ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 237 ปกปิด
ตอนที่ 237 ปกปิด
“เป็นยังไงบ้าง รู้จักไหม” ฟรังก้าหันไปมองลูเมี่ยนที่เอาแต่เงียบ
ลูเมี่ยนละสายตาจากกระจกที่เริ่มพร่ามัว ตอบเสียงทุ้มต่ำ
“คนของฮิวจ์·อาร์ทัวส์… ผมเคยเห็นเขาในทีมหาเสียง”
ฟรังก้าย่นคิ้วเล็กน้อย เก็บกระจกแต่งหน้าแล้วถาม
“เรื่องมันเป็นมายังไง”
ลูเมี่ยนเล่าเรื่องราวของรูเอลและมิเชลอย่างรวบรัด แล้วปิดท้าย
“ชายคนนี้ไม่ปกติ”
ฟรังก้าถอนหายใจ
“โดนฟ้าเล่นตลกจนต้องไปเป็นคนเก็บขยะ ทำไมยังต้องเจออะไรแบบนี้อีก…”
หญิงสาวหัวเราะเย้ยหยัน
“ถ้ามาดามจันทรามองว่าฮิวจ์·อาร์ทัวส์เปิดกว้างพอ ข้างกายเขาจะมีคนประหลาดๆ บ้างก็คงไม่น่าแปลกใจ”
พูดถึงตรงนี้ ฟรังก้าเว้นวรรคครู่หนึ่ง มองลูเมี่ยนแล้วพูดต่อ
“ตอนนี้ฮิวจ์·อาร์ทัวส์เป็นสส. เต็มตัวแล้ว ทั้งในที่แจ้งหรือลับก็ไม่ขาดการคุ้มครอง ถ้าเราจะลงมือกับเขาหรือคนรอบตัว คงถูกสืบสาวได้ง่าย ผลที่ตามมาถือว่าร้ายแรงมาก”
“เรื่องนี้ปล่อยให้ผู้วิเศษทางการสืบต่อเถอะ อย่างอื่นฉันไม่กล้ารับรอง แต่อย่างน้อย ‘ผู้ชำระ’ จากศาลและคนของ ‘จิตแห่งจักรกล’ จะไม่มองข้ามเรื่องแบบนี้ จะต้องสืบสวนหาความจริงและเป้าหมายของคนร้ายได้แน่นอน”
ลูเมี่ยนผงกศีรษะรับแล้วถาม
“คิดว่าเป็นเส้นทางไหน ลำดับเท่าไร? น้ำลายแค่นี้กลับทำให้ติดโรคร้ายแรงถึงชีวิต”
ระหว่างเดินจากโรงแรมระกาทองมาถนนเสื้อนอกขาว เด็กหนุ่มนึกทบทวนข้อมูลลำดับล่างๆ ของทั้งยี่สิบสองเส้นทางแห่งเทพที่เขียนอยู่ในสมุดบันทึกของโอลัวร์ แต่ก็ไม่พบข้อมูลที่ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ฟรังก้าไตร่ตรองอย่างจริงจังแล้วพูด
“ความรู้เกี่ยวกับยี่สิบสองเส้นทางของฉันก็พอๆ กับพี่สาวคุณ แต่จะเข้าใจลึกซึ้งกว่าในบางด้าน… เท่าที่นึกออกในตอนนี้ มีอยู่โอสถหนึ่งที่เข้าเงื่อนไข แต่ลำดับค่อนข้างสูงและต้องเป็นสตรีเท่านั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของเป้าหมาย”
“อา… ในเมื่อพวกเราเคยเจอทั้งผู้ได้รับพรจาก ‘องค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่’ และ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ จะเจอสาวกเทพมารองค์อื่นๆ ด้วยก็คงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร…”
“หึๆ … ถ้าเกี่ยวข้องกับเทพมารจริง ผู้วิเศษของสองศาสนจักรใหญ่ต้องยิ่งทุ่มเทแน่”
“อา… สภาพศพของรูเอลมีจุดสังเกตเต็มไปหมด ตำรวจที่มาตรวจจุดเกิดเหตุ ขอแค่ตาไม่บอด ก็คงรีบรายงานไปยังเบื้องบน ให้ส่งคนในความรับผิดชอบมาดูแลคดี”
ลูเมี่ยนอืมในลำคอ สีหน้าอ่อนโยนลงเล็กน้อย
หลังจากลาฟรังก้า เขาก็กลับโรงแรมระกาทอง
เมื่อผ่านแผนกต้อนรับ คุณนายเฟลส์ลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวเจือประจบประแจง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ชาร์ล”
เมื่อวันก่อน ตำรวจแจ้งกับเธอว่ามิสเตอร์เอฟฟ์นับถือลัทธิเทพมาร กลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา บอกให้เธอใช้รายได้ค่าเช่าห้องช่วงนี้ชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปก่อน พยายามประคองโรงแรมให้เดินต่อไป และคอยจดบัญชีให้ดี รอให้การเลือกตั้งจบลงอย่างเป็นทางการ พวกเขาจะรีบสะสางกิจการโรงแรมระกาทองอย่างเหมาะสมโดยเร็ว
เรื่องนี้ทำให้คุณนายเฟลส์กังวลใจ กลัวว่าเจ้าของโรงแรมคนใหม่จะไล่ตนออก เธอจึงเอาใจชาร์ลโดยไม่รู้ตัว หวังว่าหัวหน้าหน่วยของพรรคซาฟาห์จะช่วยพูดแทนตนสักสองสามคำเมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าคนรับช่วงต่อโรงแรมระกาทองจะเป็นใคร ก็ล้วนไม่อยากขัดใจแก๊งอันธพาล ยกเว้นพวกที่มีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ลูเมี่ยนตอบรวบรัด แล้วเดินขึ้นบันไดที่มีกระดาษหนังสือพิมพ์กับกระดาษสีชมพูจำนวนมาก คอยปิดรอยเปื้อน รอยร้าว และตัวเรือดบนผนัง จนกระทั่งถึงชั้นสาม
เด็กหนุ่มปิดประตูห้อง 302 ไว้ก่อนที่ผู้เช่าชั้นสามคนอื่นๆ จะตื่น ส่งผลให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบว่ารูเอลกับมิเชลเสียชีวิตแล้ว
เสียงเพลงของนางมิเชลก่อนแขวนคอตาย มิได้ไปปลุกเพื่อนบ้านห้องข้างเคียงให้ตื่น เพราะสำหรับผู้เช่าตามแนวถนนอลเวง พอตกกลางคืนจะเต็มไปด้วยสรรพเสียงนานาชนิด ทั้งคนร้องเพลง ยิงปืน ต่อสู้ ตะโกน ออกกำลังกาย หลากหลาย ไม่มีค่าพอให้สนใจ
ลูเมี่ยนวางผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมกลับเข้าจุดซ่อนในห้องน้ำ แล้วย้อนกลับมายืนหน้าห้อง 302 ยื่นมือซ้ายที่สวมถุงมือสีดำออกไป บิดลูกบิดแล้วเปิดประตูไม้
ภายในห้อง ศพนางมิเชลแขวนนิ่งอยู่ กลิ่นอาหารที่ข้างตัวรูเอลผสมปนเปกับกลิ่นขยะโดยรอบ คละคลุ้งท่ามกลางแสงแดดที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ
ลูเมี่ยนยืนจ้องกว่าสิบวินาที แล้วก้าวเท้าหันหลังกลับ เดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน
…………
เกือบแปดโมงตรง ตำรวจสองนายที่เคยได้รับแจ้งคราวก่อน มาถึงโรงแรมระกาทอง และเห็นลูเมี่ยนที่ปลอมตัวแนบเนียนด้วยแว่นส่องความลับ
“มีคนตายอีกแล้ว?” ตำรวจที่เคยสอบถามลูเมี่ยน ถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
ใบหน้าของเขาชัดลึก แต่หน้าตาไม่ค่อยดี ดูแก่ไปบ้าง
ลูเมี่ยนตอบอย่างสุขุม
“คนหนึ่งตายเพราะโรค ผมไม่ใช่หมอ ช่วยชีวิตเขาไม่ได้”
“แล้วอีกคนล่ะ” ตำรวจถามต่อ
ลูเมี่ยนตอบเถรตรง
“ตรอมใจ ก็เลยผูกคอตายตาม”
ตำรวจที่หน้าตาดูแก่ ย่นคิ้วเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปในห้อง 302 พร้อมกับเพื่อนร่วมงาน
สิ่งแรกที่เห็นคือศพนางมิเชล ซึ่งแขวนตัวเองไว้กับกรอบหน้าต่าง จึงปิดจมูกโดยสัญชาตญาณ
ที่นี่ทั้งสกปรกและเหม็นเกินไปแล้ว!
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็กวาดไปเห็นศพรูเอล แลเห็นเนื้อหนังที่เปื่อยเน่า และมีหนองไหลออกมาเป็นแผ่นๆ
“บัดซบ! นี่มันโรคอะไร?” เขาหันกลับมามองลูเมี่ยนตามสัญชาตญาณ สายตาดูตกใจเจือหวาดหวั่น
เขายังบอกด้วยว่า ตนสงสัยว่าในกองขยะที่รูเอลกับภรรยาเก็บมาเมื่อคืนอาจมีแหล่งติดเชื้อ จึงกำชับให้สองสามีภรรยาไปนอนที่ห้อง 307 ก่อน รวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ เช่นเรื่องที่นางมิเชลเอ่ยถึงผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมในห้องน้ำ
ตำรวจทั้งสองยิ่งฟังยิ่งเงียบ สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดี
พอลูเมี่ยนเล่าจบ ทั้งสองรีบไปตรวจสอบห้องน้ำเพื่อยืนยันการมีอยู่ของผ้าเช็ดหน้าผ้าไหม
ตำรวจที่หน้าตาดูแก่ เหลือบมองชาร์ลที่ยืนอยู่นอกห้องน้ำ พลางพูดเสียงเบากับเพื่อนร่วมงาน
“เกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับอีกแล้ว… นายดูที่เกิดเหตุต่อ ฉันจะกลับไปรายงานเบื้องบน”
ตำรวจอีกคนพยักหน้า
“ตกลง”
ลูเมี่ยนมองพวกเขาแบ่งงานกัน รอคอยผู้วิเศษทางการด้วยความอดทน
ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตำรวจที่หน้าตาดูแก่ก็กลับมายังโรงแรมระกาทอง
มาแค่คนเดียว
แล้วผู้วิเศษทางการล่ะ? ดวงตาของลูเมี่ยนเบิกกว้างเล็กน้อย
ตำรวจที่มีใบหน้าแลดูแก่ชรา เดินหลบลูเมี่ยน พาเพื่อนร่วมงานไปถึงสุดปลายทางเดิน แล้วเริ่มสนทนากันด้วยเสียงกระซิบ
เด็กหนุ่มยืนค่อนข้างห่าง แม้พยายามฟังแต่ก็ไม่ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตำรวจที่ดูแก่เดินกลับมาหาลูเมี่ยน พูดด้วยสีหน้าขึงขัง
“เราจะปิดคดีนี้ว่าเป็นการป่วยตายและฆ่าตัวตาย”
ไม่สืบสวนเพิ่ม? คิ้วของลูเมี่ยนขยับเล็กน้อย
หลังจากตำรวจนายนั้นพูดทวนซ้ำประโยคเดิม ซึ่งเคยพูดตอนนำศพฟลามงกลับไป เขาก็สวมถุงมือ ใส่ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมผืนนั้นลงในถุงผ้า แล้วรัดปากถุงให้แน่น
ลูเมี่ยนเงียบมองพวกเขาวางศพลง ห่อศพของรูเอล ใส่ลงในถุงบรรจุศพ ในหัวเต็มไปด้วยความคิดอลหม่านวุ่นวาย:
“สภาพศพแบบนี้ ผู้วิเศษทางการกลับไม่มองว่าเป็นปัญหา ไม่มีความจำเป็นต้องสืบต่อ?”
“มีคนขวางเขาไว้ สั่งให้ตำรวจปิดคดีเป็นการตายทั่วไป ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญา?”
“…”
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนตัดสินใจแอบตามสองตำรวจที่ยกศพผัวเมียขึ้นรถม้าบรรทุกสินค้า
เด็กหนุ่มรักษาระยะห่างไว้พอควร สูดดมกลิ่นเหม็นตกค้างที่เหลืออยู่บนร่างของรูเอลและมิเชล ตามรอยไปจนถึงประตูกองบัญชาการตำรวจเขตตลาด
มองประตูใหญ่ที่มีตำรวจในเครื่องแบบเข้าออกเป็นระยะ ลูเมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย
เบื้องต้นเขาสงสัยว่า คงมีนายตำรวจบางคนในกองบัญชาการตำรวจ สั่งปิดคดีการตายของคู่สามีภรรยา แต่ไม่สามารถสืบสวนขยายผลต่อได้ว่าเป็นใคร
ต่อให้ตามเข้าไปข้างใน ด้วยสภาพแวดล้อมของกองบัญชาการตำรวจ ผนวกกับสถานะของเขา ก็คงจนปัญญาจะตามเข้าไปถึงห้องทำงานนายตำรวจยศใหญ่ และถึงจะคอยยืนสังเกตการณ์จากข้างนอก ก็คงไม่มีทางระบุได้ว่าในกลุ่มคนที่เดินออกจากประตู ใครคือผู้ต้องสงสัย
ลูเมี่ยนไตร่ตรองเกี่ยวกับทิศทางการสืบสวนอีกครั้ง
“ขอให้ฟรังก้าช่วยทำนาย?”
“แต่ไม่มีสื่อกลางเลย…”
“ลองเปลี่ยนวิธีคิด… เหตุใดตำรวจถึงพยายามปิดคดีโดยไม่สืบต่อ? เพราะรู้ว่าเรื่องนี้พัวพันถึงใครบางคน หรือไม่ก็… มีคนสั่งให้คอยระวังเรื่องทำนองนี้ไว้ก่อนแล้ว?”
“ถ้าเป็นกรณีหลัง ก็อาจเป็นผู้มีอำนาจจากสำนักงานสส.”
ลูเมี่ยนใจเต้นตึกตัก ผละไปจากหน้าประตูกองบัญชาการตำรวจ รีบมาถึงอาคารสี่ชั้นสีเหลืองดินเหนียว ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานสส. เขตตลาด
เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่ตรงปากซอยฝั่งตรงข้ามถนน มีคนไร้บ้านนั่งเป็นเพื่อนมากมาย
ไม่นานนัก เขาเห็นนายตำรวจคนหนึ่ง
รูปร่างอ้วนท้วน อายุราวสี่สิบ ผมสีน้ำตาล ตาสีฟ้า มีกลีบดอกโกฐสอเทศสีเงินวาวสามกลีบบนอินทรธนูสีดำ
นี่แสดงถึงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ ต่ำกว่าผู้กำกับหนึ่งระดับ
…………
บนชั้นสองของอาคารสี่ชั้นสีเหลืองดินเหนียว
ทิบอลต์ เจ้าของใบหน้าซีดเซียว ผมสีบลอนด์เข้มหยักศก เดินเข้าไปในห้องทำงานเลขานุการสส.
เลขานุการอายุราวสามสิบ ผมสีดำหวีเรียบไปด้านหลัง ตาสีน้ำเงินถูกบดบังด้วยแว่นกรอบทอง ใบหน้าหมดจด บุคลิกสุภาพเรียบร้อย
เขามองทิบอลต์ที่ไอแห้งไม่หยุด โยนถุงผ้าออกไป พูดเสียงเย็นชา
“ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมของคุณกลับมาแล้ว”
ทิบอลต์ เจ้าของผมสีบลอนด์เข้มหยักศกในชุดสูทสีดำ ยิ้มแล้วพูด
“เร็วดีนี่”
“ไอ้….!” เลขาสส. ตวาดด่า “ไม่รู้หรือไงว่าน้ำลายตัวเองทำให้คนอื่นติดโรคได้? ไม่กลัวพวกคนจากสองศาสนจักรใหญ่สังเกตเห็นหรือไง?”
ตาสีน้ำตาลของทิบอลต์ยังคงเรียบเฉย พูดอย่างไม่ยี่หระว่า
“พวกไพร่ตายไปสักสองสามคนจะเป็นไร? ยังไงก็ไม่มีคนสนใจอยู่แล้ว”
“ผมป่วยมานานแล้ว แต่ยังไม่ได้รับพรใหม่สักที ก็เลยหงุดหงิดอยากฆ่าคน”
เลขาสส. มองเขาสองสามวินาที ต่อว่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ถ้าผมไม่ได้ป้องกันไว้ล่วงหน้า ‘ผู้ชำระ’ คงถึงตัวคุณแล้ว”
“คุณจะตายมันก็เรื่องของคุณ แต่อย่ามาทำให้พวกเราเดือดร้อน!”
“ทิบอลต์ ไม่มีครั้งหน้าแล้วนะ”
ทิบอลต์ยักไหล่ เป็นนัยน้อมรับคำวิจารณ์
…………………………………………………….