมาเชียว… ไอ้หมอนี่อยู่เป็น… ลูเมี่ยนทำเป็นกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ผมลืมเรื่องเก่าๆ ไปหมดแล้ว ก็อย่างที่เห็น ผมไม่ได้ไปยุ่งกับคุณเลย ไม่ได้ลงมือแก้แค้นด้วย”
พูดจบ ลูเมี่ยนเสริมในใจเงียบๆ :
หลักๆ ก็เพราะพักนี้ยุ่งมากเลย จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจหัวหน้าหน่วยตัวเล็กๆ ล่ะ…
‘คนยักษ์’ ซิมงต์ถอนหายใจแผ่วเบา ยิ่งเชื่อว่าชาร์ลเป็นคนพอใช้ได้ ไม่ได้มีจิตใจคับแคบอะไร
ลูเมี่ยนยิ้มพลางพูดต่อ
“ทำไมถึงเรียกผมว่าพี่ใหญ่ล่ะ อายุน้อยกว่าคุณตั้งเยอะ”
ซิมงต์ยิ้มแหยๆ
“คุณเป็นลำดับ 7 แล้วถ้าวัดกันที่พลัง ผมควรเรียกว่าพี่ใหญ่”
ลูเมี่ยนอดใจไม่ไหว เลยแซวขึ้นมา
“ถ้าจะเรียกกันตามลำดับจริงๆ พอผมขึ้นลำดับ 6 คุณต้องเรียกว่าลุงเลยไหม?”
ซิมงต์ลังเลสองวินาที แล้วก็แค่นเสียงอีกครั้ง
“ถ้าคุณต้องการ…”
เชี่ย! ไอ้หมอนี่ไร้ยางอายไปหน่อยไหม? เวลาคุยกับบอสเป็นการส่วนตัว มันก็ทำตัวแบบนี้ด้วยหรือไง? ‘มุสิก’ คริสโตหันไปมองด้วยความตะลึง เจ้าบุรุษร่างใหญ่ที่สูงเกินหนึ่งเมตรเก้ารายนี้ เขาเหมือนเพิ่งได้รู้จักเป็นครั้งแรก
ซิมงต์รีบต่อให้จบ
“แต่ผมเชื่อว่าตัวเองเป็นลำดับ 7 ได้เร็วกว่าที่คุณขึ้นลำดับ 6”
“คุณพึ่งกลายเป็น ‘นักวางเพลิง’ ได้ไม่นาน หลังจากนี้อาจต้องใช้เวลาหลายปี หรือแม้กระทั่งเป็นสิบปี กว่าจะควบคุมพลังเพลิงได้ ทนรับโอสถอีกขนานได้”
ใจความโดยนัยคือ ‘ฮ่าๆ เมื่อกี้แค่ล้อเล่น ไม่นานเกินรอ เราอาจได้เป็นลำดับ 7 เหมือนกัน สุดท้ายนายก็ยังเป็นพี่ของฉันเหมือนเดิม’
ฟังมาถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนนึกถึงตอนที่โอสถถูกย่อยไปเล็กน้อย หลังจากเผาซูซานน่า·มาติสด้วยไฟล่องหนจนตาย
แต่เพราะเด็กหนุ่มยังสรุปหลักการสวมบทบาทข้อแรกไม่ได้ การย่อยจึงยังไม่ชัดเจนนัก
เมื่อนำประสบการณ์ก่อนหน้าและหลังจากนั้น ผนวกเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เห็นในเขตตลาด ลูเมี่ยนรู้สึกอยู่บ่อยครั้งว่า กฎการสวมบทบาทข้อแรกใกล้จะตกผลึกแล้ว แต่ก็ยังขาดอีกนิด ความคิดยังไม่ชัดพอ เหมือนยังต้องรอจังหวะอีกหน่อย
ความคิดของเขาวกกลับมายังการแอบสะกดรอยที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินอาจจะทำ รวมถึงการทดสอบครั้งถัดไป
เรื่องนี้ทำให้เขาที่เคยตั้งใจว่า ในวันสองวันนี้ถ้ามีเวลาว่าง จะแวะไปฟังบิชอปของศาสนจักรเดอะฟูลเทศนาที่ท่าเรือลาวีนในเขตจัตุรัส เกิดเปลี่ยนใจเลื่อนมันออกไปก่อน รอให้พ้นการทดสอบ รอให้เข้าร่วม ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ อย่างเป็นทางการก่อนค่อยไป
“แต่พรุ่งนี้บ่ายถึงเวลานัดบำบัดจิตอีกแล้ว ไปดีไหมนะ?”
“ช่วงนี้สภาพจิตใจและการควบคุมอารมณ์ของเราดีขึ้นมาก แต่ก็ยังต้องให้สองมาดามช่วยยืนยันอยู่ดี… อา… ท่านผู้หญิงทั้งสอง ‘ล่องหนทางใจ’ มารักษาให้เราทุกครั้ง แถมมาดามจัสติสยังเป็นครึ่งเทพตัวจริง แม้แต่การ์ดเนอร์·มาร์ตินก็คงสังเกตเห็นได้ยาก ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงลูกน้องของเขา… ในฐานะ ‘นักล่า’ เราชอบศึกษาพืชพรรณก็เป็นปกติอยู่แล้ว เดินเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์เสร็จแล้วแวะดื่มกาแฟสักร้านเพื่อพักผ่อนหย่อนใจสักหน่อย ใครจะมาจับผิดได้ล่ะ…” ไม่นานลูเมี่ยนก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปบำบัดจิตในวันพรุ่งนี้
เพียงแต่ก่อนเข้าร้านกาแฟเมสัน เขาต้องใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมงเดินเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์บริเวณใกล้เคียง
หลังรถม้าแล่นมาจอดหน้าคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ลูเมี่ยนขึ้นไปดื่มกาแฟชั้นสอง มองตาม ‘คนยักษ์’ ซิมงต์และ ‘มุสิก’ คริสโตออกจากถนนใหญ่ตลาด
ตกสี่โมงเย็น เด็กหนุ่มสวมหมวกปีกกว้างสีเข้ม ออกจากคาบาเร่ต์ ตั้งใจจะไปหาฟรังก้าที่ถนนเสื้อนอกขาว พูดคุยเรื่องภารกิจประหลาดตอนเที่ยง วิเคราะห์ทัศนคติของการ์ดเนอร์·มาร์ติน
เดินไปบนถนนใหญ่ตลาดได้สักพัก ลูเมี่ยนก็ฉุกคิดถึงปัญหา
ถ้าบอสส่งคนมาจับตาเรา คอยสืบพฤติกรรมเราช่วงนี้จริง การที่ไปหาฟรังก้าถึงอพาร์ตเมนต์บนถนนเสื้อนอกขาวบ่อยๆ จะทำให้เขาคิดว่าเรากับฟรังก้าแอบคบชู้กันไหม กลายเป็นว่าตัวเองถูกสวมเขา?
หรือในฐานะคนทรีอาร์ เขาจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้?
อา… ข้างนอกลือกันว่าเราคบกับจินนา การไปถนนเสื้อนอกขาวก็เพื่อหาจินนา ไม่ใช่ฟรังก้า บอสคงไม่สงสัยหรอก…
ลูเมี่ยนสบายใจ เดินมาถึงถนนเสื้อนอกขาวบ้านเลขที่ 3 เคาะประตูห้อง 601
“เป็นคุณอีกแล้ว?” ฟรังก้าที่สวมเสื้อเชิ้ตสตรีกับกางเกงขายาวสีอ่อนเหมือนทุกที ถามอย่างไม่เต็มใจนัก
ตอนนี้ บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเธอมีรูปขี้วัวทางด้านซ้าย ฝั่งขวาเป็นรูปเต่าสีเขียวหม่น
“แพ้ไพ่มาหรือ?” ลูเมี่ยนเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
เขายังไม่ลืมว่า ถ้าฟรังก้าชวนจินนากับสาวๆ หางเครื่องมาเล่นไพ่ ส่วนใหญ่จะไม่พนันด้วยเงิน แต่จะใช้การลงโทษแปลกๆ แทน
ฟรังก้าหันไปมองแวบหนึ่ง แล้วกระซิบเสียงต่ำ
“ช่วงนี้จินนาดูอารมณ์ไม่ค่อยดี ฉันกำลังหาวิธีช่วยให้เธอร่าเริง”
ลูเมี่ยนมองตามสายตาฟรังก้า พบว่าใบหน้าของจินนาก็ถูกวาดจนยุ่งเหยิงเช่นกัน เต็มไปด้วยไฝดำ จมูกหมูสองอัน ทางด้านหางเครื่องดาวเด่นก็ไม่ต่างกัน
“งั้นผมรอให้พวกคุณเล่นเสร็จก่อนก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มพูดพลางเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น
หางเครื่องดาวเด่นคนนั้นคิดว่าชาร์ลมาหาจินนา จึงรีบลุกเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าให้สะอาด แล้วก็ออกจากอพาร์ตเมนต์ 601 ไป
จินนาดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมจริงๆ
เธอมองลูเมี่ยน ถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“มาหาฉันหรือมาหาฟรังก้ากันแน่?”
ทำไมมันฟังดูแหม่งๆ … ลูเมี่ยนตอบตรงไปตรงมา
“บอสมอบหมายภารกิจแปลกๆ ให้ผม เลยอยากปรึกษาฟรังก้าหน่อย”
“ภารกิจอะไร” ฟรังก้าไม่ปิดบังความอยากรู้อยากเห็น
ลูเมี่ยนเล่าประสบการณ์ตอนเที่ยงอย่างรวบรัด รวมถึงวิธีกดดัน ‘มุสิก’ คริสโตกับ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ให้ทำตามคำสั่ง
ทั้งฟรังก้าและจินนาต่างตกตะลึงกับผู้ค้าที่เหลือแต่หัวกับสันหลัง รวมถึงสัตว์ประหลาดไร้เศียร จนเงียบไปพักใหญ่
ผ่านไปไม่นาน ฟรังก้าก็แค่นเสียง
“ไอ้ลูกหมาการ์ดเนอร์·มาร์ติน!”
“มีอะไรหรือ?” จินนาไม่เข้าใจเหตุผลที่ฟรังก้าด่าบอสอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ฟรังก้าอธิบายคร่าวๆ
“ฉันสงสัยว่า การ์ดเนอร์·มาร์ตินใช้ภารกิจนี้เพื่อทดสอบชาร์ล อยากให้เขาเข้าไปอยู่ในแกนหลัก”
“แม่ง! ฉันนอนกับไอ้เวรนั่นมาตั้งนาน มันไม่เคยไว้ใจฉัน ไม่เคยคิดจะประเมินฉันเลยสักนิด!”
……………………………………………..
.