ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 256 ช่องว่าง
ตอนที่ 256 ช่องว่าง
ความเจ็บปวดจากการระเบิดที่ฝ่ามือซ้าย ทำเอาลูเมี่ยนเกือบดึงมีดสีเงินดำที่ปักคาลำต้นของ ‘พฤกษาเงา’ ออกมา
ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ด้วยความคุ้นชินกับบาดแผลในทำนองเดียวกัน เด็กหนุ่มจึงฝืนควบคุมกิริยาสะท้อนของร่างกายไว้ได้เต็มกลืน
สมองของเขาตื่นตัวทันที เพียงพอที่จะหลุดพ้นจากสองความปรารถนาที่ซูซานน่า·มาติสพยายามยัดเยียด
ความเจ็บปวดและความมีสติถักทอเข้าด้วยกัน กวาดล้างความคิดฟุ้งซ่าน ตามมาด้วยกระแสของ ‘ฉาก’ สุดสยองขวัญ
เหล่านี้คือประสบการณ์ที่สั่งสมมานานนับพันปีของ ‘พฤกษาเงา’
เป็นชิ้นส่วนของแรงกระหายอันท่วมท้น ซึ่งคอยรดน้ำและประกอบเข้าด้วยกันเป็นลำต้น
เป็นอนาคตอันหลากหลายของไม้ประหลาดยักษ์ต้นนี้
ทั้งหมดถูกร้อยเรียงไว้ด้วยกันผ่านสายน้ำสีปรอทอันเวิ้งว้าง ความคิดของลูเมี่ยน
ด้วยปริมาณระดับนี้ มิใช่แค่เพียงพอที่จะระเบิดหัวของผู้วิเศษลำดับกลางและต่ำ แต่บางฉากก็ทำให้สัญชาตญาณของลูเมี่ยนเลือกที่จะเพิกเฉยละเลยไป ไม่กล้ามอง ไม่กล้าวิเคราะห์
ขณะคิดว่าสติปัญญาของตนจะถูกกระแสมหาศาลเหล่านี้ถาโถมและชะล้างจนกลายเป็นกระดาษเปล่า เด็กหนุ่มกลับพบว่าตัวเองทนรับมันไว้ได้ ราวกับมีที่ว่างเพิ่มเติมสำหรับรองรับฉากอันมากมายเกินขีดจำกัด
ลูเมี่ยนไม่มัวเสียเวลาเลือกโชคชะตาที่อยากแลกเปลี่ยน เพียงเจาะจงฉากหนึ่งโดยอาศัยลางสังหรณ์แจ้งเตือนอันตราย รวมถึงลางสังหรณ์จากพลังวิญญาณ:
รากไม้สีน้ำตาลอมเขียวทอดยาวไปยังส่วนฐานของอาคารโบราณแห่งหนึ่ง แต่ถูกเปลวไฟล่องหนแผดเผาอย่างเงียบงันท่ามกลางความมืด จนกลายเป็นสว่างไสว
ท่ามกลางเสียงกรอบแกรบ รากไม้ดังกล่าวหักขาดครึ่งท่อน ร่วงหล่นลงสู่ความมืดลึกล้ำ บนผิวไม้ปรากฎเปลวไฟสีม่วงขึ้นมาก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีประหลาดที่จำแนกด้วยตาเปล่าไม่ได้ จนกระทั่งมลายหายไปหมดสิ้น แม้แต่ผงก็ไม่เหลือไว้
ลูเมี่ยนดึงปรอทเสื่อมทรามกลับ พยายามเอาโชคชะตาช่วงนี้ออก แต่กลับไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดเลย
ฟิ๊ววว!
ลำต้นสีน้ำตาลอมเขียวที่ไม่หนามากนัก ลักษณะคล้ายหอกสั้นที่พลทหารขว้างอย่างพร้อมเพรียง พุ่งลงมาจากด้านบน มุ่งสู่ลูเมี่ยนอย่างมืดฟ้ามัวดิน
แต่ละลำต้นเหล่านั้น ล้วนเพียงพอที่จะเจาะทะลวงเป้าหมาย ปักลงบนรากไม้ที่ขดเป็นปมยุ่งเหยิง
ซูซานน่า·มาติสผู้อยู่ภายในเรือนยอดต้นไม้อันเลือนราง ขยายดวงตาสีมรกต หลังจากพยายามกระตุ้นแรงกระหายอย่าง ‘กำหนัด’ ‘หิว’ ‘โลภ’ และ ‘อยากแสดงออก’ ใส่ลูเมี่ยนแต่ไม่ได้ผล เธอตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้พลังของ ‘มารพฤกษา’ เพื่อโจมตีทางกายภาพแทน
และสิ่งที่เธอพึ่งพาคือ ‘พฤกษาเงา’ อานุภาพของพลังจึงยอดเยี่ยมกว่า ‘มารพฤกษา’ คนอื่นๆ ที่พึ่งพาต้นไม้ธรรมดามาก
แม้เธอจะยังไม่เชื่อว่า ‘เครื่องเซ่น’ สามารถใช้ ‘มีดคำสาปนั่น’ ทำร้ายพฤกษาเงาได้จริง แต่ลีลาท่าทางและสีหน้าของอีกฝ่าย ทำให้ซูซานน่าหวั่นใจในระดับหนึ่ง สัญชาตญาณจึงร้องเตือนว่าอย่างไรเสีย กันไว้ย่อมดีกว่าแก้
สู้เชื่อว่ามันมีอันตรายร้ายแรง รับมือเกินขีดจำกัดไว้ล่วงหน้า ยังดีกว่าที่จะประมาทเลินเล่อ นั่งดูเหตุการณ์ดำเนินต่อไป!
อย่างแรกมากสุดก็แค่สูญเสียพลังงานจำนวนหนึ่ง สิ้นเปลืองบางส่วนไป ทำให้พิธีกรรมต้องเลื่อนออกไปเล็กน้อย ส่วนอย่างหลังอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เธอไม่อยากเห็น รวมถึงจุดจบอันล้มเหลว
เพราะฉะนั้น แม้จะมีโอกาสเพียงน้อยนิด ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน ไม่สามารถปล่อยให้วัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอก!
ชุดคลุมยาวเลือดเนื้อที่หุ้มผิวกายของลูเมี่ยน หดตัวเข้าด้านในอย่างฉับพลัน บีบให้เด็กหนุ่มผอมลง จนหลบหลีกหอกสั้นลำต้นไม้ได้เกือบทั้งหมด
แต่มีอยู่สองท่อนที่หลบไม่พ้น ตกลงบนบ่าซ้ายขวาของลูเมี่ยน
เลือดเนื้อที่ประกอบกันเป็นชุดคลุมยาว ราวกับทหารได้ยินคำสั่งของผู้บัญชาการ รีบย้ายมารวมกันตรงจุดที่หอกไม้สั้นกำลังจะแทงโดน สร้างเบาะนุ่มสีเลือดขึ้นหลายชั้น
ท่ามกลางเสียงปะทะ ชั้นเลือดเนื้อถูกหอกไม้สั้นสีน้ำตาลอมเขียวสองลำ เจาะทะลุในทันที โดยมีเลือดเนื้อจำนวนมากไหลทะลักมา ซ่อมแซมช่องโหว่อย่างบ้าคลั่ง
แม้จะมีชุดคลุมยาวเลือดเนื้อที่เกิดจากนิ้วของมิสเตอร์ K ช่วยลดความเสียหาย แต่ลูเมี่ยนก็ยังได้รับแรงกระแทกดุจดังถูกค้อนยักษ์ทุบใส่จนขาทั้งสองข้างพับงอ ล้มหงายหลังไป
และทันใดนั้นเอง เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าโชคชะตา ‘รากไม้สีน้ำตาลอมเขียวถูกเปลวไฟล่องหนเผาขาด’ เริ่มคลายตัวลง
โดยพลังมายาที่งัดมันขึ้นมา มิได้มาจากลูเมี่ยนเพียงผู้เดียว แต่ยังมาจากหน้าอกซ้ายของเขา จากที่ไหนสักแห่งก็ไม่อาจทราบได้
ลูเมี่ยนกัดฟันแน่น อาศัยแรงส่งจากการล้มหงายหลัง งัดโชคชะตาช่วงดังกล่าวขึ้นมาอย่างยากลำบาก เปลี่ยนมันให้กลายเป็นหยดปรอทสีเงิน สลับกับโชคชะตา ‘พบวิญญาณมงต์ซูรี’ ที่กักเก็บไว้ในมีดสีเงินดำ
เสียงแหลมๆ ดังขึ้นทันที ปรอทเสื่อมทรามเผยรอยแตกชัดเจนเส้นแล้วเส้นเล่า บางเส้นยาวผิดรูป บางเส้นเล็กละเอียด บางเส้นทะลุตัวมีดโดยตรง ราวกับแบกรับโชคชะตาเอาไว้ไม่ไหว
ตุ้บ! ลูเมี่ยนล้มลงบนรากไม้ที่ขดเป็นปมยุ่งเหยิงเต็มพื้นดิน หลุดพ้นจากอำนาจที่เหลือของนอกลำต้นสีน้ำตาลอมเขียว
บ่าของเขาเจ็บแปลบ แต่มิได้บาดเจ็บมากมายอะไร ส่วนชุดคลุมยาวที่ถักทอจากเลือดเนื้อเริ่มสลายตัว หยดลงด้านล่าง อุดดอกไม้ยักษ์สีซีดและรอยแยกสีน้ำตาลอมเขียวที่กำลังอ้า ‘ปาก’ หวังกลืนกินลูเมี่ยน — เมื่อครู่ตอนที่ลูเมี่ยนล้มลง เขานั่งทับ ‘ตัว’ ของพวกมันไว้
เปรี๊ยะ! เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชน เผาไหม้สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ ลูเมี่ยนถือโอกาสพลิกตัว ย้ายไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัยกว่า
จวบจนปัจจุบัน เขาเพิ่งเกิดความสงสัยใหม่ พลางสูดเกลือดมวิเศษ หลบหลีกการโจมตีจากต้นไม้ กิ่งไม้ ใบเขียว เถาวัลย์ รากไม้ และดอกไม้ พลางถามเสียงเบาสลับกับเสียงจาม:
“พบวิญญาณมงต์ซูรี… ฮัดชิ้ว! ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณมงต์ซูรีจะบุกโจมตีทันทีสักหน่อย!”
ถ้ามันยืดเวลาออกไป ความพยายามเมื่อครู่จะมีความหมายอันใด?
วิญญาณมงต์ซูรีไม่ต้องพูดถึงการรอสักหนึ่งสองเดือนแล้วค่อยโจมตีพฤกษาเงา ต่อให้รอแค่สี่ห้านาที ลูเมี่ยนก็แทบจะหมดโอกาสรอดแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น พิธีกรรมใหญ่คงเตรียมตัวเสร็จไปหลายส่วน กระบวนการเซ่นสังเวยคงเริ่มไปได้สักระยะ ภายใต้การจับตามองของเทพมาร ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’
คำนึงจากลักษณะการลงมือของวิญญาณมงต์ซูรี มีแนวโน้มสูงที่มันจะประวิงเวลาสักพักก่อนเริ่ม
เสียงอันน่าเกรงขามและซ้อนทับกันของเทอร์มีโพลอส ดังกังวานอีกครั้งทั้งภายในร่างกายและโสตประสาทของลูเมี่ยน:
“มันกำลังจะเกิดขึ้น นี่คือโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว”
ณ เรือนยอดต้นไม้อันเลือนราง ซูซานน่าหยุดโจมตีลูเมี่ยน เพียงใช้ ‘พฤกษาเงา’ สั่งการชาร์ล็อตต์ทางไกลให้ไปจับตัวเครื่องเซ่น ขณะเดียวกันก็ปล่อยจิตสำนึกจมดิ่งเข้าไปในต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลอมเขียวนี้ เพื่อสืบสวนปัญหาที่มีดสีเงินดำอาจนำพา
เจอให้เร็ว แก้ไขให้เร็ว เร่งดำเนินพิธีเซ่นสังเวยให้เร็ว!
หลังจากฟังคำพูดของเทอร์มีโพลอสจบ ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะถามอีก:
แม้ว่าทั้งสองจะเป็นสิ่งประหลาด แต่ต้นไม้ยักษ์ได้หยั่งรากลึกใต้ดินทรีอาร์มานานนับพันปีแล้ว ถูกหล่อเลี้ยงจากแรงกระหายนับไม่ถ้วน เกี่ยวพันกับเทพมารลึกลับ ย่อมต้องมอบความรู้สึกเหนือกว่า น่ากลัวกว่า และพิสดารยิ่งกว่าวิญญาณมงต์ซูรี
เสียงทุ้มของเทอร์มีโพลอสดังขึ้น
“ไม่ได้”
“แต่อย่างน้อยก็สร้างอิทธิพลกับ ‘พฤกษาเงา’ ได้ในระดับหนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าหนีออกไป”
เทอร์มีโพลอสพูดจบ ลูเมี่ยนก็เห็นเงาดำปรากฏขึ้นข้างๆ ทันที
มันค่อมหลังเล็กน้อย คล้ายชายชราที่แบกรับภาระชีวิตอันหนักหนาจนไม่ไหวแล้ว
วิญญาณมงต์ซูรี!
มันแหวกผ่านข้อจำกัดนานัปการ ไม่สนใจอุปสรรคหลายชั้น สามารถเข้ามายังดินแดนต่างมิติที่ถูกยึดครองโดย ‘พฤกษาเงา’
เงาดำหลังค่อมก้าวไปข้างหน้า เพียงพริบตาก็มาถึงขอบลำต้นสีน้ำตาลอมเขียว สะท้อนอยู่บนกระจกตาของซูซานน่าและชาร์ล็อตต์
พวกเธอสัมผัสถึงภัยคุกคามโดยสัญชาตญาณ แต่ไม่มีใครเชื่อมโยงเงาดำนี้กับตำนานวิญญาณมงต์ซูรีแห่งทรีอาร์
ทั้งสองช่วยกันกระตุ้นแรงกระหายของวิญญาณมงต์ซูรีอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็เปรียบดังการขว้างหินใส่ห้วงลึกไร้ก้น ไม่ได้ยินเสียงใดสะท้อนกลับมาเลย
ขณะนี้ ลูเมี่ยนเห็นรูปลักษณ์แท้จริงของวิญญาณมงต์ซูรีชัดเจนเป็นครั้งแรก
มันไม่ใช่คนชรา แม้แต่มนุษย์ก็ไม่ใช่ แต่ใกล้เคียงกับเงาดำเหนียวหนืดที่ดึงรูปร่างของมนุษย์ออกมา ค่อมโค้งหลังลง
วิญญาณมงต์ซูรีจ้องมอง ‘พฤกษาเงา’ สองวินาที ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง แนบชิดกับลำต้นสีน้ำตาลอมเขียว
มันกลายเป็นของเหลวสีดำประหลาดในทันใด กัดกร่อนเปลือกไม้ชั้นแล้วชั้นเล่า
บนผิวลำต้นขนาดมหึมาปรากฏจุดดำชื้นแฉะวงใหญ่ ก่อนจะแผ่ซึมไปรอบทิศ ขยายอาณาเขตของตัวเองออกไป
เพียงพริบตา ส่วนฐานทั้งหมดของ ‘พฤกษาเงา’ ได้ถูกเงาดำนี้ยึดครอง โดยที่การโจมตีนานาชนิดของซูซานน่า·มาติสกับชาร์ล็อตต์·คัลวิโนต่างก็ไร้ผล
วินาทีถัดมา โลกที่มีท้องนภาสีครามและเมฆขาวราวกับภาพสีน้ำมัน พื้นดินเต็มไปด้วยรากไม้เป็นปมยุ่งเหยิงนี้ เกิดการสั่นไหวรุนแรง ราวกับเผชิญแผ่นดินไหวระดับภัยพิบัติ
บนผิวลำต้น บนพื้นดิน และบนท้องฟ้า ต่างก็ปรากฏรอยแตกมายาขนาดไม่ใหญ่จำนวนหนึ่ง บางรอยแตกยังคงขยายตัวทีละนิด ช่วยให้ลูเมี่ยนมองเห็นมุมหนึ่งของถนนด้านนอกผ่านรอยแตกดังกล่าว เห็นภาพย่อความวุ่นวายที่ได้รับอิทธิพลจากกิ่งไม้ เถาวัลย์ และแรงกระหาย
“เตรียมตัวให้พร้อม” เสียงอันน่าเกรงขามและดังสะท้อนของเทอร์มีโพลอส ก้องกังวานในหูลูเมี่ยน
เมื่อเห็นว่าไม่อาจยับยั้งวิญญาณมงต์ซูรี และสถานการณ์กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ไม่ดี ซูซานน่า·มาติสเผยสีหน้าเคียดแค้น ท่องคาถาบทหนึ่งเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ:
“ข้าแต่องค์เทพหายนะที่มิควรถือกำเนิด ผู้เป็นกรงขังจองจำคำสาป ผู้เป็นมลทินกัดกร่อนประวัติศาสตร์”
“ข้าวิงวอนต่อท่าน ขอท่านโปรดประทานความช่วยเหลือ”
เมื่อสิ้นเสียงของซูซานน่า·มาติส กิ่งไม้ใต้เรือนยอดอันพร่ามัวก็ ‘หลั่ง’ ของเหลวสีดำเหนียวหนืดเป็นจำนวนมาก
สิ่งนี้คล้ายคลึงกับของเหลวสีดำที่วิญญาณมงต์ซูรีจำแลงกาย แต่ก็แตกต่างอย่างมหาศาล มันวุ่นวายยิ่งกว่า บ้าคลั่งยิ่งกว่า พิลึกพิลั่นยิ่งกว่า
แทบจะในเวลาเดียวกัน จากของเหลวที่หลั่งออกจากลำต้น งอกหัวกะโหลกซีดขาวบิดเบี้ยว งอกลูกตาสีเหลืองที่ถูกเส้นเลือดใหญ่พันรอบ งอกลิ้นสีแดงสดที่มีน้ำหนองน่าขยะแขยงไหลเยิ้ม งอกอีกหลายสิ่งที่มีรูปร่างประหลาด บรรยายยาก เพียงแค่เห็นก็ทำให้คนเสียสติได้
…………
ณ ทุ่งร้างที่มาดามจัดจ์เมนต์กับมาดามจันทรากำลังห้ำหั่นกัน
สถานที่ต่างๆ เช่นถนนอลเวง ยังคงกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ขณะที่ต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลอมเขียวเริ่มโอนเอน บนพื้นผิวและรอบๆ ปรากฏรอยแยกห้วงมิติขนาดไม่ใหญ่
ขณะนี้เอง ประตูเวิ้งว้างเลือนรางชั้นแล้วชั้นเล่า ก็ถูกร่างขึ้นบนท้องฟ้า
สุภาพสตรีในชุดกระโปรงยาวสีส้ม บุคลิกดูเฉื่อยชา ก้าวเท้าออกจากประตูเหล่านั้น บนใบหน้าของเธอมี ‘เส้นแมลง’ ส่องประกายระยิบระยับโค้งเว้าเป็นรูปประตูครึ่งวง ชอนไชเข้าออกใบหน้าตลอดเวลา จนมองไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริง
เพียงก้าวเดียว สุภาพสตรีท่านนี้ย้ายมาอยู่เบื้องหน้าต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลอมเขียว พร้อมกับยื่นสองมือออกไป คว้าสองฝั่งของรอยแยกที่มองไม่เห็น หมายจะฉีกกระชากมันให้ขาดในคราวเดียว!
…………………………………………………….